สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
ดิฉันอาศัยอยู่ในโตเกียว ขอร่วมแชร์ประสบการณ์ว่าอร่อยมากค่ะ
อย่างไรก็ตาม โอมาคาเซที่แพงๆรวมทั้งร้านติดดาวมิชลินทั้งหลายนี่
มันไม่ใช่โอมาคาเซแบบบังคับให้กินในสิ่งที่เชฟทำนะคะ
ร้านแพงมากๆทุกร้านเค้าจะถามคุณก่อนว่าคุณกินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้ ไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษไหม แพ้อาหารอะไรบ้าง
ถ้าคุณกินได้ทุกอย่าง เค้าก็ทำตามแผนของเค้ามาให้คุณ แบบนั้นก็จะเป็นโอมาคาเซจริงๆ
แต่ถ้าคุณไม่ชอบกินอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเนื้อปูปลาไก่ ขมิ้น ผงกะหรี่ หอม ผักชี อบเชย กระเทียมฯลฯ
แล้วคุณบอกเชฟไป เชฟก็จะปรับเมนูให้เป็นอย่างอื่นหรือไม่ใส่ไอ้ที่เราไม่ชอบ
(ดิฉันมีของที่ไม่ชอบกินอยู่หลายอย่าง ใครว่าอร่อยแต่ดิฉันว่าไม่อร่อยดิฉันก็ไม่กิน ก็จะบอกพนักงานก่อนทุกครั้งว่าไม่ชอบนั่นนู่นนี่)
เราก็จะได้กินอาหารรสดี วัตถุดิบชั้นดี จากเชฟฝีมือดีแบบอร่อยถูกปากเราร้อยเปอร์เซ็นต์
ไม่ใช่ต้องกล้ำกลืนกินอะไรก็ได้ที่เชฟสรรหามาให้
ส่วนความแพงนั้นก็มาจากหลายปัจจัย
ทั้งจากความพิถีพิถันในการ "สรรหา"และ"วิธีตระเตรียม" "วิธีปรุง"วัตถุดิบ
แต่หลักใหญ่ๆเลยก็จะแพงที่ตัววัตถุดิบเสียมากเพราะเน้นการใช้วัตถุดิบชนิดพิเศษสดใหม่ หากินยาก
อย่างเช่น เนื้อปลาโอสดๆที่ได้จากทะเลญี่ปุ่น สดแบบไม่ผ่านการแช่แข็งใดๆ
รสชาติและเนื้อสัมผัสจะหวานนุ่มมันกลมกล่อม แตกต่างจากปลาโอทั่วไปที่เราไปซื้อที่ตลาดปลา
ที่แม้จะซื้อแบบแพงหลายพันหลายหมื่นบาทขนาดไหนแต่มันก็คือปลาโอที่แช่แข็งแล้วค่อยเอามาละลายอีกทีอยู่ดี
ซึ่ง ปลาโอที่ไม่แช่แข็งนี้ ไม่ใช่ว่าจะจับมาส่งขายในร้านได้ทุกวันหรือได้วันละหลายๆตัว นานๆถึงจะมีสักทีหนึ่ง
ของอร่อยมากที่หายากแบบนี้จะได้รับการบรรจุให้อยู่ในเมนูราคาสูงสุดของร้านเสมอ
(เนื้อปลาสดๆกับเนื้อปลาที่สดเหมือนกันแต่ผ่านการแช่แข็งมาก่อนมันอร่อยต่างกันมากค่ะ)
ส่วนความแพงของอาหารประเภทนี้อีกประการหนึ่งก็คือ แพงค่าตัวเชฟ
เชฟเป็นแรงงานที่มีฝีมือมีทักษะ ร้านอาหารที่เชฟต้องมายืนทำต่อหน้าลูกค้าแล้วมาทำทีละชิ้นๆให้ลูกค้ากินนี่หมายความว่า
ลูกค้าจ้างเชฟแบบตัวต่อตัว เชฟแทบจะไม่ได้มีโอกาสไปทำให้ใครอีกเพราะต้องคอยดูแลลูกค้าที่เค้าดูแลรับผิดชอบอยู่
พอทำให้กินหนึ่งคำ ก็ต้องคอยดูว่าลูกค้าเคี้ยวหมดหรือยัง กลืนลงไปและมีทีท่าว่าพร้อมจะกินต่อหรือยัง
พอเห็นว่าลูกค้าพร้อมแล้วเค้าก็จะทำเมนูถัดไปให้กิน ของแบบนี้ต้องรู้จังหวะ ต้องไม่เร่งลูกค้าเกินไปและต้องไม่ปล่อยให้ลูกค้ารอจนขาดช่วง
ซึ่งการกินแบบนี้มันคือการจ้างเชฟมาดูแลเราแบบตัวต่อตัวเหมือนจ้างครูสอนภาษามาสอนให้ตัวต่อตัว
สนนราคาก็ย่อมต้องสูงตามไปด้วยเป็นธรรมดา
...ง่ายๆว่าที่แพงไม่ใช่เพราะคิดแค่เรื่องอร่อยไม่อร่อยหรือแค่เรื่องวัตถุดิบ
แต่เพราะเค้าถือว่าการรับประทานเป็นพิธีกรรมบันเทิงเริงรมย์ที่ลูกค้าจะได้รับการดูแลระดับเอ๊กซคลูซีฟ(เป็นรายบุคคล)
ซึ่งคนที่จะมาทำพิธีกรรมแบบนี้ให้ได้ (มาให้บริการได้)ต้องมีทักษะสูงมากๆและคนมีทักษะสูงมากๆจะมาจ้างกันถูกๆก็ใช่ที่
พอรวมเรื่องวัตถุดิบและบรรยากาศร้านเข้าไปด้วย ราคาจึงออกมาน่าทึ่งเช่นนี้ล่ะค่ะ
...อนึ่ง การหาความสำราญของคนเรานั้นไม่มีแบบแผนตายตัวและไม่สามารถจะไปบังคับให้ชอบหรือไม่ชอบเหมือนกันได้
คุณเจ้าของกระทู้ควรมาลองบรรยากาศแบบนี้ดูเองที่ญี่ปุ่นแล้วค่อยถามตัวเองว่าชอบหาความเพลิดเพลินเจริญใจสไตล์นี้มั้ย
ถ้าใช่ก็มาอีกถ้าไม่ใช่ก็ไปหาอะไรอื่นที่ถูกใจเรามากกว่า
ป.ล.อย่าไปเชื่อนิตยสารบางฉบับที่บอกว่า โอมาคาเซ คือ การกินแบบผู้บริโภคไม่มีสิทธิเลือกเมนู
ดิฉันยืนยันเลยว่าไม่จริง ยิ่งคุณไปกินร้านแพงเท่าไร คุณยิ่งมีสิทธิ์เลือกมากเท่านั้น
ร้านที่ไม่มีสิทธิ์เลือกเมนูในญี่ปุ่นถึงจะมีอยู่จริงแต่นั่นหมายความว่า ลูกค้ากับเชฟมีรสนิยมเดียวกัน ร้านถึงอยู่ได้
ถ้าลูกค้าไปร้านที่เลือกเมนูกินไม่ได้แล้วเชฟเอาอาหารที่ลูกค้าไม่ชอบมาให้กิน ลูกค้าก็จะไม่ไปร้านนั้นอีกแน่นอนค่ะ
คนญี่ปุ่นก็คนเหมือนคนไทยเหมือนคนอื่นๆทั่วโลก มีชอบมีไม่ชอบ มีร้านถูกปากไม่ถูกปากเช่นกัน
ไม่ได้พิสดารขนาดเชฟเอาอะไรมาให้ก็อร่อยไปหมดแน่ๆค่ะ
อย่างไรก็ตาม โอมาคาเซที่แพงๆรวมทั้งร้านติดดาวมิชลินทั้งหลายนี่
มันไม่ใช่โอมาคาเซแบบบังคับให้กินในสิ่งที่เชฟทำนะคะ
ร้านแพงมากๆทุกร้านเค้าจะถามคุณก่อนว่าคุณกินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้ ไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษไหม แพ้อาหารอะไรบ้าง
ถ้าคุณกินได้ทุกอย่าง เค้าก็ทำตามแผนของเค้ามาให้คุณ แบบนั้นก็จะเป็นโอมาคาเซจริงๆ
แต่ถ้าคุณไม่ชอบกินอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเนื้อปูปลาไก่ ขมิ้น ผงกะหรี่ หอม ผักชี อบเชย กระเทียมฯลฯ
แล้วคุณบอกเชฟไป เชฟก็จะปรับเมนูให้เป็นอย่างอื่นหรือไม่ใส่ไอ้ที่เราไม่ชอบ
(ดิฉันมีของที่ไม่ชอบกินอยู่หลายอย่าง ใครว่าอร่อยแต่ดิฉันว่าไม่อร่อยดิฉันก็ไม่กิน ก็จะบอกพนักงานก่อนทุกครั้งว่าไม่ชอบนั่นนู่นนี่)
เราก็จะได้กินอาหารรสดี วัตถุดิบชั้นดี จากเชฟฝีมือดีแบบอร่อยถูกปากเราร้อยเปอร์เซ็นต์
ไม่ใช่ต้องกล้ำกลืนกินอะไรก็ได้ที่เชฟสรรหามาให้
ส่วนความแพงนั้นก็มาจากหลายปัจจัย
ทั้งจากความพิถีพิถันในการ "สรรหา"และ"วิธีตระเตรียม" "วิธีปรุง"วัตถุดิบ
แต่หลักใหญ่ๆเลยก็จะแพงที่ตัววัตถุดิบเสียมากเพราะเน้นการใช้วัตถุดิบชนิดพิเศษสดใหม่ หากินยาก
อย่างเช่น เนื้อปลาโอสดๆที่ได้จากทะเลญี่ปุ่น สดแบบไม่ผ่านการแช่แข็งใดๆ
รสชาติและเนื้อสัมผัสจะหวานนุ่มมันกลมกล่อม แตกต่างจากปลาโอทั่วไปที่เราไปซื้อที่ตลาดปลา
ที่แม้จะซื้อแบบแพงหลายพันหลายหมื่นบาทขนาดไหนแต่มันก็คือปลาโอที่แช่แข็งแล้วค่อยเอามาละลายอีกทีอยู่ดี
ซึ่ง ปลาโอที่ไม่แช่แข็งนี้ ไม่ใช่ว่าจะจับมาส่งขายในร้านได้ทุกวันหรือได้วันละหลายๆตัว นานๆถึงจะมีสักทีหนึ่ง
ของอร่อยมากที่หายากแบบนี้จะได้รับการบรรจุให้อยู่ในเมนูราคาสูงสุดของร้านเสมอ
(เนื้อปลาสดๆกับเนื้อปลาที่สดเหมือนกันแต่ผ่านการแช่แข็งมาก่อนมันอร่อยต่างกันมากค่ะ)
ส่วนความแพงของอาหารประเภทนี้อีกประการหนึ่งก็คือ แพงค่าตัวเชฟ
เชฟเป็นแรงงานที่มีฝีมือมีทักษะ ร้านอาหารที่เชฟต้องมายืนทำต่อหน้าลูกค้าแล้วมาทำทีละชิ้นๆให้ลูกค้ากินนี่หมายความว่า
ลูกค้าจ้างเชฟแบบตัวต่อตัว เชฟแทบจะไม่ได้มีโอกาสไปทำให้ใครอีกเพราะต้องคอยดูแลลูกค้าที่เค้าดูแลรับผิดชอบอยู่
พอทำให้กินหนึ่งคำ ก็ต้องคอยดูว่าลูกค้าเคี้ยวหมดหรือยัง กลืนลงไปและมีทีท่าว่าพร้อมจะกินต่อหรือยัง
พอเห็นว่าลูกค้าพร้อมแล้วเค้าก็จะทำเมนูถัดไปให้กิน ของแบบนี้ต้องรู้จังหวะ ต้องไม่เร่งลูกค้าเกินไปและต้องไม่ปล่อยให้ลูกค้ารอจนขาดช่วง
ซึ่งการกินแบบนี้มันคือการจ้างเชฟมาดูแลเราแบบตัวต่อตัวเหมือนจ้างครูสอนภาษามาสอนให้ตัวต่อตัว
สนนราคาก็ย่อมต้องสูงตามไปด้วยเป็นธรรมดา
...ง่ายๆว่าที่แพงไม่ใช่เพราะคิดแค่เรื่องอร่อยไม่อร่อยหรือแค่เรื่องวัตถุดิบ
แต่เพราะเค้าถือว่าการรับประทานเป็นพิธีกรรมบันเทิงเริงรมย์ที่ลูกค้าจะได้รับการดูแลระดับเอ๊กซคลูซีฟ(เป็นรายบุคคล)
ซึ่งคนที่จะมาทำพิธีกรรมแบบนี้ให้ได้ (มาให้บริการได้)ต้องมีทักษะสูงมากๆและคนมีทักษะสูงมากๆจะมาจ้างกันถูกๆก็ใช่ที่
พอรวมเรื่องวัตถุดิบและบรรยากาศร้านเข้าไปด้วย ราคาจึงออกมาน่าทึ่งเช่นนี้ล่ะค่ะ
...อนึ่ง การหาความสำราญของคนเรานั้นไม่มีแบบแผนตายตัวและไม่สามารถจะไปบังคับให้ชอบหรือไม่ชอบเหมือนกันได้
คุณเจ้าของกระทู้ควรมาลองบรรยากาศแบบนี้ดูเองที่ญี่ปุ่นแล้วค่อยถามตัวเองว่าชอบหาความเพลิดเพลินเจริญใจสไตล์นี้มั้ย
ถ้าใช่ก็มาอีกถ้าไม่ใช่ก็ไปหาอะไรอื่นที่ถูกใจเรามากกว่า
ป.ล.อย่าไปเชื่อนิตยสารบางฉบับที่บอกว่า โอมาคาเซ คือ การกินแบบผู้บริโภคไม่มีสิทธิเลือกเมนู
ดิฉันยืนยันเลยว่าไม่จริง ยิ่งคุณไปกินร้านแพงเท่าไร คุณยิ่งมีสิทธิ์เลือกมากเท่านั้น
ร้านที่ไม่มีสิทธิ์เลือกเมนูในญี่ปุ่นถึงจะมีอยู่จริงแต่นั่นหมายความว่า ลูกค้ากับเชฟมีรสนิยมเดียวกัน ร้านถึงอยู่ได้
ถ้าลูกค้าไปร้านที่เลือกเมนูกินไม่ได้แล้วเชฟเอาอาหารที่ลูกค้าไม่ชอบมาให้กิน ลูกค้าก็จะไม่ไปร้านนั้นอีกแน่นอนค่ะ
คนญี่ปุ่นก็คนเหมือนคนไทยเหมือนคนอื่นๆทั่วโลก มีชอบมีไม่ชอบ มีร้านถูกปากไม่ถูกปากเช่นกัน
ไม่ได้พิสดารขนาดเชฟเอาอะไรมาให้ก็อร่อยไปหมดแน่ๆค่ะ
ความคิดเห็นที่ 4
เขามีจะจ่าย
เขาก็กิน ก็จ่ายไปตามสิ่งที่เขามีครับ
คำว่า "อร่อย" ของคน มันตัดสินอะไรไม่ได้หรอก
มันไม่มีกฏตายตัว
ลิ้นใคร ลิ้นมันครับ
ผมไม่มีขนาดนั้น
ไม่คิดจะอยากกินอะไรขนาดนั้น
แต่ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร ไม่ใช่เรื่องผิด เรื่องถูก
ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ถึงกับเสียชาติเกิด
ทำใจดีๆไว้นะครับ
เขาก็กิน ก็จ่ายไปตามสิ่งที่เขามีครับ
คำว่า "อร่อย" ของคน มันตัดสินอะไรไม่ได้หรอก
มันไม่มีกฏตายตัว
ลิ้นใคร ลิ้นมันครับ
ผมไม่มีขนาดนั้น
ไม่คิดจะอยากกินอะไรขนาดนั้น
แต่ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร ไม่ใช่เรื่องผิด เรื่องถูก
ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ถึงกับเสียชาติเกิด
ทำใจดีๆไว้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
การกิน โอมากาเสะ Omakase เทพๆ ที่หัว คนละเกือบหมื่น กับไม่ถึง20คำ กินตามเซฟสั่ง (มันคือ อร่อยดีที่สุด จริงหรอ?)
มันคือ การกิน ที่เลือกไม่ได้ กินตามที่เซฟจะหาวัตถุชั้นเลิศมาให้ กับไม่กี่คำ
อยากถามจริงๆๆ คือ เรามะโนไปเองไหม คือ มันอร่อยขนาดไหน? อร่อยแบบ สรรหาคำพูดมาเปรียบเทียบไม่ได้? หรืออย่างไร?
อันนี้ คือ เราอยากรู้นะ ว่า มันอร่อยขนาดนั้นเชียวหรอ ที่ยอมเสียเงินหลักหมื่น(บางร้าน ระดับ ELLEMEN) กับกินไม่กี่คำ เลือกกินก็ไม่ได้ เค้าหาอะไรมาให้เรากิน เราก็ต้องกิน ตกแล้วคำละ1000 หรือ 2000 หารเฉลี่ยแล้ว
มัน คือการมะโนไปเองไหม หลังๆๆ เห็นโพสกันเยอะ
คือ มันขนาดนั้นเลยหรอ? ถามจริงๆๆ คือ เราไม่ได้อิจฉาคนที่กินนะ แต่บางทีคนมากินแล้วพูดประหนึ่งว่า
(ครั้งนึงในชีวิต หรือ ตายเสียชาติเกิด ถ้าไม่เคยได้กิน)
ฟังแล้วมันแบบว่า คือ ถ้าชั้นเกิดมาแล้ว ไม่คิดจะอยากกิน คือ ชั้นเสียชาติเกิดเลยหรอ?
เราอยากรู้ว่า ยอมเสียเงินขนาดนั้น อยากทราบรสชาติ มันเป็นยังไง? อร่อยขนาดไหน? กินเสร็จ(เสียดายเงินไหม) หรือ ว่า คุ้มกับเงินที่เสียไป
ที่ถามเพราะ ชาตินี้เราคงไม่มีปัญญากิน เงินเดือนแค่2หมื่น แต่จะไปกินมือนึงหลักหมื่นกับไม่กี่คำ เราคงไม่มีปัญญากิน
แต่คนที่ยอมจ่ายไป คือ รสชาติที่ได้ลอง(มันจะขนาดไหน อยากทราบมากๆ)