ใคร ใครสักคน จะมีไหม ที่เขาต้องการฉัน
" ใคร ใครสักคน จะมีไหม ที่เขามองเห็นแววตาที่อ่อนแอ"
เสียงอันคุ้นหู ของคุณ กิตติศักดิ์ บัวพันธุ์ หรือ พี่เอ๋ อีโบล่า ก้องเข้ามาในหู
เป็นเนื้อเพลง ท่อน intro ของเพลง "คนที่ไร้ข้อแม้" เพลงใหม่ของวง Ebola ที่พึ่งปล่อยมาให้ฟังกันได้ไม่นานเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วที่ผ่านมา ด้วยเนื้อหาเพลงที่กินใจ ติดหูและชอบมากๆตั้งแต่ฟังครั้งแรก
เมื่อเพลงๆนี้ดังก้องเข้ามา ก็ต้องเปิดไปฟังอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เป็นการฟังซ้ำไป ซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า กดฟังวนไปแบบไม่อาจจะข่มตานอนได้เสียที
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ ชาวพันทิป ผมไม่รู้ว่าผมจะใช้คำๆนี้ กับคนที่ไม่เคยได้รู้จักกันใน ณ ที่นี้ ได้มากน้อยแค่ไหน ในการเขียนครั้งนี้อย่างสนิทใจ
เพราะแม้แต่คำๆนี้ ในชีวิตจริง คำว่า"เพื่อน , พี่ๆ , น้องๆ" ผมยังรู้สึกสับสนไปหมดแล้วเลย ว่าเราจะเรียกใครในชีวิตที่เข้ามาแบบนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ก่อนเข้าเรื่อง ผมขอ แนะนำตัวสักเล็กน้อย ว่าด้วยตัวผมเองนั้น เป็นนักอ่าน และ นักเขียน ผมจึงติดนิสัยชอบพิมพ์สาธยายท้าวความอะไร ยาวๆ เพ้อเจ้อไปเรื่อย ซึ่งก็อาจจะไม่ได้มีใครสนใจตามอ่านเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นกระทู้เกี่ยวกับตัวของผมเอง
กระทู้นี้ ผมจะพยายามสรุปให้สั้นที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้นะครับ ..ซึ่งความจริง ปัญหามันมากมายเหลือเกิน เกินที่ผมจะเก็บความรู้สึกสิ่งที่เป็นนี้ไว้ได้
ผมกำลังมีปัญหาครับ
ขอเข้าเรื่องนะครับ มีใครเคยเป็นเหมือนกันกับผมหรือเปล่าครับ กับอาการนี้ กับการหมดแรงในการเป็นตัวเอง ...
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเอง หมดแล้วเรี่ยวแรงทุกอย่าง มันไม่ใช่อาการของคนที่เกลียดตัวเอง แต่มันคืออาการของคนที่หมดใจในตัวเอง หมดใจ กับไอคนที่กำลังนั่งพิมพ์ข้อความอยู่นี้ จนต้องพยายามเกริ่นบทนำเพื่อใม่ให้ตัวเองไม่ซีเรียสจนเกินไป คุณรู้ไหมครับ เมื่อผมเริ่มเข้าบทซีเรียส ผมต้องใช้ความพยายามในการพิมพ์ต่อมากแค่ไหน ถึงจะพิมพ์ต่อไปได้ มันไม่ง่ายเลยครับ ที่จะต้านความรู้สึกซึ่งหมดสิ้นแล้วที่อยากจะทำอะไรต่างๆ แม้จะพิมพ์เขียนบรรยายความรู้สึก
ผมไม่รู้ ว่าเคยมีใครรู้สึกอย่างนี้ หรือกำลังเป็นแบบผมหรือเปล่า แต่ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ เป็นมาพักใหญ่นานมากแล้ว และก็พยายามแล้ว พยายามที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร กับสิ่งที่เป็นตอนนี้
ผมรู้สึกหน่าย และหมดแรงไปเอง ที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ผมเป็นคนรักสัตว์ เลี้ยงสัตว์ และเลี้ยงพวกปลาสวยงาม ทุกๆอาทิตย์ในวันหยุด ผมจะต้องตื่นขึ้นมาเปลี่ยนถ่ายน้ำตู้ปลาต่างๆที่ผมเลี้ยงไว้ คอยดูแลตัดแต่งต้นไม้น้ำที่ปลูกอยู่ในตู้ ทุกวันนี้ผมทิ้งและหมดแรงแม้จะทำในสิ่งที่ผมรัก
ผมสะสมพวกโมเดลประกอบ ก็ได้มีซื้อๆเก็บไว้ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ การที่จะหยิบมันมาสักกล่องเปิดต่อเล่นๆก็เป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกิน
งานเขียนภาพ อะไรต่างๆที่ผมเคยทำ ตอนนี้ผมทิ้ง ห่างหายจากการจับดินสอ ด้ามพู่กันไปหลายปีมากๆ ตั้งแต่โตและเริ่มใช้ชีวิตมา หลังจากที่ไม่ได้มีงานต้องใช้อะไรพวกนี้เข้ามา ก็ไม่ได้จับมันอีกเลย
ภาพถ่ายกี่ร้อยภาพที่ผมเคยถ่ายๆมันเอาไว้ ทุกวันนี้จะแค่เอาลงคอม ยังลงไม่หมด ไม่มีกระจิตกระใจจะลง ขนาดภาพถ่ายที่ว่าจะเอาแต่งลงเฟสบุ๊คเล่นๆ ยังไม่ได้ทำ พอจะเริ่มทำก็หมดใจ
งานเขียนกี่คอลัมน์ ที่ผมเขียนทิ้งดองเผื่อๆไว้ใช้ในคอม ก็ไม่มีแม้แต่ไฟที่จะขุดมันมาเรียบเรียงใช้จริงเสียที
ผมพยายามจะออกกำลังกายทุกเย็น ก่อนอาบน้ำนอน ก็ไม่สามารถทำได้ในทุกครั้ง ตอนเช้าผมพยายามจะตื่นมาวิ่ง ก็ไม่มีแรงที่จะก้าวมันออกไป
มีเพียงวันที่ฝืนร่างกายตัวเองออกไปเท่านั้น ที่พยายามออกไปวิ่งให้สุด ให้มีใจกับตัวเองกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ได้แค่นั้น และจะกลับมาสิ้นหวังอยู่ร่ำไป
สิ่งที่ผมทำได้ และทำได้ดีที่สุดคือการนอน นอนหลับจนเช้า นอนหลับจนเย็น นอนจนกว่าจะมีเรี่ยวแรง นอนจนกว่าจะลืมความทุกข์
ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายเย็น หรือเวลาไหนๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ผมจะรู้สึกง่วงอยู่ตลอดเวลา และทุกครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหน ที่ผมนอนหลับได้สนิท ตั้งแต่โตพ้นรั้วสถานศึกษามาและใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริง ชีวิตผมค่อนข้างมีปัญหา และเจอปัญหามาเยอะพอสมควร ตอนช่วงมัธยมปลาย ผมก็เริ่มป่วยเป็นไมเกรน ขั้นรุนแรงจนถึงส่งผลให้อนาคตผมพลิกผันไปเลยอย่างทุกวันนี้ แม้ปัจจัยบันผมจะหายเกือบขาด 100% และไม่มีอาการปวดไมเกรนแล้วก็ตาม
ผมไม่อาจเอาปัญหาของผมไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วบอกว่ามันหนัก หรือ เบากว่า เพราะผมรู้ดีว่า ทุกเรื่อง ที่มันคือปัญหา สำหรับทุกคนก็คงรู้สึกหนักและทุกข์ใจกันทั้งนั้น
ทุกครั้งที่ผมข่มตานอน ผมจะต้องฝันเรื่องนู้นเรื่องนี้ตลอดเวลา ไม่มีครั้งไหนที่ผมไม่ฝัน เพราะเหมือนในหัวผมจะต้องคิดเรื่องตัวเอง เรื่องอนาคตตลอดเวลา แม้ร่างกาย แม้ตัวจะไม่ได้ทำอะไร แต่ใจ มันไม่เคยได้หยุดพักเลย เพราะชีวิตผมยังเป็นแบบนี้ ยังไม่ดี และมันกำลังจะเริ่มแย่ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
วันที่ผมนอนหลับสนิทจริงๆก็คือ วันที่ผมรู้สึกต้องสู้กับชีวิต ฮึดขึ้นมาได้เหมือนแรงเฮือกสุดท้ายที่ต้องฝืนร่างกายทำมัน อดหลับอดนอน จนสุดท้ายผมสลบไปเองโดยไม่รู้ตัว ว่าเผลอนอนหลับไปตอนไหน อาการผมเคยหนักสุด คือเดินเข้าห้องนอนเองโดยไม่รู้ตัวจริงๆ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินเข้าห้องนอนและล้มตัวลงนอนทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดทำงานได้ยังไง
กับเวลาที่ผมได้ออกท่องเที่ยวคนเดียว หรือไปกับใครก็ได้ ที่ได้ปล่อยใจไปกับธรรมชาติ เข้าไปนอนในป่าเขา เสพสมบ่มใจอยู่กับธรรมชาติสีเขียวๆ หลับตาเงี่ยหูฟังเสียงนกเสียงแมลงที่อยู่รอบกาย แม้จะได้นอนเพียง 2 - 3 ชั่วโมง ผมก็รู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้ตื่นขึ้นกลางป่า และรู้ว่าตัวเองไม่ต้องกลับเข้าไปเจออะไรต่อมิอะไรในจิตใจแบบสังคมคนเมือง
ปัจจุบันนี้ ผมรับงานฟรีแลนซ์ทั่วไป ควบคู่ไปกับช่วยงานประจำของที่บ้าน ซึ่ง ณ ตอนนี้ ผมหยุดรับงานนอกมาพักใหญ่ๆแล้ว เพราะรับไป ประสิทธิภาพเราก็ไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร พูดง่ายๆคือผมไม่อยากทำหรือทำมันไม่ได้เลยก็แล้วกัน และออฟฟิศที่บ้าน ผมก็ไม่ได้เข้า ยกเว้นจะมีงานสำคัญจำเป็นจริงๆเท่านั้น ซึ่งผมต้องฝืนตัวเองมากๆบางทีก็ทำไม่ได้ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนเหมือนคนป่วยไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร นอนทบทวนตัวเองไปงั้นๆมาพักใหญ่ๆแล้ว มีลุกขึ้นมาได้ไปรับ ไปส่งน้อง แม้จะลุกขึ้นมากินข้าวยังขี้เกียจและเบื่อไม่อยากจะกิน
ผมผิดหวังในตัวเอง ผมทุกข์ ทั้งๆที่ผมอยากทำสิ่งๆต่างๆให้มันได้ ให้ชีวิตดีกว่านี้ ทั้งเรื่องที่บ้าน ที่ผมต้องช่วยอะไรต่อมิอะไร แต่ผมกลับทำไม่ได้
มันเหมือนอะไรก็เหลวแหลก ล้มเหลวไปหมด ทั้งๆที่บางเรื่องมันเหมือนเคยเป็นเรื่องที่ง่ายๆ
อาจเป็นเพราะในอดีตที่ผ่านมามันมีอุปสรรคต่างๆมากมายให้ผมต้องฝ่าฟัน แต่ถึงอย่างนั้น แทนที่มันจะทำให้ผมเข้มแข็ง กลับไม่เลยครับ
ก่อนหน้านี้ ผมเคยตั้งกระทู้ ว่าผมควรทำอย่างไร เพราะมีคนๆหนึ่งที่ได้เข้ามาเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันให้กับผม แม้เขาจะไม่รู้ก็ตาม
ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้เลย ผมกลับรู้สึกว่า ตัวของตัวเอง ผมยังเอาไม่รอด ผมกลับกลัว ก่อกำแพงสูงขึ้น สูงขึ้น ที่จะรู้จักใครๆอีก
การสร้างอนาคต และพยายามทำให้เป็นดั่งฝั่งฝันในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงกลีบกุหลาบ แต่มันไม่มีแม้แต่กรีบดอกไม้งามใดๆ มีแต่เสี้ยนหนามและดอกไม้ประดิษฐ์ที่วางหน้าเมรุรออยู่ตรงหน้า
" ผมอยากจะหายไปจากโลกใบนี้ แบบหายไปเลย โดยที่ไม่ต้องมีคนจดจำ ไม่มีใครจำผมได้ ว่าผมเป็นใคร ทำอะไร แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ! "
ผมไม่สามารถตายโดยที่แก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้ ตายไปโดยที่ตัวเองยังเป็นแบบนี้ ทิ้งภาระไว้ให้คนอื่น และต้องมีคนเดือดร้อนจากการจากไปของผม
ถ้ามีทางใดให้ผมมลายหายไปเลย โดยที่ไม่ต้องมีคนรู้ คนเดือดร้อน ผมคงทำไปแล้ว เคยมีความคิดบ้าๆบอๆในหัวว่าถ้าผมปลดทุกอย่างได้แล้ว ผมแทบอยากนั่งเรือไปเที่ยวทะเลที่ไหนสักแห่ง แล้วโดดลงไปตรงนั้นให้ตัวเองกลายเป็นอาหารปลาฉลาม ไม่ต้องเหลือซาก ไม่ต้องมีงานศพ นั่นคงเป็นการตายของผมที่คุ้มค่าที่สุด แต่มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ไงครับ ทางออกของตอนนี้คือ เหมือนผมต้องทนมีชีวิต ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จากเด็กคนหนึ่ง ที่เคยมีความฝันที่ชัดเจน วันหนึ่งจะเดินมาถึงจุดๆนี้ จุดที่รู้ว่าความสุขของตัวเองคือการได้ทำอะไร แต่กลับมีความสุขไม่ได้ "
สิ่งที่ผมเหมือนจะเกลียดก็ไม่ใช่ ไม่ชอบก็ไม่เชิง ในทุกวันนี้ที่ผมเป็นอีกอย่าง คือถึงแม้ว่าผมจะเป็นอย่างทุกวันนี้ แต่ผมกลับมักคอยรับฟัง และคอยเป็นที่ปรึกษาให้คำปรึกษา ปรับทุกข์ให้กับคนอื่น เพราะผมรู้ดีว่า เวลาคนเราทุกข์ ล้วนต้องการคนรับฟังคนอยู่ข้างๆ จะมีเพื่อนๆ หรือใครๆก็ตามที่ผมรู้จัก มักเข้าหาผมเวลาทุกข์ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเสมอ ก็เพราะว่าผมเข้าใจพวกเขาดีกระมัง ซึ่งผมก็เข้าใจจริงๆนั่นแหละ และผมก็ไม่เคยปฏิเสธคำเรียกหาการต้องการใครสักคนข้างๆเหล่านั้นเลย
แต่กลับพอมาเป็นตัวของผมเอง ผมกลับรู้สึกว่า ไม่มีใครเลย ที่จะเข้าใจเราจริงๆ รับฟังเราจริงๆ และรู้ว่าเรากำลังมีปัญหานะ เวลาคนอื่นมีปัญหาเข้ามาเราสามารถรับฟังเค้าได้เป็นชั่วโมง หรืออยู่เป็นเพื่อนเค้าได้เป็นวัน หากเราไม่ได้มีธุระหรือติดงานอะไรสำคัญจริงๆ
มาตัวผมเอง มันไม่มีเลยครับ คนที่จะเข้าใจผมจริงนั้นๆ พอพวกเค้าสบายดี พวกเขาก็ไป วันไหนทุกข์ เราก็จะเป็นเหมือนที่พึ่งให้กับเขา แต่ที่พึ่งทางใจ สำหรับผมจริงๆ ตอนนี้ไม่มีเลย มันเลยทำให้ประโยคของเพลง " คนที่ไร้ข้อแม้ " ในข้างต้น
ตรงท่อนที่ร้องว่า " ใคร ใครสักคน จะมีไหม ที่เขามองเห็นแววตาที่อ่อนแอ " มันดังเข้ามาในหัวผม ณ ตอนนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เป็นเหมือนคำถามว่ามีไหม ใครสักคน ที่จะเห็นแววตาผม เห็นข้างในหัวใจของเรา ว่าเรากำลังอ่อนแอนะ ว่าข้างในลึกๆเราไม่ดีเลยเว่ย เราไม่ไหวเว่ย เรากำลังจะแพ้ เราอ่อนแอ เราสู้กับใจตัวเองด้วยตัวเราเองตอนนี้ไม่ได้ แค่เข้าใจและหันมามองเราหน่อย
มองคนที่กำลังจะหมดหวัง และกำลังจะไร้กำลัง ที่จะหายใจต่อไป
ขอบคุณ สำหรับคนที่ผ่านมาเห็นและอ่านกระทู้ ของคนที่กำลังจะหมดแรงคนนี้นะครับ คุณจะอ่านแบบผ่านๆ จะเย้ยหยัน จะดูถูก จะด่าผม ไม่เข้าใจหรืออะไรก็ตาม ก็ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นอะไรเลยจริงๆครับ แต่ถ้าหากจะมีใครสักคนที่เข้าใจ และรู้สึกว่าเคยมีเหตุการณ์ เคยผ่านช่วงเวลา หรือรู้สึกว่าเป็นอะไรที่คล้ายๆกัน ช่วยดึงผมขึ้นมาที ..หากหนึ่งเม้นของคุณ จะต่อแรงและลมหายใจของผม
ผมคงไม่มีความรู้สึกอะไร ที่จะบอกไปมากกว่าคำว่า ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ
(ผมพยายามจะพิมพ์ให้สั้นแล้ว แต่ก็ไม่ไหวระบายไปเรื่อย ซึ่งมันก็ไม่สามารถระบายได้หมดเลยจริงๆ)
ก่อนจะหมดหวัง ...ก่อนไร้กำลัง .(หันมามองฉันที)
" ใคร ใครสักคน จะมีไหม ที่เขามองเห็นแววตาที่อ่อนแอ"
เสียงอันคุ้นหู ของคุณ กิตติศักดิ์ บัวพันธุ์ หรือ พี่เอ๋ อีโบล่า ก้องเข้ามาในหู
เป็นเนื้อเพลง ท่อน intro ของเพลง "คนที่ไร้ข้อแม้" เพลงใหม่ของวง Ebola ที่พึ่งปล่อยมาให้ฟังกันได้ไม่นานเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วที่ผ่านมา ด้วยเนื้อหาเพลงที่กินใจ ติดหูและชอบมากๆตั้งแต่ฟังครั้งแรก
เมื่อเพลงๆนี้ดังก้องเข้ามา ก็ต้องเปิดไปฟังอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เป็นการฟังซ้ำไป ซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า กดฟังวนไปแบบไม่อาจจะข่มตานอนได้เสียที
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ ชาวพันทิป ผมไม่รู้ว่าผมจะใช้คำๆนี้ กับคนที่ไม่เคยได้รู้จักกันใน ณ ที่นี้ ได้มากน้อยแค่ไหน ในการเขียนครั้งนี้อย่างสนิทใจ
เพราะแม้แต่คำๆนี้ ในชีวิตจริง คำว่า"เพื่อน , พี่ๆ , น้องๆ" ผมยังรู้สึกสับสนไปหมดแล้วเลย ว่าเราจะเรียกใครในชีวิตที่เข้ามาแบบนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ก่อนเข้าเรื่อง ผมขอ แนะนำตัวสักเล็กน้อย ว่าด้วยตัวผมเองนั้น เป็นนักอ่าน และ นักเขียน ผมจึงติดนิสัยชอบพิมพ์สาธยายท้าวความอะไร ยาวๆ เพ้อเจ้อไปเรื่อย ซึ่งก็อาจจะไม่ได้มีใครสนใจตามอ่านเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นกระทู้เกี่ยวกับตัวของผมเอง
กระทู้นี้ ผมจะพยายามสรุปให้สั้นที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้นะครับ ..ซึ่งความจริง ปัญหามันมากมายเหลือเกิน เกินที่ผมจะเก็บความรู้สึกสิ่งที่เป็นนี้ไว้ได้
ผมกำลังมีปัญหาครับ
ขอเข้าเรื่องนะครับ มีใครเคยเป็นเหมือนกันกับผมหรือเปล่าครับ กับอาการนี้ กับการหมดแรงในการเป็นตัวเอง ...
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเอง หมดแล้วเรี่ยวแรงทุกอย่าง มันไม่ใช่อาการของคนที่เกลียดตัวเอง แต่มันคืออาการของคนที่หมดใจในตัวเอง หมดใจ กับไอคนที่กำลังนั่งพิมพ์ข้อความอยู่นี้ จนต้องพยายามเกริ่นบทนำเพื่อใม่ให้ตัวเองไม่ซีเรียสจนเกินไป คุณรู้ไหมครับ เมื่อผมเริ่มเข้าบทซีเรียส ผมต้องใช้ความพยายามในการพิมพ์ต่อมากแค่ไหน ถึงจะพิมพ์ต่อไปได้ มันไม่ง่ายเลยครับ ที่จะต้านความรู้สึกซึ่งหมดสิ้นแล้วที่อยากจะทำอะไรต่างๆ แม้จะพิมพ์เขียนบรรยายความรู้สึก
ผมไม่รู้ ว่าเคยมีใครรู้สึกอย่างนี้ หรือกำลังเป็นแบบผมหรือเปล่า แต่ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ เป็นมาพักใหญ่นานมากแล้ว และก็พยายามแล้ว พยายามที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร กับสิ่งที่เป็นตอนนี้
ผมรู้สึกหน่าย และหมดแรงไปเอง ที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ผมเป็นคนรักสัตว์ เลี้ยงสัตว์ และเลี้ยงพวกปลาสวยงาม ทุกๆอาทิตย์ในวันหยุด ผมจะต้องตื่นขึ้นมาเปลี่ยนถ่ายน้ำตู้ปลาต่างๆที่ผมเลี้ยงไว้ คอยดูแลตัดแต่งต้นไม้น้ำที่ปลูกอยู่ในตู้ ทุกวันนี้ผมทิ้งและหมดแรงแม้จะทำในสิ่งที่ผมรัก
ผมสะสมพวกโมเดลประกอบ ก็ได้มีซื้อๆเก็บไว้ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ การที่จะหยิบมันมาสักกล่องเปิดต่อเล่นๆก็เป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกิน
งานเขียนภาพ อะไรต่างๆที่ผมเคยทำ ตอนนี้ผมทิ้ง ห่างหายจากการจับดินสอ ด้ามพู่กันไปหลายปีมากๆ ตั้งแต่โตและเริ่มใช้ชีวิตมา หลังจากที่ไม่ได้มีงานต้องใช้อะไรพวกนี้เข้ามา ก็ไม่ได้จับมันอีกเลย
ภาพถ่ายกี่ร้อยภาพที่ผมเคยถ่ายๆมันเอาไว้ ทุกวันนี้จะแค่เอาลงคอม ยังลงไม่หมด ไม่มีกระจิตกระใจจะลง ขนาดภาพถ่ายที่ว่าจะเอาแต่งลงเฟสบุ๊คเล่นๆ ยังไม่ได้ทำ พอจะเริ่มทำก็หมดใจ
งานเขียนกี่คอลัมน์ ที่ผมเขียนทิ้งดองเผื่อๆไว้ใช้ในคอม ก็ไม่มีแม้แต่ไฟที่จะขุดมันมาเรียบเรียงใช้จริงเสียที
ผมพยายามจะออกกำลังกายทุกเย็น ก่อนอาบน้ำนอน ก็ไม่สามารถทำได้ในทุกครั้ง ตอนเช้าผมพยายามจะตื่นมาวิ่ง ก็ไม่มีแรงที่จะก้าวมันออกไป
มีเพียงวันที่ฝืนร่างกายตัวเองออกไปเท่านั้น ที่พยายามออกไปวิ่งให้สุด ให้มีใจกับตัวเองกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ได้แค่นั้น และจะกลับมาสิ้นหวังอยู่ร่ำไป
สิ่งที่ผมทำได้ และทำได้ดีที่สุดคือการนอน นอนหลับจนเช้า นอนหลับจนเย็น นอนจนกว่าจะมีเรี่ยวแรง นอนจนกว่าจะลืมความทุกข์
ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายเย็น หรือเวลาไหนๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ผมจะรู้สึกง่วงอยู่ตลอดเวลา และทุกครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหน ที่ผมนอนหลับได้สนิท ตั้งแต่โตพ้นรั้วสถานศึกษามาและใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริง ชีวิตผมค่อนข้างมีปัญหา และเจอปัญหามาเยอะพอสมควร ตอนช่วงมัธยมปลาย ผมก็เริ่มป่วยเป็นไมเกรน ขั้นรุนแรงจนถึงส่งผลให้อนาคตผมพลิกผันไปเลยอย่างทุกวันนี้ แม้ปัจจัยบันผมจะหายเกือบขาด 100% และไม่มีอาการปวดไมเกรนแล้วก็ตาม
ผมไม่อาจเอาปัญหาของผมไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วบอกว่ามันหนัก หรือ เบากว่า เพราะผมรู้ดีว่า ทุกเรื่อง ที่มันคือปัญหา สำหรับทุกคนก็คงรู้สึกหนักและทุกข์ใจกันทั้งนั้น
ทุกครั้งที่ผมข่มตานอน ผมจะต้องฝันเรื่องนู้นเรื่องนี้ตลอดเวลา ไม่มีครั้งไหนที่ผมไม่ฝัน เพราะเหมือนในหัวผมจะต้องคิดเรื่องตัวเอง เรื่องอนาคตตลอดเวลา แม้ร่างกาย แม้ตัวจะไม่ได้ทำอะไร แต่ใจ มันไม่เคยได้หยุดพักเลย เพราะชีวิตผมยังเป็นแบบนี้ ยังไม่ดี และมันกำลังจะเริ่มแย่ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
วันที่ผมนอนหลับสนิทจริงๆก็คือ วันที่ผมรู้สึกต้องสู้กับชีวิต ฮึดขึ้นมาได้เหมือนแรงเฮือกสุดท้ายที่ต้องฝืนร่างกายทำมัน อดหลับอดนอน จนสุดท้ายผมสลบไปเองโดยไม่รู้ตัว ว่าเผลอนอนหลับไปตอนไหน อาการผมเคยหนักสุด คือเดินเข้าห้องนอนเองโดยไม่รู้ตัวจริงๆ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินเข้าห้องนอนและล้มตัวลงนอนทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดทำงานได้ยังไง
กับเวลาที่ผมได้ออกท่องเที่ยวคนเดียว หรือไปกับใครก็ได้ ที่ได้ปล่อยใจไปกับธรรมชาติ เข้าไปนอนในป่าเขา เสพสมบ่มใจอยู่กับธรรมชาติสีเขียวๆ หลับตาเงี่ยหูฟังเสียงนกเสียงแมลงที่อยู่รอบกาย แม้จะได้นอนเพียง 2 - 3 ชั่วโมง ผมก็รู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้ตื่นขึ้นกลางป่า และรู้ว่าตัวเองไม่ต้องกลับเข้าไปเจออะไรต่อมิอะไรในจิตใจแบบสังคมคนเมือง
ปัจจุบันนี้ ผมรับงานฟรีแลนซ์ทั่วไป ควบคู่ไปกับช่วยงานประจำของที่บ้าน ซึ่ง ณ ตอนนี้ ผมหยุดรับงานนอกมาพักใหญ่ๆแล้ว เพราะรับไป ประสิทธิภาพเราก็ไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร พูดง่ายๆคือผมไม่อยากทำหรือทำมันไม่ได้เลยก็แล้วกัน และออฟฟิศที่บ้าน ผมก็ไม่ได้เข้า ยกเว้นจะมีงานสำคัญจำเป็นจริงๆเท่านั้น ซึ่งผมต้องฝืนตัวเองมากๆบางทีก็ทำไม่ได้ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนเหมือนคนป่วยไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร นอนทบทวนตัวเองไปงั้นๆมาพักใหญ่ๆแล้ว มีลุกขึ้นมาได้ไปรับ ไปส่งน้อง แม้จะลุกขึ้นมากินข้าวยังขี้เกียจและเบื่อไม่อยากจะกิน
ผมผิดหวังในตัวเอง ผมทุกข์ ทั้งๆที่ผมอยากทำสิ่งๆต่างๆให้มันได้ ให้ชีวิตดีกว่านี้ ทั้งเรื่องที่บ้าน ที่ผมต้องช่วยอะไรต่อมิอะไร แต่ผมกลับทำไม่ได้
มันเหมือนอะไรก็เหลวแหลก ล้มเหลวไปหมด ทั้งๆที่บางเรื่องมันเหมือนเคยเป็นเรื่องที่ง่ายๆ
อาจเป็นเพราะในอดีตที่ผ่านมามันมีอุปสรรคต่างๆมากมายให้ผมต้องฝ่าฟัน แต่ถึงอย่างนั้น แทนที่มันจะทำให้ผมเข้มแข็ง กลับไม่เลยครับ
ก่อนหน้านี้ ผมเคยตั้งกระทู้ ว่าผมควรทำอย่างไร เพราะมีคนๆหนึ่งที่ได้เข้ามาเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันให้กับผม แม้เขาจะไม่รู้ก็ตาม
ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้เลย ผมกลับรู้สึกว่า ตัวของตัวเอง ผมยังเอาไม่รอด ผมกลับกลัว ก่อกำแพงสูงขึ้น สูงขึ้น ที่จะรู้จักใครๆอีก
การสร้างอนาคต และพยายามทำให้เป็นดั่งฝั่งฝันในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงกลีบกุหลาบ แต่มันไม่มีแม้แต่กรีบดอกไม้งามใดๆ มีแต่เสี้ยนหนามและดอกไม้ประดิษฐ์ที่วางหน้าเมรุรออยู่ตรงหน้า
" ผมอยากจะหายไปจากโลกใบนี้ แบบหายไปเลย โดยที่ไม่ต้องมีคนจดจำ ไม่มีใครจำผมได้ ว่าผมเป็นใคร ทำอะไร แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ! "
ผมไม่สามารถตายโดยที่แก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้ ตายไปโดยที่ตัวเองยังเป็นแบบนี้ ทิ้งภาระไว้ให้คนอื่น และต้องมีคนเดือดร้อนจากการจากไปของผม
ถ้ามีทางใดให้ผมมลายหายไปเลย โดยที่ไม่ต้องมีคนรู้ คนเดือดร้อน ผมคงทำไปแล้ว เคยมีความคิดบ้าๆบอๆในหัวว่าถ้าผมปลดทุกอย่างได้แล้ว ผมแทบอยากนั่งเรือไปเที่ยวทะเลที่ไหนสักแห่ง แล้วโดดลงไปตรงนั้นให้ตัวเองกลายเป็นอาหารปลาฉลาม ไม่ต้องเหลือซาก ไม่ต้องมีงานศพ นั่นคงเป็นการตายของผมที่คุ้มค่าที่สุด แต่มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ไงครับ ทางออกของตอนนี้คือ เหมือนผมต้องทนมีชีวิต ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จากเด็กคนหนึ่ง ที่เคยมีความฝันที่ชัดเจน วันหนึ่งจะเดินมาถึงจุดๆนี้ จุดที่รู้ว่าความสุขของตัวเองคือการได้ทำอะไร แต่กลับมีความสุขไม่ได้ "
สิ่งที่ผมเหมือนจะเกลียดก็ไม่ใช่ ไม่ชอบก็ไม่เชิง ในทุกวันนี้ที่ผมเป็นอีกอย่าง คือถึงแม้ว่าผมจะเป็นอย่างทุกวันนี้ แต่ผมกลับมักคอยรับฟัง และคอยเป็นที่ปรึกษาให้คำปรึกษา ปรับทุกข์ให้กับคนอื่น เพราะผมรู้ดีว่า เวลาคนเราทุกข์ ล้วนต้องการคนรับฟังคนอยู่ข้างๆ จะมีเพื่อนๆ หรือใครๆก็ตามที่ผมรู้จัก มักเข้าหาผมเวลาทุกข์ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเสมอ ก็เพราะว่าผมเข้าใจพวกเขาดีกระมัง ซึ่งผมก็เข้าใจจริงๆนั่นแหละ และผมก็ไม่เคยปฏิเสธคำเรียกหาการต้องการใครสักคนข้างๆเหล่านั้นเลย
แต่กลับพอมาเป็นตัวของผมเอง ผมกลับรู้สึกว่า ไม่มีใครเลย ที่จะเข้าใจเราจริงๆ รับฟังเราจริงๆ และรู้ว่าเรากำลังมีปัญหานะ เวลาคนอื่นมีปัญหาเข้ามาเราสามารถรับฟังเค้าได้เป็นชั่วโมง หรืออยู่เป็นเพื่อนเค้าได้เป็นวัน หากเราไม่ได้มีธุระหรือติดงานอะไรสำคัญจริงๆ
มาตัวผมเอง มันไม่มีเลยครับ คนที่จะเข้าใจผมจริงนั้นๆ พอพวกเค้าสบายดี พวกเขาก็ไป วันไหนทุกข์ เราก็จะเป็นเหมือนที่พึ่งให้กับเขา แต่ที่พึ่งทางใจ สำหรับผมจริงๆ ตอนนี้ไม่มีเลย มันเลยทำให้ประโยคของเพลง " คนที่ไร้ข้อแม้ " ในข้างต้น
ตรงท่อนที่ร้องว่า " ใคร ใครสักคน จะมีไหม ที่เขามองเห็นแววตาที่อ่อนแอ " มันดังเข้ามาในหัวผม ณ ตอนนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เป็นเหมือนคำถามว่ามีไหม ใครสักคน ที่จะเห็นแววตาผม เห็นข้างในหัวใจของเรา ว่าเรากำลังอ่อนแอนะ ว่าข้างในลึกๆเราไม่ดีเลยเว่ย เราไม่ไหวเว่ย เรากำลังจะแพ้ เราอ่อนแอ เราสู้กับใจตัวเองด้วยตัวเราเองตอนนี้ไม่ได้ แค่เข้าใจและหันมามองเราหน่อย
มองคนที่กำลังจะหมดหวัง และกำลังจะไร้กำลัง ที่จะหายใจต่อไป
ขอบคุณ สำหรับคนที่ผ่านมาเห็นและอ่านกระทู้ ของคนที่กำลังจะหมดแรงคนนี้นะครับ คุณจะอ่านแบบผ่านๆ จะเย้ยหยัน จะดูถูก จะด่าผม ไม่เข้าใจหรืออะไรก็ตาม ก็ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นอะไรเลยจริงๆครับ แต่ถ้าหากจะมีใครสักคนที่เข้าใจ และรู้สึกว่าเคยมีเหตุการณ์ เคยผ่านช่วงเวลา หรือรู้สึกว่าเป็นอะไรที่คล้ายๆกัน ช่วยดึงผมขึ้นมาที ..หากหนึ่งเม้นของคุณ จะต่อแรงและลมหายใจของผม
ผมคงไม่มีความรู้สึกอะไร ที่จะบอกไปมากกว่าคำว่า ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ
(ผมพยายามจะพิมพ์ให้สั้นแล้ว แต่ก็ไม่ไหวระบายไปเรื่อย ซึ่งมันก็ไม่สามารถระบายได้หมดเลยจริงๆ)