บันทึกการเดินทาง | 48 วันจากกรุงเทพ ถึง มิวนิค ตอนที่ 4 หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก


ตอนที่ 4 หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก


กระทู้ก่อนหน้านี้
https://ppantip.com/topic/37364297 การเตรียมตัว
https://ppantip.com/topic/37383467 ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น ณ หัวลำโพง
https://ppantip.com/topic/37391329 ตอนที่ 2 เมืองที่เต็มไปด้วยเสียงแตร
https://ppantip.com/topic/37404758 ตอนที่ 3 เข้าสู่จีนอย่างเป็นทางการ

เช้าวันที่ 10 ของการเดินทาง

หลังจากนอนกันไปเต็มอิ่ม เสียงแรกของวันเลยนั้นก็คือ เสียงเทียนเทียนเรียกคุณแม่ของเค้าให้พาไปเข้าห้องน้ำ
ตามมาด้วยเสียงงัวเงียของคุณพ่อในอาการแฮงค์ๆ แล้วพูดออกมาเป็นภาษาจีนว่า เถ่วทุ้ง แปลว่าปวดหัว
ก็แน่ละสิครับ เล่นดื่มไปขนาดนั้น 5555555
ก่อนที่รถไฟจะจอดที่ปักกิ่ง เราใช้เวลานั่งมองออกหน้าต่างนิ่งๆไม่นาน
เราก็หันมาแพคกระเป๋าข้างของส่วนตัว เตรียมตัวลง
เรากับครอบครัวเทียนเทียนก็แยกย้าย ร่ำลากันไป เทียนเทียนดูท่าจะไม่อยากให้เราไป
เราก็รอเพื่อนนิด้ามารับแล้วให้พาไปโฮสเทลเราที่จองไว้ Happy Dragon Saga Youth Hostel
ซึ่งโฮสเทลเนี่ยบอกเราว่าใกล้สถานีรถไฟใต้ดินนะ เดินแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว
พอเดินจริง แม่มตั้ง 600-700 เมตรได้ เดินเกือบ10นาที
แต่โฮสเทลนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นฝรั่งๆมาพัก จะมีบาร์ชั้นล่างให้เหล่านักดื่ม
และได้เจอเพื่อนใหม่ๆจากทั่วโลก และพนักงานสื่อสารอังกฤษได้ดีมากๆ
พอถึงก็รีบเช็คอิน แล้วรีบเอาเสื้อผ้าทั้งหมดส่งซักเพราะวันนี้เป็นวันที่ 10 เสื้อเราเกลี้ยงแล้ว
ค่าซักผ้าของที่นี่คิดเป็นกิโล กิโลละ 10 ขีด ไม่ใช่ว้อยยย กิโลกรัมละ 20 หยวน
อีกอย่างเราจะอยู่ปักกิ่ง 3 คืนด้วยกัน ฉะนั้นมีเวลาให้เสื้อแห้งสบายๆ
(บางโฮสเทลมีเครื่องอบผ้า โดยเฉพาะในยุโรป)
กว่าจะจัดการอะไรหลายๆอย่างเสร็จ ก็ปาเข้าไปเที่ยงๆแล้ว
โปรแกรมวันนี้เลยจะไปได้แค่หอฟ้าเทียน ให้นั่งใต้ดิน Tiantandongmen line 5 exit A
การซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินนั้นก็ง่ายแสนง่ายและถูกมาก ไปซื้อที่เคาน์เตอร์แจ้งสถานีที่จะไป
หรือจะซื้อจากตู้ขายอัตโนมัติ
บรรยายกาศภายในนั้น จะเป็นการเล่นไพ่เล่นหมากรุกของเหล่าผู้สูงวัยซะส่วนใหญ่
สำเนาถูกต้อง

ประวัติสั๊นนน สั้น กันซะหน่อย

หอบูชาฟ้าเทียนถาน (Tian Tan Temple of Heaven Park – 天坛)
ถูกลงทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1998 หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในจีน
สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ค.ศ.1420 เป็นสถานที่ซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง
และราชวงศ์ชิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา เพื่อขอพรให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล
เที่ยวได้ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็ตกซะแล้ว เพราะว่าช่วงหน้าหนาวนั้นพระอาทิตย์จะขึ้นช้าและตกเร็วกว่าปกติ
อย่างปักกิ่งช่วงที่เราไป 5 โมงเย็นก็เริ่มมืดแล้ว
ตกกลางคืนเราก็ไปเดินเล่นที่ ถนนหวังฟู่จิน ให้นั่งใต้ดินลง Wangfujin line 1 exit C
อารมณ์เหมือนเดินสยามบ้านเรานี่แหละครับ วัยรุ่นเยอะ ห้าง ช็อป ร้านอาหารเยอะแยะมากมาย
เตรียมเงินมาอย่างเดียว ไม่ต้องวางแผนอะไรล่วงหน้า ได้ใช้แน่นวลไม่ต้องห่วง 555555
สตรอเบอร์รี่เคลือบน้ำตาล ไม้ละ 20 หยวน อร่อยดีนะครับ ความเปรี้ยวจากตัวสตรอเบอร์รี่ตัดกับความหวานของน้ำตาล
เข้ากันพอดิบพอดี เดินเที่ยว กินข้าวกินโน่นกินนี่ อิ่ม ก็ได้เวลากลับที่พัก
เพราะพรุ่งนี้ตื่นเช้าไปกำแพงเมืองจีน

วันที่ 11 ของการเดินทาง

วันนี้ตื่นสายไปนิดหน่อยกว่าจะได้ออกจากโฮสเทลก็ปาเข้าไป 09.30 แล้ว
แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก กำแพงเมืองจีนที่เราจะไปวันนี้จะไปด่าน
มู่เที่ยนยวี่ (Mutianyu) คือต้องบอกก่อนว่ากำแพงเมืองจีนมีหลายด่านมากๆ
ด่านที่ฮิตที่สุดคงไม่พ้นด่าน ปาต้าหลิ่ง (Badaling) เพราะทางการเค้าบูรณะให้สภาพมันสมบูรณ์อยู่เสมอๆ
แต่ก็ต้องแลกกับนักท่องเที่ยวที่จะเยอะมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะคณะที่มากับทัวร์
ส่วนใครที่อยากดูกำแพงเมืองจีนที่ยังคงความขลัง ดั้งเดิม และมีสภาพเป็นซากปรักหักพังอยู่บ้าง
ก็คงต้องไปด่าน จินซานหลิ่ง (Jinshanling) อย่างที่ หมอๆตะลุยโลก ไปมา
ส่วนใครที่จะไปด่าน มู่เทียนยวี่ ตามมากับเราได้เลยครับ
ลงสถานี Dongzhimen exit B เดินตามป้าย Transpot hub
ตามป้ายไปเลยครับไม่หลงแน่นอน ก่อนจะถึงตัวรถบัสจะมีห้องน้ำและร้านขายของเล็กๆ
เผื่อใครอยากเตรียมเสบียงไปก่อน เพราะไปซื้อที่ด่านจะมีราคาสูงกว่า
นั่งสาย 916 express ประมาณ1ชั่วโมง ลงป้าย Mingzhuguangchang ออกเสียงว่า
หมิงจู้กวางฉ่าง คอยฟังเอาครับ ค่ารถขามา 11 หยวน
(ควรเตรียมเงินให้พอดีเพราะไม่มีทอนใช้หยอดใส่กล่อง)
คันนี้แหละครับ ขึ้นไปเลย

พอถึงจะเจอแทคซี่ป้ายดำหรือเถื่อน มารอรับผู้โดยสาร เค้าก็จะพูดว่า มู่เที่ยนยวี่ มู่เที่ยนยวี่
ก็เตรียมสกิลต่อรองราคากันได้เลย ต่อหนักๆไว้ก่อน 555555
เราถามเค้าว่าเท่าไหร่ เค้าบอกมา 80 หยวน เราต่อ 40 ไม่ให้ ให้ 60
ก็ต่อกันไปต่อกันมาได้ที่ 50 หยวน แต่เรามาแค่ 2 คน
ถ้ามา3-4คนอาจจะถูกว่านี้เพราะหารได้หลายคน นั่งกันได้ประมาณ 20-30 นาทีเห็นจะได้
ก็มาถึงจุดขายตั๋ว เค้าก็พาเราไปซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์
พอเข้ามาในอาคารมันจะมีให้เราเลือกว่าจะ ขึ้นลงแบบไหน
แล้วแต่เราจะเลือกเอานั่งกระเช้าแบบมีประตู (Cable car) หรือ กระเช้าที่นั่งห้อยขา (Ropeway) ที่ชอบที่สุดคือขาลงจะไม่ใช่เดินหรือนั่งกระเช้าลง แต่จะเป็นบอร์ดให้เรานั่งสไลด์ไปในราง (Tobaggan) โยกไปข้างเพื่อเร่งความเร็วและโยกมาข้างหลังเป็นการเบรค ขาลงเนี่ยแหละครับสนุกสุดๆ
ทั้งหมดทั้งมวล ราคาอยู่ที่คนละ 120 หยวน ไม่รวม Shuttle bus
พร้อมแล้วก็เตรียมตัวขึ้นไปชมความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองจีนกันได้เลย
ใครที่ไม่ได้กินข้าวเช้ามาตรงหน้าด่านก่อนเข้ามีพวกฟ้าสต์ฟู้ด ขายอยู่พอสมควร
และอย่าลืมซื้อน้ำ ซื้อขนมคบเคี้ยวขึ้นไปด้วยล่ะ เพราะเราจะเดินกันหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
พอเข้าไปอันดับแรกคือเราต้องขึ้นชัตเติ้ลบัสไป แล้วค่อยนั่งกระเช้าอีกที
เราเลือกแบบนั่งห้อยขา ไม่หวาดเสียวครับ นั่งสบายๆเพลินๆ แปปๆก็ขึ้นมาถึงตัวกำแพงกันแล้ว

ช่วง ประวัติสั๊นน สั้น กันสักหน่อย

กำแพงเมืองจีน (จีนตัวย่อ: 长城; จีนตัวเต็ม: 長城; พินอิน: Chángchéng "ฉางเฉิง", อังกฤษ: Great Wall of China)
เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัย ราชวงศ์ฉิน
ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจาก ชาวฮัน หรือ ซฺยงหนู คำว่า ซฺยงหนู บางทีก็สะกดว่า ซุงหนู หรือ ซวงหนู
ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอารยธรรมจีนในยุคต้นๆ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว (ราว 400 ปีก่อนคริสตกาล)
เนื่องจากจะเข้ามารุกรานจีนตามแนวชายแดนทางเหนือ ในสมัยราชวงค์ฉิน ได้สั่งให้สร้างกำแพงหมื่นลี้ตามชายแดน
เพื่อป้องกันพวกซยงหนูเข้ามารุกรานและพวกเติร์กจากทางเหนือ
หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน
แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ

Cr. https://th.wikipedia.org/wiki/กำแพงเมืองจีน


ระหว่างทางเราก็เดินไปป้อมโน้นที ป้อมนี้ที พักดื่มน้ำบ้าง

พอเดินขาลากจนพอใจแล้ว ก็เดินลง ระหว่างที่ลงไปก็จะเจอซุ้มที่ขายน้ำขายของกินจุกๆจิกๆ
เราบังเอิญเห็นมีขายเบียร์ มองวิวจากบนกำแพงเมืองจีนแล้ว บรรยากาศมันช่างน่าจิบจริงๆ
เลยถามราคา สนนมากระป๋องละ 50 หยวน เห้ยย !! บ้าไปแล้วใครจะกินเบียร์กระป๋องละ 250 บาทวะ
แต่ด้วยความอยากดื่มไงเลยต่อไป 15 หยวน คำตอบคือส่ายหน้า ส่ายหน้าเราก็หันหลังเดินลงสิ รออะไร
ไม่นานนักเค้าก็เดินมาตาม ลดให้เหลือ 20 หยวนละกัน เราก็ส่ายหน้า บอก 15 หยวนเท่านั้น
ตื้อไปตื้อมา เค้าถึงยอม 5555555 แหม่ บรรยากาศพร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ
อย่างนี้มันช่างยียวนใจได้ดีจริงๆ
และความสนุกสุดท้ายที่เรารอก็มาถึง นั้นก็คือการนั่งบอร์ดสไลด์ลงกำแพงเมืองจีน
หลักการไม่มีอะไรเลยครับ โยกไปข้างหน้าเร่งความเร็ว โยกเข้าหาตัวเป็นการเบรค

หลังจากที่เราเริ่มนั่งบอร์ดสไลด์มาได้สักพัก ก็มีคนตามเรามาทันติดๆ คล้ายจะเป็นชาวอินเดีย
เราคิดในใจ “เมิงจะสไลด์มาเร็วๆทำไมวะ ยังไม่ทันสนุกก็หมดรอบแล้ว” แต่ทำไงได้
แม่มเล่นจี้มาติดๆ ไม่ได้การล่ะ เราเลยต้องสวมวิญญาณนักบิดติดเครื่องหนี
ชื่อนี้เสียไม่ได้ หันหน้ากลับมาบิดคันเร่งหมดปลอกแล้วค่อยๆหมอบ เพื่อให้ลู่ไปกับลม ไอสัส ไม่ใช่มอเตอร์ไซด์
โอเค กลับมาต่อเถอะ เราก็แค่โยกไปข้างหน้าค้างไว้ทำความเร็วสักหน่อย เพื่อทิ้งระยะห่างกัน
จะได้ไม่ชน และก่อนที่จะถึงจุดที่ลงจากบอร์ด เค้าจะมีตู้ถ่ายรูปตอนที่เราสไลด์มา ใครอยากซื้อภาพเก็บไว้ให้มองไปทางด้านขวา
ภาพจะได้ออกมาดูเท่ๆ สวยๆ หน่อย สนนที่ใบละ(จำไม่ได้ค่อยแหะ 20-30 หยวนนี่แหละครับ 555555)

ขากลับเป็นไปได้อย่ากลับเกิน 4 โมงเย็นนะครับ ยิ่งช่วงหน้าหนาวแทคซี่เถื่อนนั้นน้อยมากครับ
เกรงว่าจะกลับกันลำบาก อย่างเรากลับออกมา 4 โมงนิดๆ เจอแทคซี่เรียกลูกค้าอยู่ 2 คนเอง
เราได้เป็นป้าๆ มาขับส่งเรา ต่อได้ราคาเดิมเลยคับ 50 หยวน บอกป้าๆแกว่าเราจะไป เป่ยจิง(ปักกิ่ง)
เดี๋ยวป้าแกจะขับพาเรามาส่งที่ป้ายรถเมล์ เราก็นั่งสายเดิมครับ 916 แต่ขากลับ 12 หยวนเพราะป้ายไกลกว่าเดิม
(ขากลับเราขาด 2 หยวน เพราะลิมนึกถึง มีแต่แบงค์ 100 หยวนแล้ว
แต่เจอคนจีนใจดีที่นั่งข้างๆเอาเหรียญยื่นให้เราที่ขาดอีก 2 หยวน ก็เป็นเรื่องประทับใจมากเลยทีเดียว)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่