“ เพื๊อนนน ไปเที่ยวกันป่าว ? ”
หลายคนอาจเคยพูดคำนี้ซ้ำๆ ปัญหาโลกแตกไม่แพ้กับตอนถามแฟนว่าจะกินไรแล้วมันบอกอะไรก็ได้เนี่ยแหละ
ชวนเที่ยวทีไร เพื่อนติดเรียนมั่งล่ะ ติดงานมั่งล่ะ ไม่ว่างมั่งล่ะ บลาๆๆ แต่พอโพสรูปเมื่อไหร่ มันจะมาเม้นว่า “ทำไมไม่ชวน”
เสียดายบ้างล่ะ เยอะแยะไปหมด ลำไยเด้อออ และแล้วทริปนี้ได้ฤกษ์งามยามดี นัดกันได้ แต่ปัญหาที่ตามมาคือ
“เราจะไปไหนกันดี ?”
โอ้ยยย คุณคะ หลายคนหลายความ เพื่อนกลุ่มใหญ่มีแผนจะไปทริปกันใช่มั้ยล่ะคะ
แหม! ต่างคนก็ต่างความคิดเห็นอะเนอะ เพื่อนแต่ละคนในกลุ่ม บางคนก็อยากไปที่นั่นบางคนก็อยากไปที่นี่
ยากกว่าตอนชวนอีกแกเอ้ยยยยยย แต่ทุกคนคืออยากชิลล์ แคมป์ปิ้ง แต่สโคปคือยังกว้าง, ขึ้นเหนือ อ่ะ..ก็แคบลงมา,
อยากนั่งรถไฟ โอเคค เหลือไม่กี่ที่ที่แบบนั่งรถไฟไปแคมป์ปิ้ง บทสรุปคือ นั่งรถไฟขึ้นเหนือ เอออ..ด๊ายยยยย
กว่าจะตกลงกันได้ก็วันนึงก่อนไป และแล้วก็จัดแจงอาหารการกินตั่งต่างงง วุ่นวาย
แบกไปจ่ะ คูลเลอร์บรรทุกหมู หม้อ เตา กีต้าร์ กระเป๋าใบสูงท่วมหัว ของมันต้องมีทั้งหมดเลย #มองบน
มันเลยไม่ได้ชิลล์และง่ายเหมือนที่ใจปรารถนาไงคะคุ๊ณณณ T-T ใครบอกว่าขุนตาลชิลล์
ชั้นขอค้านเสียงสู๊งงงง*** หวีดเข้าไป แก้มเดอะสตาร์ต้องหลบ #เอาล่ะค่ะ!!!
แบกเป้ขึ้นรถไฟไปแอ่วขุนตาล จ.ลำปู๊นนนนน เชิญชมจ้าา >//<
.
.
เกริ่นก่อนว่าฤกษ์ดีของพวกเรานั้นเป็นช่วงก่อนปีใหม่ ฉะนั้นการขึ้นรถไฟฟรีขึ้นเหนือนั้นเป็นเรื่องที่ต้องสู้และบากบั่นมากกก อย่างว่าแหละ ของฟรีไม่ง่ายเลยนะหนู เรารวมพลกันที่สถานีรถไฟหลักสี่ ดังนั้นไม่มีใครรู้มาก่อนว่าจำนวนฝูงมนุษย์ที่ขึ้นตั้งแต่หัวลำโพงมีมหาศาลแค่ไหนและเราจะได้นั่งหรือไม่ และแล้ว 14.30 พวกเราก็ได้รู้ววววว
และนี่คือคนบาปผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมดของทริปนี้. . ท้าดาาา
เราขึ้นรถไฟฟรีขบวน 109 หลักสี่ – ขุนตาน รถมาดีใจ แต่พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ อ้าวเต็มจ้า คนแน่นมากกก แน่นแบบล้นมาจากไหน
ขึ้นไปก็ยืนงงๆ ในดงมนุษย์ ยืนงงสักพักตั้งหลักได้ หาที่วางกระเป๋า หาที่ยืนกัน ต้องแยกทีม คือมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ หามุมกันเอง
สุดท้ายอยู่คนละโบกี้
เอาล่ะ ยืนบนรถไฟต้องมีสกิลติดตัว คือแก๊งค์พ่อค้าแม่ค้าเดินขวักไขว่วนไปมา ต้องเอียงซ้ายขวา แขม่วพุงขั้นสุด มาทุกๆ 3 นาทีก็ว่าได้ เหยียบตรีนอีก ขายน้ำก็ใส่ถังหิ้ว ขายมาม่าก็แบกกระติกน้ำร้อนมากดให้ถึงที่ ข้าวต้นหมูเอย ซาลาเปาเอย แบบไอร้อนๆ หอมยั่วน้ำลายมาก เห็นหน้าตาอาหารที่ดูหน้ากิน อดซื้อไม่ได้ กัดคำแรก อิเลวว แข็งฟันบิ่น 555555
ยืนข้างในได้สักพัก และไม่รู้จะได้นั่งเมื่อไหร่ มองออกนอกกระจก วิวทุ่งนาก็ยั่วให้น้องออกไปถ่ายรูป ไปค่า ออกไปข้างนอกกก
และแล้วเราก็ค้นพบว่าอยู่รอยต่อระหว่างโบกี้นี่สบายกว่าเยอะ ออกมากันเกือบหมดเลยจ้า บรรยากาศมันก็เลยจะประมาณนี้แหละ
เหม็นขี้เป็นช่วงๆ ฮ่าาา
รถไฟก็จะจอดทุกสถานีในระยะเวลาสั้นๆ ให้เราได้วิ่งลงไปยืดเส้นยืดสายแล้วรีบขึ้นมาในระยะเวลา 3 วิ
พระอาทิตย์จะลาลับ คนในขบวนก็ยังไม่ขยับ แล้วเราก็อยากหลับ ทั้งกินทั้งร้องเพลงเล่นกีต้าร์ไม่ได้ช่วยให้ตามันอัพ โหนราวจับเหล็กแล้วก็เผลอหลับ.
จาก กทม สู่ จ.น่าน พวกเราได้นั่งแล้วทุกคนนน โอ้แม่เจ้า! ใครบอกจะมาชิลล์ เริ่มทริปก็ผิดสัญญากันแล้ว ดึกๆ อากาศเย็นมากก ลมแรง และก็นอนไม่หลับ สุดท้ายถึงขุนตาลตอนเกือบตี 4 ลงรถไฟล้างหน้าล้างตาที่สถานีรอสว่าง กางเปลนอน กินมาม่า ส่วนเรานั้นหนานอนขดในถุงนอนอุ่นสบาย
นอนได้แปปเดียว มะลิตื่นนนน!! หือออ ออกจากถุงนอน หนาวโคตรรรรรร! เดินไปไหว้ศาลขอพร แล้วเริ่มเดินกันเล้ย การเดินที่นี่ก็ถือว่าไกลอยู่ แต่ทางสะดวก ทางพื้นราบเลยเดินได้ง่าย ๆ เรื่อย ๆ ทางเดินจากสถานีรถไฟถึงอุทยานประมาณ 1.3 โล ถึงอุทยานแล้ว ชะนีก็เปลี่ยนชุดแต่งหน้า ที่อุทยานมี
ร้านข้าวเด้อ อร่อยยยยหรือหิว 555 เสร็จแล้วก็เช่าแผ่นรองนอนเอาแขวนห้อยตามกระเป๋าคนละอันสองอัน มีแฟนก็ให้แฟนแบกค่ะ เบ้ 55555
ไปค่ะ เริ่มเดินนน ทางช่วงแรกก็เป็นถนนลาดยางคดไปมา เดินขึ้นหน่อยๆ ไม่ลำบากมากแต่ก็หอบกันอยู่ พอตะวันเริ่มขึ้นเสียงนกเยอะมากๆ ขอบอก เสียงนั่นนู้นนี่สลับกัน อากาศดี๊ดี ชะนีเดินแบกเป้ไม่ได้ถือไรมากมายยังเหนื่อย ส่วนผู้ชายก็พะลุงพลังอย่างที่เห็น
เดินคดไม่ไหวก็ต้องหาทางลัดตัดผ่านบ้างพักตั่งต่าง ทางดินชันๆ ไม่รู้จะทำให้เร็วขึ้นหรือช้าลง 5555
มองไปนึกว่าลิง ที่ไหนได้ เเมว !!
เดินมาหน่อยเดียวเจอวิวเบอร์นี้ ด้านบนจะขนาดไหนจ๊ะ
บ่าวผู้สาวขาเลาะก็เดินลัดเลาะกันไป ทางกว้างทางแคบน้องหมาตัวขาสั้นๆ ก็ไม่ทิ้งไปไหน เป็นเจ้าบ้านที่ดีตลอดเส้นทาง
จากจุดนี้มองขึ้นไปคือชันอย่างเดียว อีก 2-3 ฮึ้ด ก็ถึงจุดกางเต้นท์ ทางเดินจากอุทยานถึงลานสนประมาณ 2.5 โล (จุดกางเต้นท์)
จุดนี้คือเฮื้อกสุดท้ายก่อนถึงลานสนแล้ว คือชันและสูงมากกก
หายเหนื่อยก็ตั้งแคมป์กันเลยย ทั้งเหนื่อยทั้งหิว งานนี้เรามีเชฟประจำทริปเด้ออ
ทุกคนดูหิวไม่มาก อาหารเสร็จก็ซัดกันหมดในเวลา 5 นาที ฮ่าา
กินข้าวเสร็จแล้วก็แยกย้าย มองไปรอบๆต้นไม้เยอะน่าผูกเปล งีบสักหน่อยละกัน
Relax ตามอัธยาศัยเด้ออ นอนเล่น ถ่ายรูป อ่านหนังสือ เล่นกีต้าร์ก็ว่ากันไป
และนี่คือแคมป์ของเราในคืนนี้ อาหารเย็นของเราก็มีผัดมาม่า หมูย่าง บลาๆ ร้องเพลงสังสรรค์กันสักพักก็แยกย้ายเข้านอน
บางคนเดินต่อขึ้นไปดูจุดชมวิวตั้งแต่ตี 5 ส่วนตัวน้องนั้นยังนอนขดอยู่ในถุงดักแด้ สายๆ เดินถ่ายรูปเล่น งีบสักหน่อย ก็เก็บของเตรียมลง
เรียบร้อยแล้วก็ลงจ้า กลับทางเดิม
** ทิคเล็กๆ ในเวลาเดินป่าหรือเดินเท้าไกลๆ สิ่งที่ไม่ควรขาดกระเป๋าคือขนมหวานๆ หรือลูกอม เพิ่มพลังได้เยอะเลยทีเดียวเชียวว
ลงมาถึงอุทยานก็บ่ายกว่าๆ กินข้าวเสร็จก็ตกลงกันได้ว่าเราจะไปกันต่อ ส่วนเพื่อนที่เหลือนอนที่ตัวอุทยานอีกคืน พี่ จนท คนดีเลยหารถให้ เจอพี่ผู้ใหญ่ใจดีเข้าเมืองพอดีเลยขอติดรถมาด้วย
แต่คุณพี่ก็ดีไม่สุด พี่แกเอาไปปล่อยไว้ถนนเอเชียที่ไหนสักที่บอกว่าจะมีรถตู้เข้าเมืองเชียงใหม่ รอตรงนี้นาจา
ถามคนแถวนั้นบอกไม่มี๊ //เอ๊า เฮ่ล้าวววว // เดินเร่ร่อนอยู่ไกลพอสมควร โบกแล้วโบกอีกก็ไม่มีใครสงสาร
ทันใดนั้นมีรถทัวร์คันนึงเข้ามา เย้ๆ มีรถเข้าเมืองแล้ว ค่าโดยสารคนละประมาณ 30 กว่าบาท
นางบอกปกติไม่จอดเด้อ โชคดีมีชัย อิ_อิ
ถึงอาเขตก็เย็นๆ และกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง กินข้าวกันก่อนจะแยกย้าย คู่นั้นต้องรีบกลับไปทำงานต่อ ส่วนเราและแฟนนั้นมีแพลนต่อคือออออ... ไปแก้ผ้า เอ้ย! แก้ตัวที่จุดกางเต้นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ที่เคยไปไม่ถึง นั่นคือ “อช.ผ้าห่มปก” สำหรับวันนี้นั้นเราเดินทางมาทั้งวันและตอนนี้ก็ค่ำเกินกว่าจะไปต่อ เลยต้องพักในเมืองเชียงใหม่ก่อนหนึ่งคืน แล้วก็ที่อยู่แบบโนแพลนกันเหมือนทุกๆ ทริปที่ผ่านมา มาตายเอาดาบหน้า ไม่มีการจองที่พักหรืออะไรแต่อย่างใด
ภารกิจต่อไปคือหาที่พักค่ะ มาตั้งหลักที่ร้านกาแฟ ซึ่งนักเดินทางอย่างเราต้องมีแอพติดโฟน อยากได้โรงแรมหรือโฮสเทลแบบไหนเลือกได้ตามสไตล์เลย แถมจองทริปไหนไหนก็ได้ราคาถูกกว่าที่อื่น เห็นราคาเท่าไหร่ ก็จ่ายไปเท่านั้น
TRAVELOKA HELP ME PLS!! ไปค่ะ Search Hotel
.
.
จะไปเชียงใหม่แล้ว พักแปปนะคะซิส กินข้าวแพ้บบ
.
.
ดู mini travel guide ได้ที่เพจ
"เที่ยวเองนักเลงพอ" ด้วยนาจาา
จิ้มฉันสิๆ
https://www.facebook.com/Nuklaengbook/?ref=bookmarks
[CR] แบกเป้ หนรถไฟไปขุนตัน แล้วบกรถไปต่อกันที่ผ้าห่มปกกก (รูปเยอะมว๊ากกกก)
หลายคนอาจเคยพูดคำนี้ซ้ำๆ ปัญหาโลกแตกไม่แพ้กับตอนถามแฟนว่าจะกินไรแล้วมันบอกอะไรก็ได้เนี่ยแหละ
ชวนเที่ยวทีไร เพื่อนติดเรียนมั่งล่ะ ติดงานมั่งล่ะ ไม่ว่างมั่งล่ะ บลาๆๆ แต่พอโพสรูปเมื่อไหร่ มันจะมาเม้นว่า “ทำไมไม่ชวน”
เสียดายบ้างล่ะ เยอะแยะไปหมด ลำไยเด้อออ และแล้วทริปนี้ได้ฤกษ์งามยามดี นัดกันได้ แต่ปัญหาที่ตามมาคือ
“เราจะไปไหนกันดี ?”
โอ้ยยย คุณคะ หลายคนหลายความ เพื่อนกลุ่มใหญ่มีแผนจะไปทริปกันใช่มั้ยล่ะคะ
แหม! ต่างคนก็ต่างความคิดเห็นอะเนอะ เพื่อนแต่ละคนในกลุ่ม บางคนก็อยากไปที่นั่นบางคนก็อยากไปที่นี่
ยากกว่าตอนชวนอีกแกเอ้ยยยยยย แต่ทุกคนคืออยากชิลล์ แคมป์ปิ้ง แต่สโคปคือยังกว้าง, ขึ้นเหนือ อ่ะ..ก็แคบลงมา,
อยากนั่งรถไฟ โอเคค เหลือไม่กี่ที่ที่แบบนั่งรถไฟไปแคมป์ปิ้ง บทสรุปคือ นั่งรถไฟขึ้นเหนือ เอออ..ด๊ายยยยย
กว่าจะตกลงกันได้ก็วันนึงก่อนไป และแล้วก็จัดแจงอาหารการกินตั่งต่างงง วุ่นวาย
แบกไปจ่ะ คูลเลอร์บรรทุกหมู หม้อ เตา กีต้าร์ กระเป๋าใบสูงท่วมหัว ของมันต้องมีทั้งหมดเลย #มองบน
มันเลยไม่ได้ชิลล์และง่ายเหมือนที่ใจปรารถนาไงคะคุ๊ณณณ T-T ใครบอกว่าขุนตาลชิลล์
ชั้นขอค้านเสียงสู๊งงงง*** หวีดเข้าไป แก้มเดอะสตาร์ต้องหลบ #เอาล่ะค่ะ!!!
แบกเป้ขึ้นรถไฟไปแอ่วขุนตาล จ.ลำปู๊นนนนน เชิญชมจ้าา >//<
.
.
เกริ่นก่อนว่าฤกษ์ดีของพวกเรานั้นเป็นช่วงก่อนปีใหม่ ฉะนั้นการขึ้นรถไฟฟรีขึ้นเหนือนั้นเป็นเรื่องที่ต้องสู้และบากบั่นมากกก อย่างว่าแหละ ของฟรีไม่ง่ายเลยนะหนู เรารวมพลกันที่สถานีรถไฟหลักสี่ ดังนั้นไม่มีใครรู้มาก่อนว่าจำนวนฝูงมนุษย์ที่ขึ้นตั้งแต่หัวลำโพงมีมหาศาลแค่ไหนและเราจะได้นั่งหรือไม่ และแล้ว 14.30 พวกเราก็ได้รู้ววววว
และนี่คือคนบาปผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมดของทริปนี้. . ท้าดาาา
เราขึ้นรถไฟฟรีขบวน 109 หลักสี่ – ขุนตาน รถมาดีใจ แต่พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ อ้าวเต็มจ้า คนแน่นมากกก แน่นแบบล้นมาจากไหน
ขึ้นไปก็ยืนงงๆ ในดงมนุษย์ ยืนงงสักพักตั้งหลักได้ หาที่วางกระเป๋า หาที่ยืนกัน ต้องแยกทีม คือมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ หามุมกันเอง
สุดท้ายอยู่คนละโบกี้
เอาล่ะ ยืนบนรถไฟต้องมีสกิลติดตัว คือแก๊งค์พ่อค้าแม่ค้าเดินขวักไขว่วนไปมา ต้องเอียงซ้ายขวา แขม่วพุงขั้นสุด มาทุกๆ 3 นาทีก็ว่าได้ เหยียบตรีนอีก ขายน้ำก็ใส่ถังหิ้ว ขายมาม่าก็แบกกระติกน้ำร้อนมากดให้ถึงที่ ข้าวต้นหมูเอย ซาลาเปาเอย แบบไอร้อนๆ หอมยั่วน้ำลายมาก เห็นหน้าตาอาหารที่ดูหน้ากิน อดซื้อไม่ได้ กัดคำแรก อิเลวว แข็งฟันบิ่น 555555
ยืนข้างในได้สักพัก และไม่รู้จะได้นั่งเมื่อไหร่ มองออกนอกกระจก วิวทุ่งนาก็ยั่วให้น้องออกไปถ่ายรูป ไปค่า ออกไปข้างนอกกก
และแล้วเราก็ค้นพบว่าอยู่รอยต่อระหว่างโบกี้นี่สบายกว่าเยอะ ออกมากันเกือบหมดเลยจ้า บรรยากาศมันก็เลยจะประมาณนี้แหละ
เหม็นขี้เป็นช่วงๆ ฮ่าาา
รถไฟก็จะจอดทุกสถานีในระยะเวลาสั้นๆ ให้เราได้วิ่งลงไปยืดเส้นยืดสายแล้วรีบขึ้นมาในระยะเวลา 3 วิ
พระอาทิตย์จะลาลับ คนในขบวนก็ยังไม่ขยับ แล้วเราก็อยากหลับ ทั้งกินทั้งร้องเพลงเล่นกีต้าร์ไม่ได้ช่วยให้ตามันอัพ โหนราวจับเหล็กแล้วก็เผลอหลับ.
จาก กทม สู่ จ.น่าน พวกเราได้นั่งแล้วทุกคนนน โอ้แม่เจ้า! ใครบอกจะมาชิลล์ เริ่มทริปก็ผิดสัญญากันแล้ว ดึกๆ อากาศเย็นมากก ลมแรง และก็นอนไม่หลับ สุดท้ายถึงขุนตาลตอนเกือบตี 4 ลงรถไฟล้างหน้าล้างตาที่สถานีรอสว่าง กางเปลนอน กินมาม่า ส่วนเรานั้นหนานอนขดในถุงนอนอุ่นสบาย
นอนได้แปปเดียว มะลิตื่นนนน!! หือออ ออกจากถุงนอน หนาวโคตรรรรรร! เดินไปไหว้ศาลขอพร แล้วเริ่มเดินกันเล้ย การเดินที่นี่ก็ถือว่าไกลอยู่ แต่ทางสะดวก ทางพื้นราบเลยเดินได้ง่าย ๆ เรื่อย ๆ ทางเดินจากสถานีรถไฟถึงอุทยานประมาณ 1.3 โล ถึงอุทยานแล้ว ชะนีก็เปลี่ยนชุดแต่งหน้า ที่อุทยานมี
ร้านข้าวเด้อ อร่อยยยยหรือหิว 555 เสร็จแล้วก็เช่าแผ่นรองนอนเอาแขวนห้อยตามกระเป๋าคนละอันสองอัน มีแฟนก็ให้แฟนแบกค่ะ เบ้ 55555
ไปค่ะ เริ่มเดินนน ทางช่วงแรกก็เป็นถนนลาดยางคดไปมา เดินขึ้นหน่อยๆ ไม่ลำบากมากแต่ก็หอบกันอยู่ พอตะวันเริ่มขึ้นเสียงนกเยอะมากๆ ขอบอก เสียงนั่นนู้นนี่สลับกัน อากาศดี๊ดี ชะนีเดินแบกเป้ไม่ได้ถือไรมากมายยังเหนื่อย ส่วนผู้ชายก็พะลุงพลังอย่างที่เห็น
เดินคดไม่ไหวก็ต้องหาทางลัดตัดผ่านบ้างพักตั่งต่าง ทางดินชันๆ ไม่รู้จะทำให้เร็วขึ้นหรือช้าลง 5555
มองไปนึกว่าลิง ที่ไหนได้ เเมว !!
เดินมาหน่อยเดียวเจอวิวเบอร์นี้ ด้านบนจะขนาดไหนจ๊ะ
บ่าวผู้สาวขาเลาะก็เดินลัดเลาะกันไป ทางกว้างทางแคบน้องหมาตัวขาสั้นๆ ก็ไม่ทิ้งไปไหน เป็นเจ้าบ้านที่ดีตลอดเส้นทาง
จากจุดนี้มองขึ้นไปคือชันอย่างเดียว อีก 2-3 ฮึ้ด ก็ถึงจุดกางเต้นท์ ทางเดินจากอุทยานถึงลานสนประมาณ 2.5 โล (จุดกางเต้นท์)
จุดนี้คือเฮื้อกสุดท้ายก่อนถึงลานสนแล้ว คือชันและสูงมากกก
หายเหนื่อยก็ตั้งแคมป์กันเลยย ทั้งเหนื่อยทั้งหิว งานนี้เรามีเชฟประจำทริปเด้ออ
ทุกคนดูหิวไม่มาก อาหารเสร็จก็ซัดกันหมดในเวลา 5 นาที ฮ่าา
กินข้าวเสร็จแล้วก็แยกย้าย มองไปรอบๆต้นไม้เยอะน่าผูกเปล งีบสักหน่อยละกัน
Relax ตามอัธยาศัยเด้ออ นอนเล่น ถ่ายรูป อ่านหนังสือ เล่นกีต้าร์ก็ว่ากันไป
และนี่คือแคมป์ของเราในคืนนี้ อาหารเย็นของเราก็มีผัดมาม่า หมูย่าง บลาๆ ร้องเพลงสังสรรค์กันสักพักก็แยกย้ายเข้านอน
บางคนเดินต่อขึ้นไปดูจุดชมวิวตั้งแต่ตี 5 ส่วนตัวน้องนั้นยังนอนขดอยู่ในถุงดักแด้ สายๆ เดินถ่ายรูปเล่น งีบสักหน่อย ก็เก็บของเตรียมลง
เรียบร้อยแล้วก็ลงจ้า กลับทางเดิม
** ทิคเล็กๆ ในเวลาเดินป่าหรือเดินเท้าไกลๆ สิ่งที่ไม่ควรขาดกระเป๋าคือขนมหวานๆ หรือลูกอม เพิ่มพลังได้เยอะเลยทีเดียวเชียวว
ลงมาถึงอุทยานก็บ่ายกว่าๆ กินข้าวเสร็จก็ตกลงกันได้ว่าเราจะไปกันต่อ ส่วนเพื่อนที่เหลือนอนที่ตัวอุทยานอีกคืน พี่ จนท คนดีเลยหารถให้ เจอพี่ผู้ใหญ่ใจดีเข้าเมืองพอดีเลยขอติดรถมาด้วย
แต่คุณพี่ก็ดีไม่สุด พี่แกเอาไปปล่อยไว้ถนนเอเชียที่ไหนสักที่บอกว่าจะมีรถตู้เข้าเมืองเชียงใหม่ รอตรงนี้นาจา
ถามคนแถวนั้นบอกไม่มี๊ //เอ๊า เฮ่ล้าวววว // เดินเร่ร่อนอยู่ไกลพอสมควร โบกแล้วโบกอีกก็ไม่มีใครสงสาร
ทันใดนั้นมีรถทัวร์คันนึงเข้ามา เย้ๆ มีรถเข้าเมืองแล้ว ค่าโดยสารคนละประมาณ 30 กว่าบาท
นางบอกปกติไม่จอดเด้อ โชคดีมีชัย อิ_อิ
ถึงอาเขตก็เย็นๆ และกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง กินข้าวกันก่อนจะแยกย้าย คู่นั้นต้องรีบกลับไปทำงานต่อ ส่วนเราและแฟนนั้นมีแพลนต่อคือออออ... ไปแก้ผ้า เอ้ย! แก้ตัวที่จุดกางเต้นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ที่เคยไปไม่ถึง นั่นคือ “อช.ผ้าห่มปก” สำหรับวันนี้นั้นเราเดินทางมาทั้งวันและตอนนี้ก็ค่ำเกินกว่าจะไปต่อ เลยต้องพักในเมืองเชียงใหม่ก่อนหนึ่งคืน แล้วก็ที่อยู่แบบโนแพลนกันเหมือนทุกๆ ทริปที่ผ่านมา มาตายเอาดาบหน้า ไม่มีการจองที่พักหรืออะไรแต่อย่างใด
ภารกิจต่อไปคือหาที่พักค่ะ มาตั้งหลักที่ร้านกาแฟ ซึ่งนักเดินทางอย่างเราต้องมีแอพติดโฟน อยากได้โรงแรมหรือโฮสเทลแบบไหนเลือกได้ตามสไตล์เลย แถมจองทริปไหนไหนก็ได้ราคาถูกกว่าที่อื่น เห็นราคาเท่าไหร่ ก็จ่ายไปเท่านั้น
TRAVELOKA HELP ME PLS!! ไปค่ะ Search Hotel
.
.
จะไปเชียงใหม่แล้ว พักแปปนะคะซิส กินข้าวแพ้บบ
.
.
ดู mini travel guide ได้ที่เพจ "เที่ยวเองนักเลงพอ" ด้วยนาจาา
จิ้มฉันสิๆ https://www.facebook.com/Nuklaengbook/?ref=bookmarks