ความเดิม (หลาย) ตอนที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/37306643
สีชัง ชังแต่ชื่อ
เกาะนั้นหรือ จะชังใคร
ขอแต่แม่ดวงใจ
อย่าชังชิงพี่จริงจัง
ตัวไกลใจพี่อยู่
เป็นคู่น้อง ครองยืนยัง
ห่างเจ้าเฝ้าแลหลัง
ตั้งใจติด.. มิตรสมาน
...........................................
หลังจากการพบกันครั้งแรกที่เชียงใหม่ คุณพานทองเหลืองคงรู้สึกผิดหวังในตัวเรามิใช่น้อย สังเกตุจากการที่เธอเริ่มใช้สรรพนามหยาบคายกับเรามากขึ้น เปลี่ยนจากเรียกชื่อเราอย่างอ่อนหวาน มาเป็นเรียก "ป้า"
สุดท้ายเราเริ่มทนไม่ไหวไปฟ้องแม่ แม่ถึงกับตาโต บอกให้เราเรียกเธอกลับไปอย่างเจ็บแสบบ้างว่า "ปู่"
ให้ตายเถอะ ปกติแม่เราเป็นคนใจดีมีเมตตา และให้อภัยทุกคนเสมอ แต่มาหยามลูกสาวแม่ขนาดนี้ ใครเล่าจะยอมได้!
"ความปู่" คงน่ากลัวมาก คุณพานทองเหลืองจึงยอมลดราวาศอก เรียกเราว่าลิงจ๋อแทน..
เห้อ.. ค่อยดีขึ้นหน่อย (เหรอออ)
.....................................
ไม่รู้เพราะเธอชิงชังเรามากรึไง จึงเลือกที่จะพาเราไปปล่อยเกาะที่สีชัง ให้เหตุผลมาว่าหน้าผาที่นี่เยอะดี เวลาผลักเราตกลงไปจะได้ไม่มีใครหาศพเจอ..
แหม่.. ออกตัวก่อนนะคะ ว่าหากคุณต้องการอ่านกระทู้มีสาระ เชิงข้อมูลท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง ได้โปรดอย่าอ่านต่อเลย เพราะคุณจะหงุดหงิดมาก เห็นใจจขกท.เถอะค่ะ ต้องคอยระวังตัวแจ อิอิ
เช้าวันเสาร์ที่เพิ่งผ่านมา กรมอุตุฯบอกว่าพายุฤดูร้อนกำลังถล่มประเทศไทย คุณพานทองเหลืองจึงบอกให้เราเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย (เกรงว่าหากฝนตกศพเราจะเปียกน้ำ) เราสองคนเริ่มการเดินทางที่สถานีขนส่งเอกมัย ใช้บริการมินิบัสของบริษัทศรีราชาทัวร์ ค่าโดยสารคนละ 86 บาทเท่านั้นเองค่ะ
รถแล่นช้ามาก แถมยังจอดรอผู้โดยสารบางรายอีก เราจึงไปถึงที่หมายช้ากว่ากำหนด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเรามากันแต่เช้า อากาศก็ดีมาก นั่งรถไปดูวิวข้างทางไป คุณพานทองเหลืองเธอขี้โม้ เอ๊ยย ช่างคุย เราจึงไม่รู้สึกเบื่อเลย
แล้วเราก็มาถึงห้างโรบินสันศรีราชา เดินลัดเลาะไปอีกนิดเดียวก็ถึงท่าเรือจรินทร์แล้วค่ะ
ชาวดอยอย่างเราพอเห็นน้ำทะเลสีเขียวมรกต เห็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ ก็อดวี๊ดว๊ายกระตู้วู้ไม่ได้ ถ่ายรูปรัวๆ ทั้งๆที่มันก็มีอยู่แค่นี้.. ท้องฟ้า ทะเล เรือ แต่สำหรับเรามันสวยจับใจเหลือเกิน..
เรือจะแวะเกาะขามใหญ่ก่อน ไม่รู้ทำไมตอนนี้คุณพานทองเหลืองต้องชวนเรามารอหน้าเรือด้วย เธอคงอยากให้เราเห็นภาพทะเลชัดๆกระมัง เอ.. หรือจะแอบผลักเราตกน้ำหว่า?
ถึงตอนนี้เธอก็ถ่ายรูปเรารัวๆ โห่วว.. เขินปลาทะเลแทบแย่
บางรูปเราโดนล้อไม่หยุด ว่าเหมือนลิงมาก... เอ้า! ถ้าหน้าไม่เหมือนบรรพบุรุษแล้วจะให้เหมือนใครล่ะ ปัดโธ่!
....................................................
นั่งเรือมาอึดใจเดียวก็ถึงเกาะสีชังน่ารักจังแล้วค่ะ จ่ายค่าเสียหาย 50 บาทต่อคนเท่านั้น ลงเกาะปุ๊บ คุณพานทองเหลืองก็รีบเดินหารถมอเตอร์ไซด์สภาพดีที่สุด เพื่อพาเราแว๊นซ์รอบเกาะให้ตายใจก่อน ค่าเช่าทั้งวัน 250 บาทต่อคัน ไม่ต้องยื่นบัตรประชาชนอะไรเลย ถามแม่ค้าว่าไม่กลัวรถหายหรือจ๊ะ แม่ค้าหัวเราะบอกมีปัญญาโขมยออกจากเกาะได้ก็เอาไปสิ! เออ.. จริงของเค้า
นั่งซ้อนท้ายไปได้พักนึง เธอยื่นหมวกปีกกว้างมาให้เราใส่ค่ะ เป็นโมเม้นท์ที่อบอุ่นมากกก ..แต่เราก็เบ๊อะมาก เพราะหลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็ทำหมวกของเธอหล่นหายซะงั้น
เธอก็ดุเราเบาๆว่าหมวกใบเดียวทำไมรักษาไม่ได้ล่ะ (โอ๊ยย เสียใจมาก เพราะมันเป็นหมวกที่เธออุตส่าห์พกมาเผื่อเรา ทั้งๆที่เราก็มีหมวกแก๊บอยู่แล้ว)
…………………………………………………..
ตอนนี้ก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยค่ะ แว๊นซ์ถึงไปไหนก็แชะถึงนั่น ..
ลมแรงแค่ไหน ถามตาเธอดู!!!
ทุ่งหินธรรมชาติ ..ปากทางเข้าปารีฮัท รีสอร์ทค่ะ
น้ำทะเลที่นี่ใสมากเลยค่ะ
ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
ช่องเขาขาด
ขึ้นเขาไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทค่ะ
ซอกแซกไปเจอนักท่องเที่ยวที่ไหน เธอก็ทักทายที่นั่น พอเจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น เธอก็โต๊ะๆ โย๊ะๆ อาริกาโตะ เดดก๊ะ
จนเราเขิน คิดในใจว่าเราก็เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาตั้ง 7 ปี อย่าให้เจอนักท่องเที่ยงฝรั่งเศสบ้างล่ะ จะปั๊กเล่ฟองซ์เซ่โชว์มั่ง อี่อี่
แต่พอเจอเข้าจริงๆ เราก็พูดได้แค่ วี๋ น๊ง ดั๊กกอ (yes no ok นั่นแลจ้า) เรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ตั้งยี่สิบปี เลยลงหม้อถ่วงน้ำหมด น่าอายจริง!!
.........................................
นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่เจอ เป็นคุณตาคุณยายคู่นึงค่ะ เราทั้งสี่คนเจอกันโดยบังเอิญ ขณะกำลังเดินลัดเลาะไปตามรีสอร์ทแห่งหนึ่ง เพื่อลงไปดูวิวชายหาดที่เงียบสงบที่นั่น
น้ำใสกิ๊กจนคุณยายอยาก snorkel เลยถามความเห็นเราว่ามันจะไหวไม๊ แต่เราว่าไม่น่าจะโอเค เพราะก้อนหินเยอะแยะไปหมด คุณยายก็ยังทำท่าเหมือนกับว่าไหวสิ มันต้องได้นะ เราแอบอายในความใจเสาะของตัวเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอได้กลับไปเพื่อ snorkel ที่นั่นอีกรึเปล่า ..
รูปนี้คุณยายถ่ายให้ค่ะ
......................................................
ขี่รถออกมาสักพัก เจอคุณตาคุณยายอีกครั้งที่มุมถนน ยางรถแบนแต๊ดแต๋ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะยังไม่รู้ตัว คุณพานทองเหลืองเธอก็จอดรถเตือน และขันอาสาจะไปส่งที่ร้านเช่ารถเพื่อเปลี่ยนคันใหม่ เป็นมิตรภาพระหว่างนักท่องเที่ยวด้วยกันที่น่ารักมากเลยค่ะ
หลังจากนั้นเธอก็แว๊นซ์กลับไปที่ท่าเรือ ตรงไปร้านขายปลาหมึกย่างของคุณยายท่าทางใจดีคนหนึ่ง เธอบอกว่าอยากมาอุดหนุนคนสูงอายุที่ยังขยันทำมาหากินอย่างคุณยาย มาชวนคุยให้คุณยายหายเหงา มีกำลังใจต่อสู้ต่อไป คุณยายแกก็น่ารักนะคะ อายุตั้งแปดสิบกว่าแล้ว ค้าขายก็ไม่ค่อยจะดี ต้องดูแลคุณตานอนติดเตียงที่บ้านอีก แต่ก็ไม่งอมืองอเท้าขอทานใคร แกบอกว่าแกไม่ชอบชีวิตแบบนั้น
ใครได้ไปเกาะสีชัง แวะอุดหนุนแกบ้างนะคะ ร้านแกเป็นเพิงเล็กๆ อยู่หน้าท่าเรือเลยค่ะ
..................................................
กินปลาหมึกย่างแล้ว คุณพานทองเหลืองเกิดตาดีไปเจอมะม่วงมันเข้า เลยขอยืมมีดแม่ค้ายืนปอกหน้าร้าน ใส่ถุงน้ำแข็งเตรียมเป็นเสบียงแว๊นซ์ต่อ ได้ข้อมูลมาว่า ข้างวัดเจ้าพ่อเขาใหญ่ มีถนนเล็กๆเลียบไหล่เขาที่สวยมาก มองเห็นทะเลตลอดสาย
ทิวทัศน์ริมถนนค่ะ.. สวยจับใจจริงๆ
เจอชาวญี่ปุ่น (หน้าตาดีมากกกก) กำลังมาหามุมตกปลา
ชาวไทย (หน้าตาเหมือนลิงกอลิล่า) ก็เลยเข้าไปโต๊ะๆโย๊ะๆด้วย
อ่าวจ๊อกค๊อก
เจ้าอ่าวชื่อประหลาดนี่ มีที่มาจากเสียงลิงค่ะ มีลิงอยู่เยอะมาก ส่งเสียงดังเจี๊ยกๆ ค่อกๆ สุดท้ายเลยกลายเป็นชื่ออ่าวในปัจจุบัน
จากอ่าวเจี๊ยกๆ เอ๊ยย จ๊อกค๊อก ไปอีกไม่ไกลก็ถึงแหลมสีชัง แล้วก็สุดทางรถละค่ะ เราเลยเลี้ยวกลับทางเดิม แวะดูหาดๆนึงที่มีศาลาสวยงาม ชื่อว่า หาดศิลา ค่ะ
จริงจังแค่ไหน.. แค่ไหนเรียกจริงจัง
ที่นี่มีเศษหินเต็มไปหมด แต่เป็นหินที่มีความสำคัญมาก เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงมอบหมายให้วิศวกรชาวต่างประเทศ สำรวจคุณภาพหินที่เกาะสีชัง เมื่อพบว่าเป็นหินที่มีคุณภาพดี เหมาะสำหรับเป็นวัตถุดิบผลิตปูนซีเมนต์ จึงทำการระเบิดหินบริเวณนี้ และขนไปสร้างหมอนรองทางรถไฟที่สถานีรถไฟมักกะสัน ทางเรือใบ!
(ซึ้งใจในความวิริยะอุตสาหะของคนสมัยนั้นจริงๆค่ะ)
ระหว่างการขนส่ง เศษหินก้อนเล็กก้อนน้อยจำนวนมากกระเด็นตกลงไปในทะเล ถูกกระแสคลื่นซัดเข้าฝั่ง และกระทบเป็นเวลานาน จนมีลักษณะเป็นหาดหินกลมที่สวยงามแปลกตาขึ้นแบบนี้แหล่ะค่ะ
........................................
เย็นมากแล้ว เราไปสิ้นสุดทริปกันที่จุฑาธุชราชฐานดีกว่า
ก่อนมาเราอ่านประวัติศาสตร์ของที่นี่มาอย่างเต็มอิ่ม ทำให้สัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่พ่อมีต่อลูก ความน่ากลัวของเหตุการณ์ รศ.112 ความน่าทึ่งของพระราชวังวิมานเมฆ ฯลฯ เกาะเล็กๆแห่งนี้มีเสน่ห์เหลือเกิน
หกโมงเย็น.. เราสองคนก็รีบขึ้นเรือกลับ ก่อนจะไม่ทันรถกลับกรุงเทพเที่ยวสุดท้าย..
บ๊ายบาย.. เกาะแห่งรัก หวังว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกนะ
@สีชัง // เมื่อ #คุณพานทองเหลือง# พาข้าพเจ้าไปปล่อยเกาะ.. "แห่งรัก"
https://ppantip.com/topic/37306643
สีชัง ชังแต่ชื่อ
เกาะนั้นหรือ จะชังใคร
ขอแต่แม่ดวงใจ
อย่าชังชิงพี่จริงจัง
ตัวไกลใจพี่อยู่
เป็นคู่น้อง ครองยืนยัง
ห่างเจ้าเฝ้าแลหลัง
ตั้งใจติด.. มิตรสมาน
...........................................
หลังจากการพบกันครั้งแรกที่เชียงใหม่ คุณพานทองเหลืองคงรู้สึกผิดหวังในตัวเรามิใช่น้อย สังเกตุจากการที่เธอเริ่มใช้สรรพนามหยาบคายกับเรามากขึ้น เปลี่ยนจากเรียกชื่อเราอย่างอ่อนหวาน มาเป็นเรียก "ป้า"
สุดท้ายเราเริ่มทนไม่ไหวไปฟ้องแม่ แม่ถึงกับตาโต บอกให้เราเรียกเธอกลับไปอย่างเจ็บแสบบ้างว่า "ปู่"
ให้ตายเถอะ ปกติแม่เราเป็นคนใจดีมีเมตตา และให้อภัยทุกคนเสมอ แต่มาหยามลูกสาวแม่ขนาดนี้ ใครเล่าจะยอมได้!
"ความปู่" คงน่ากลัวมาก คุณพานทองเหลืองจึงยอมลดราวาศอก เรียกเราว่าลิงจ๋อแทน..
เห้อ.. ค่อยดีขึ้นหน่อย (เหรอออ)
.....................................
ไม่รู้เพราะเธอชิงชังเรามากรึไง จึงเลือกที่จะพาเราไปปล่อยเกาะที่สีชัง ให้เหตุผลมาว่าหน้าผาที่นี่เยอะดี เวลาผลักเราตกลงไปจะได้ไม่มีใครหาศพเจอ..
แหม่.. ออกตัวก่อนนะคะ ว่าหากคุณต้องการอ่านกระทู้มีสาระ เชิงข้อมูลท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง ได้โปรดอย่าอ่านต่อเลย เพราะคุณจะหงุดหงิดมาก เห็นใจจขกท.เถอะค่ะ ต้องคอยระวังตัวแจ อิอิ
เช้าวันเสาร์ที่เพิ่งผ่านมา กรมอุตุฯบอกว่าพายุฤดูร้อนกำลังถล่มประเทศไทย คุณพานทองเหลืองจึงบอกให้เราเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย (เกรงว่าหากฝนตกศพเราจะเปียกน้ำ) เราสองคนเริ่มการเดินทางที่สถานีขนส่งเอกมัย ใช้บริการมินิบัสของบริษัทศรีราชาทัวร์ ค่าโดยสารคนละ 86 บาทเท่านั้นเองค่ะ
รถแล่นช้ามาก แถมยังจอดรอผู้โดยสารบางรายอีก เราจึงไปถึงที่หมายช้ากว่ากำหนด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเรามากันแต่เช้า อากาศก็ดีมาก นั่งรถไปดูวิวข้างทางไป คุณพานทองเหลืองเธอขี้โม้ เอ๊ยย ช่างคุย เราจึงไม่รู้สึกเบื่อเลย
แล้วเราก็มาถึงห้างโรบินสันศรีราชา เดินลัดเลาะไปอีกนิดเดียวก็ถึงท่าเรือจรินทร์แล้วค่ะ
ชาวดอยอย่างเราพอเห็นน้ำทะเลสีเขียวมรกต เห็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ ก็อดวี๊ดว๊ายกระตู้วู้ไม่ได้ ถ่ายรูปรัวๆ ทั้งๆที่มันก็มีอยู่แค่นี้.. ท้องฟ้า ทะเล เรือ แต่สำหรับเรามันสวยจับใจเหลือเกิน..
เรือจะแวะเกาะขามใหญ่ก่อน ไม่รู้ทำไมตอนนี้คุณพานทองเหลืองต้องชวนเรามารอหน้าเรือด้วย เธอคงอยากให้เราเห็นภาพทะเลชัดๆกระมัง เอ.. หรือจะแอบผลักเราตกน้ำหว่า?
ถึงตอนนี้เธอก็ถ่ายรูปเรารัวๆ โห่วว.. เขินปลาทะเลแทบแย่
บางรูปเราโดนล้อไม่หยุด ว่าเหมือนลิงมาก... เอ้า! ถ้าหน้าไม่เหมือนบรรพบุรุษแล้วจะให้เหมือนใครล่ะ ปัดโธ่!
....................................................
นั่งเรือมาอึดใจเดียวก็ถึงเกาะสีชังน่ารักจังแล้วค่ะ จ่ายค่าเสียหาย 50 บาทต่อคนเท่านั้น ลงเกาะปุ๊บ คุณพานทองเหลืองก็รีบเดินหารถมอเตอร์ไซด์สภาพดีที่สุด เพื่อพาเราแว๊นซ์รอบเกาะให้ตายใจก่อน ค่าเช่าทั้งวัน 250 บาทต่อคัน ไม่ต้องยื่นบัตรประชาชนอะไรเลย ถามแม่ค้าว่าไม่กลัวรถหายหรือจ๊ะ แม่ค้าหัวเราะบอกมีปัญญาโขมยออกจากเกาะได้ก็เอาไปสิ! เออ.. จริงของเค้า
นั่งซ้อนท้ายไปได้พักนึง เธอยื่นหมวกปีกกว้างมาให้เราใส่ค่ะ เป็นโมเม้นท์ที่อบอุ่นมากกก ..แต่เราก็เบ๊อะมาก เพราะหลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็ทำหมวกของเธอหล่นหายซะงั้น
เธอก็ดุเราเบาๆว่าหมวกใบเดียวทำไมรักษาไม่ได้ล่ะ (โอ๊ยย เสียใจมาก เพราะมันเป็นหมวกที่เธออุตส่าห์พกมาเผื่อเรา ทั้งๆที่เราก็มีหมวกแก๊บอยู่แล้ว)
…………………………………………………..
ตอนนี้ก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยค่ะ แว๊นซ์ถึงไปไหนก็แชะถึงนั่น ..
ลมแรงแค่ไหน ถามตาเธอดู!!!
ทุ่งหินธรรมชาติ ..ปากทางเข้าปารีฮัท รีสอร์ทค่ะ
น้ำทะเลที่นี่ใสมากเลยค่ะ
ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
ช่องเขาขาด
ขึ้นเขาไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทค่ะ
ซอกแซกไปเจอนักท่องเที่ยวที่ไหน เธอก็ทักทายที่นั่น พอเจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น เธอก็โต๊ะๆ โย๊ะๆ อาริกาโตะ เดดก๊ะ
จนเราเขิน คิดในใจว่าเราก็เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาตั้ง 7 ปี อย่าให้เจอนักท่องเที่ยงฝรั่งเศสบ้างล่ะ จะปั๊กเล่ฟองซ์เซ่โชว์มั่ง อี่อี่
แต่พอเจอเข้าจริงๆ เราก็พูดได้แค่ วี๋ น๊ง ดั๊กกอ (yes no ok นั่นแลจ้า) เรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ตั้งยี่สิบปี เลยลงหม้อถ่วงน้ำหมด น่าอายจริง!!
.........................................
นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่เจอ เป็นคุณตาคุณยายคู่นึงค่ะ เราทั้งสี่คนเจอกันโดยบังเอิญ ขณะกำลังเดินลัดเลาะไปตามรีสอร์ทแห่งหนึ่ง เพื่อลงไปดูวิวชายหาดที่เงียบสงบที่นั่น
น้ำใสกิ๊กจนคุณยายอยาก snorkel เลยถามความเห็นเราว่ามันจะไหวไม๊ แต่เราว่าไม่น่าจะโอเค เพราะก้อนหินเยอะแยะไปหมด คุณยายก็ยังทำท่าเหมือนกับว่าไหวสิ มันต้องได้นะ เราแอบอายในความใจเสาะของตัวเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอได้กลับไปเพื่อ snorkel ที่นั่นอีกรึเปล่า ..
รูปนี้คุณยายถ่ายให้ค่ะ
......................................................
ขี่รถออกมาสักพัก เจอคุณตาคุณยายอีกครั้งที่มุมถนน ยางรถแบนแต๊ดแต๋ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะยังไม่รู้ตัว คุณพานทองเหลืองเธอก็จอดรถเตือน และขันอาสาจะไปส่งที่ร้านเช่ารถเพื่อเปลี่ยนคันใหม่ เป็นมิตรภาพระหว่างนักท่องเที่ยวด้วยกันที่น่ารักมากเลยค่ะ
หลังจากนั้นเธอก็แว๊นซ์กลับไปที่ท่าเรือ ตรงไปร้านขายปลาหมึกย่างของคุณยายท่าทางใจดีคนหนึ่ง เธอบอกว่าอยากมาอุดหนุนคนสูงอายุที่ยังขยันทำมาหากินอย่างคุณยาย มาชวนคุยให้คุณยายหายเหงา มีกำลังใจต่อสู้ต่อไป คุณยายแกก็น่ารักนะคะ อายุตั้งแปดสิบกว่าแล้ว ค้าขายก็ไม่ค่อยจะดี ต้องดูแลคุณตานอนติดเตียงที่บ้านอีก แต่ก็ไม่งอมืองอเท้าขอทานใคร แกบอกว่าแกไม่ชอบชีวิตแบบนั้น
ใครได้ไปเกาะสีชัง แวะอุดหนุนแกบ้างนะคะ ร้านแกเป็นเพิงเล็กๆ อยู่หน้าท่าเรือเลยค่ะ
..................................................
กินปลาหมึกย่างแล้ว คุณพานทองเหลืองเกิดตาดีไปเจอมะม่วงมันเข้า เลยขอยืมมีดแม่ค้ายืนปอกหน้าร้าน ใส่ถุงน้ำแข็งเตรียมเป็นเสบียงแว๊นซ์ต่อ ได้ข้อมูลมาว่า ข้างวัดเจ้าพ่อเขาใหญ่ มีถนนเล็กๆเลียบไหล่เขาที่สวยมาก มองเห็นทะเลตลอดสาย
ทิวทัศน์ริมถนนค่ะ.. สวยจับใจจริงๆ
เจอชาวญี่ปุ่น (หน้าตาดีมากกกก) กำลังมาหามุมตกปลา
ชาวไทย (หน้าตาเหมือนลิงกอลิล่า) ก็เลยเข้าไปโต๊ะๆโย๊ะๆด้วย
อ่าวจ๊อกค๊อก
เจ้าอ่าวชื่อประหลาดนี่ มีที่มาจากเสียงลิงค่ะ มีลิงอยู่เยอะมาก ส่งเสียงดังเจี๊ยกๆ ค่อกๆ สุดท้ายเลยกลายเป็นชื่ออ่าวในปัจจุบัน
จากอ่าวเจี๊ยกๆ เอ๊ยย จ๊อกค๊อก ไปอีกไม่ไกลก็ถึงแหลมสีชัง แล้วก็สุดทางรถละค่ะ เราเลยเลี้ยวกลับทางเดิม แวะดูหาดๆนึงที่มีศาลาสวยงาม ชื่อว่า หาดศิลา ค่ะ
จริงจังแค่ไหน.. แค่ไหนเรียกจริงจัง
ที่นี่มีเศษหินเต็มไปหมด แต่เป็นหินที่มีความสำคัญมาก เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงมอบหมายให้วิศวกรชาวต่างประเทศ สำรวจคุณภาพหินที่เกาะสีชัง เมื่อพบว่าเป็นหินที่มีคุณภาพดี เหมาะสำหรับเป็นวัตถุดิบผลิตปูนซีเมนต์ จึงทำการระเบิดหินบริเวณนี้ และขนไปสร้างหมอนรองทางรถไฟที่สถานีรถไฟมักกะสัน ทางเรือใบ!
(ซึ้งใจในความวิริยะอุตสาหะของคนสมัยนั้นจริงๆค่ะ)
ระหว่างการขนส่ง เศษหินก้อนเล็กก้อนน้อยจำนวนมากกระเด็นตกลงไปในทะเล ถูกกระแสคลื่นซัดเข้าฝั่ง และกระทบเป็นเวลานาน จนมีลักษณะเป็นหาดหินกลมที่สวยงามแปลกตาขึ้นแบบนี้แหล่ะค่ะ
........................................
เย็นมากแล้ว เราไปสิ้นสุดทริปกันที่จุฑาธุชราชฐานดีกว่า
ก่อนมาเราอ่านประวัติศาสตร์ของที่นี่มาอย่างเต็มอิ่ม ทำให้สัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่พ่อมีต่อลูก ความน่ากลัวของเหตุการณ์ รศ.112 ความน่าทึ่งของพระราชวังวิมานเมฆ ฯลฯ เกาะเล็กๆแห่งนี้มีเสน่ห์เหลือเกิน
หกโมงเย็น.. เราสองคนก็รีบขึ้นเรือกลับ ก่อนจะไม่ทันรถกลับกรุงเทพเที่ยวสุดท้าย..
บ๊ายบาย.. เกาะแห่งรัก หวังว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกนะ