เมืองโบราณ Hierapolis อยู่ในตุรกีทุกวันนี้ CaoWei/Getty Images
ในช่วงศตวรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช
ราชันย์แห่ง
Pergamon ได้สร้างเทวสถานศักดิ์สิทธิ์ที่
Hierapolis
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในตุรกี แต่สภาพตอนนี้เป็นซากปรักหักพัง
แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างภายในที่น่าตื่นเต้น
บางสิ่งบางอย่างที่เก่าแก่กว่าที่เคยเป็นมาและเป็นตำนานลับสุดยอด
เมื่อ 7 ปีก่อน ประตูสู่นรก หรือที่เรียกกันว่า
Plutonium
ซึ่งได้ตั้งชื่อตาม เทพเจ้าโรมัน เจ้าแห่งนรก
ประตูหินโค้งที่ทอดยาวเข้าไปสู่ถ้ำเล็ก ๆ ภายใน
ประตูถูกสร้างขึ้นในผนังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีพื้นที่ว่างเปิดโล่งล้อมรอบตัววิหาร/หน้าถ้ำทางเข้าประตูสู่นรก
และห้อมล้อมไปด้วยที่นั่งหินสำหรับผู้เข้าชม/ร่วมพิธีกรรม
เมืองนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางธรณีวิทยา
ที่มีภูเขาไฟมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาค
2,200 ปีที่ผ่านมา การใช้ความร้อนจากน้ำพุร้อน
มีความเชื่อกันว่าใช้ในการรักษาโรคบางโรคได้เป็นอย่างดี
แต่ขณะเดียวกัน รอยร้าวลึกที่ฝังอยู่ใต้เมือง Hierapolis
ก็ยังคงปล่อย
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (
CO2) ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะไหลออกมาเป็นรูปหมอกควันที่มองเห็นได้
ในปี 2011 นักโบราณคดียังพบว่า
ประตูสู่นรกคือ ประตูมรณะที่ยังคงมอบความตายให้สิ่งมีชีวิต
นกที่บินเข้าใกล้เกินไปจะหายใจไม่ออกและตายลง
ประตูนี้ถูกค้นพบที่นั่น เพราะมีกลุ่มหมอกควันที่ทำให้มึนงง
และได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตที่ยู่ภายในถ้ำ ถ้าอยู่นานเกินไปมักจะตาย
ประตูนี้มีตำนานเล่าขานกันมานมนานแล้วว่า
มีแต่คนที่เดินผ่านประตูเข้าไปในถ้ำแล้วเดินออกมา
มักจะรอดตายมากกว่า วัว แกะ และพวกนกต่าง ๆ
เพราะพวกสัตว์มักจะตายหลังจากเดินผ่านประตูเข้าไปในถ้ำ
ภาพจำลองประตูมรณะ
บทความในวารสาร
Archaeological and Anthropological Sciences
ได้ตีพิมพ์เผยแพร่และอธิบายว่า
ในช่วงกลางวัน ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์จะขับไล่ก๊าซให้กระจายตัวออกไป
แต่ในเวลากลางคืนก๊าซที่หนักกว่าอากาศทั่วไปจะไหลออกมาจากรอยแตกในใต้ดิน
แล้วก่อให้เกิดทะเลสาบ CO
2 บนพื้นถ้ำที่สร้างในที่กำบัง/กำแพงล้อมรอบ
ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จะอยู่สูงถึงที่ระดับ 40 เซนติเมตรเหนือพื้นถ้ำมีปริมาณถึง 4-53%
ปริมาณมากเพียงพอที่จะทำให้คนหรือสัตว์ที่ตัองหายใจด้วยปอด
มีอาการมีนงง ง่วงเหงาหาวนอน สลบไปและตายได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
แต่ความเข้มข้นจะลดลงอย่างรวดเร็วในระดับพื้นที่ที่สูงกว่า
นักบวชผู้เสียสละจะเข้าไปในถ้ำช่วงเวลาเช้าหรือเย็นเท่านั้น
เมื่อรู้ว่าความเข้มข้นของก๊าซไม่สูงเกินกว่าระดับดังกล่าว
แต่ความสูงของหัวพวกสัตว์มักจะสูงไม่เพียงพอ
ทำให้พวกมันต้องอยู่ท่ามกลางทะเลสาบ CO
2
เพราะระดับหัวของพวกมันแทบอยู่ในระดับทะเลสาบ CO
2
พวกมันจึงต้องสูดดม CO
2 เข้าไปเต็มปอด
ก่อให้เกิดอาการวิงเวียน มึนงง สลบลงก่อนที่จะตายในที่สุด
แต่พวกนักบวชที่ยืนจะสูงพ้นระดับทะเลสาบ CO
2
ทั้งยังยืนอยู่บนก้อนหินเพื่อเพิ่มความสูงให้กับตนเอง
เพราะพวกนักบวชรู้ดีว่าการสูดลมหายใจคือ หายนะอย่างร้ายแรง
(มีการประมาณการว่าคนกรีกยุคนั้นความสูงเฉลี่ย
สตรีระหว่าง 154-155 เซนติเมตร บุรุษระหว่าง 166-169 เซนติเมตร
จากการตรวจวัดโครงกระดูกที่พบในแหล่งโบราณคดี)
ทีมงานนักวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัย
Duisburg-Essen (UDE)
ได้อธิบายถึงเรื่องราวของพิธีกรรมการบูชาในถ้ำแห่งนี้
ที่ปรากฏในงานเขียนของนักเขียนหลายคนในอดีต เช่น
Strabo นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกเคยเขียนถึงเรื่องนี้ว่า
" พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยไอน้ำหมอกที่หนาทึบ ที่แทบจะมองไม่เห็นพื้นดิน
สัตว์ที่ผ่านเข้าไปข้างในจะพบกับความตายทันที
ผมโยนนกกระจอกเข้าไป และพวกมันหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะตายลงทันที "
ในบันทึกที่ท่านเขียนไว้อย่างค่อนข้างเรียบง่าย
ถึงแม้ว่า การเกิดขึ้นของก๊าซจากภูเขาไฟเป็นที่รู้จักกันดีในพื้นที่แห่งนี้
แต่ทีมงานต้องการที่จะทำความเข้าใจรายละเอียดของประตูมรณะแห่งนี้
จึงทำการตรวจวัดอย่างละเอียดทุก ๆ จุด ทุก ๆ ช่วงเวลาเป็นระยะ ๆ
ทำให้ค้นพบข้อเท็จจริงว่า แสงแดดและลมที่พัดพาในตอนกลางวัน
จะช่วยกระจายหมอกควัน/ก๊าซที่เป็นอันตรายได้
นั่นคือ ในช่วงเวลาก่อนหัวรุ่ง(ตอนเช้ามืด)
จะเป็นเวลาที่เสี่ยงตายที่สุดในการเข้าไปในถ้ำ
ในตอนกลางคืนความเข้มข้น/ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในถ้ำจะสูงมาก
จนทำให้สามารถ
ฆ่าคนได้ภายในหนึ่งนาที
ส่วนหนึ่งของการสร้างภาพแบบ 3D ของ Plutonium ที่ Hierapolis
ประตูสู่นรกอยู่ภายในกำแพงด้านล่างของที่นั่งคนร่วมพิธีกรรม Credit: Massimo Limoncelli
" การปล่อยก๊าซมรณะนี้ประดูจดั่งลมหายใจของ
Hades เจ้าแห่งนรก
และ/หรือลมหายใจของหมาสามหัว
Kerberos ที่เฝ้าระวังประตูสู่นรก
(J.K Rowling เคยนำหมาสามหัวมาเขียนไว้ในเล่มแรก
บทตอนจบของหนังสือ Harry Potter ตอนศิลาอาถรรพ์
มันเฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องลับที่จะลงไปไขปริศนาได้)
Galli นักบวชบัณเฑาะก์ผู้มีประสบการณ์เพียงพอ
จะรู้ว่าความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน
นั้นคือ เหตุผลที่ทีมงานได้คาดการณ์ว่า
การเดินทางเข้าไปในถ้ำคือ การเสียสละขั้นสูงสุด
และเมื่อพวกนักบวชโผล่ออกมาจากถ้ำ
ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
นั่นคือ พลังอำนาจวิเศษที่พระเจ้าประทานให้
ทำให้พวกนักบวชกลายเป็นตำนานเล่าขานว่า
เป็นตัวแทนของพระเจ้าที่แสดงอภินิหาร
Galli นักบวชบัณเฑาะก์จะยืนอยู่บนก้อนหิน
รอบ ๆ ตัวนักบวชจะมีวัวหรือแกะที่เคราะห์ร้ายล้มตาย
นั่นแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจเหนือธรรมชาติของพวกนักบวช
และที่ระดับความสูงบนนั้น พวกนักบวชจะสามารถยืนได้
อย่างน้อยช่วงระยะเวลา 20-40 นาทีโดยไม่ต้องเสี่ยงตายแต่อย่างใด
ไม่มีใครสามารถผ่านประตูสู่นรกได้โดยไม่สลบ
แต่ถ้า Galli กลั้นลมหายใจไว้สักพักหนึ่งก่อนที่จะก้มคลานเข้าไป
คลานผ่านประตูมรณะที่สูงระดับเอวของพวกนักบวช
แล้วรีบเดินขึ้นไปยืนบนก้อนหินภายในถ้ำที่สูงกว่าความสูงวัวหรือแกะ
บนก้อนหินนั้นจะมีลมหายใจเพียงพอช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ต้องสังเกตว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้มข้นมากหรือไม่
โดยพยายามหลีกเลี่ยงการยืนใกล้ประตูมากเกินไป ยกเว้นแต่ตอนกลางวัน "
ศาตราจารย์ Hardy Pfanz หัวหน้าทีมนักวิจัย
นักวิจัยด้านภูเขาไฟและชีววิทยาที่ UDE ให้สัมภาษณ์กับ IFLScience
Francesco D’Andria นักโบราณคดี University of Salento ใน Lecce ของ Italy
ผู้นำทีมค้นพบ Plutonium ใน Hierapolis ช่วงปี 2011
ยังไม่ค่อยมั่นใจว่า การค้นพบตะเกียงโบราณจำนวนมากรอบ ๆ ประตูมรณะ
เป็นไปได้ว่า นักบวชอาจจะต้องผจญภัยทำพิธีตอนกลางคืน
เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับระดับความเข้มข้นของ CO
2
(สันนิษฐานว่า ตะเกียงจุดไฟอาจจะใช้วัดปริมาณของ CO
2
ถ้าไฟดับแสดงว่ายังมีความเข้มข้นสูงมาก
แบบตะเกียงแสงของนักขุดเจาะถ่านหินในเหมืองถ่านหิน
ถ้าไฟในตะเกียงดับลงอย่างรวดเร็ว
นักขุดเจาะถ่านหินจะรีบออกมาจากอุโมงค์โดยพลัน)
" ผลการค้นพบครั้งนี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ความถูกต้องแหล่งโบราณคดี
และช่วยอธิบายว่า ทำไมคนไม่ตายแต่สัตว์ตายตอนเข้าประตูสู่นรก "
Gil Renberg นักวิจัยศาสนาและความเชื่อชาว Greek และ Roman
University of Nebraska ใน Lincoln สหรัฐอเมริกา
ย้อนกลับไปปี 1986 ทะเลสาบ
Nyos ที่เกิดจากภูเขาไฟใน Cameroon
ซึ่งได้กักขังก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้ผิวน้ำจำนวนมหาศาลนานหลายศตวรรษ
ก๊าซที่ไร้สีไร้กลิ่นเกิดปะทุขึ้นมาจากท้องทะเลสาบทันทีทันใด
กวาดชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบตายไปมากกว่า 1,700 คน
แม้ว่า จะไม่มีใครรู้ว่าจะมีการปลดปล่อยก๊าซจากท้องทะเลสาบอีกเมื่อใด
ทางการทำได้ก็แค่พยายามปลดปล่อยก๊าซออกมาจากท้องทะเลสาบเท่าที่ทำได้
และช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทะเลสาบ
Monoun ใน Cameroon
ก็มีเหตุการณ์ใกล้เคียงกันแต่เรียกว่า การปะทุของภูเขาไฟ
ซึ่งยังไม่ถึงกับฉับพลันทันทีและเป็นภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง
เหมือนกันพลังการทำลายล้างของประตูนรก Plutonium
ที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาอย่างต่อเนื่อง
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/odNPMD
https://goo.gl/hYLBUe
https://goo.gl/svDGUw
เรื่องเล่าไร้สาระ
"ขุดบ่อบาดาล" อาชีพที่มาพร้อมกับภัยแล้ง - Springnews
ภูมิปัญญาชาวบ้านในเรื่องก๊าซพิษที่ทำให้ตายได้
ในการขุดบ่อน้ำของชาวบ้านไทยในยุคก่อน
ที่จะต้องวางปล่องบ่อลงไปทีละลูก ๆ
และต้องใช้แรงงานคนขุดลงไปในใต้ดิน
ขุดจนกว่าจะไปเจอตาน้ำ (น้ำซึมออกมาจากผิวดิน)
ช่างขุดบ่อน้ำรุ่นเก่ามักจะมีการโยนกิ่งไม้/ใบไม้ลงไปเป็นระยะ ๆ
หรือสาดน้ำเย็นลงไปข้างล่างในบ่อให้คนขุดบ่อเป็นระยะ ๆ
ไม่ใช่เพื่อดับร้อนของคนขุดในบ่อเพียงอย่างเดียว
แต่เป็นการไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในบ่อด้วยส่วนหนึ่ง
ส่วนบางคนจะใช้วิธีจุดไม้ขีดไฟทดสอบดูก่อน
ถ้าไฟดับอย่างรวดเร็วจะรีบขึ้นมาจากบ่อเลย
เพราะแสดงว่าอากาศข้างล่างเริ่มไม่เพียงพอแล้ว
วิธีการนี้จะใช้ในตอนล้างบ่อน้ำ/ลอกบ่อน้ำเก่า
ถ้าโยนไม้ขีดไฟ/กิ่งไม้ติดไฟ ลงไปในบ่อน้ำแล้วดับเร็วมาก
แสดงว่าอากาศข้างล่างในบ่อไม่เพียงพอ
ก็จะต้องสาดน้ำลงไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับโยนกิ่งไม้ใบไม้ลงไปตาม
เพื่อไปปัดเป่าไล่ก๊าซ CO
2 ข้างล่างขึ้นมาข้างบน
แต่ช่างขุดบ่อน้ำบางคนจะโหดกว่านั้นหน่อย
หลังจากสาดน้ำลงไปพร้อมกับโยนกิ่งไม้ใบไม้ลงไปในบ่อเก่าแล้ว
มักจะใช้วิธีโยนไก่เป็น ๆ ทั้งตัวลงไปในบ่อเก่าด้วย
นัยอ้างว่าเพื่อบวงสรวงพระแม่ธรณี
ถ้าไก่ตายในบ่อก็จะเลื่อนวันขุดลอกบ่อเก่าออกไปก่อน
หรือโหดกว่านั้นจะเสี่ยงทายไปเรื่อย
โดยสาดน้ำพร้อมกับโยนกิ่งไม้ใบไม้ลงไปในบ่อเก่า
พร้อมกับโยนไก่ลงไปตามภายหลังจนกว่าไก่จะไม่ตาย
แล้วถือโอกาสนำไก่ตายมาทำเป็นอาหารต่อไป
แต่บางรายจะนำไก่หรือนกหรือกระรอกลงไปในบ่อด้วย
โดยใช้สัตว์เป็นตัววัดอากาศภายในบ่อ
ถ้าสัตว์เลี้ยงสะลึมสะลือหรือออกอาการน่าเป็นห่วง
ก็จะรีบขึ้นจากบ่อโดยเร็ว
แต่ปัจจุบันใช้พัดลมเป่าอากาศลงไปแทนที่ก่อน
หรือใช้เครื่องปั้มลมอัดอากาศลงไปไล่อากาศเสีย
หรือขุดบ่อแบบเจาะลงไปในดินฝังท่อขนาด 2 4 6 นิ้วแทน
ซึ่งเครื่องมือขุดเจาะบ่อบาดาลทั่วไปมักจะพบเห็นในขนาดนี้
เพราะท่อน้ำตัน/ท่อน้ำเซาะร่องพอหาซื้อได้ในท้องตลาดในราคาย่อมเยา
รวมทั้งปั้มน้ำที่สูบน้ำขึ้นจากบ่อบาดาลมักจะมีขนาดนิยม
ไม่เกิน 4 หุน 1 นิ้ว 2 นิ้ว แล้วแต่ความต้องการใช้น้ำ
ไขปริศนาประตูสู่นรก
เมืองโบราณ Hierapolis อยู่ในตุรกีทุกวันนี้ CaoWei/Getty Images
ในช่วงศตวรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช
ราชันย์แห่ง Pergamon ได้สร้างเทวสถานศักดิ์สิทธิ์ที่ Hierapolis
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในตุรกี แต่สภาพตอนนี้เป็นซากปรักหักพัง
แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างภายในที่น่าตื่นเต้น
บางสิ่งบางอย่างที่เก่าแก่กว่าที่เคยเป็นมาและเป็นตำนานลับสุดยอด
เมื่อ 7 ปีก่อน ประตูสู่นรก หรือที่เรียกกันว่า Plutonium
ซึ่งได้ตั้งชื่อตาม เทพเจ้าโรมัน เจ้าแห่งนรก
ประตูหินโค้งที่ทอดยาวเข้าไปสู่ถ้ำเล็ก ๆ ภายใน
ประตูถูกสร้างขึ้นในผนังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีพื้นที่ว่างเปิดโล่งล้อมรอบตัววิหาร/หน้าถ้ำทางเข้าประตูสู่นรก
และห้อมล้อมไปด้วยที่นั่งหินสำหรับผู้เข้าชม/ร่วมพิธีกรรม
เมืองนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางธรณีวิทยา
ที่มีภูเขาไฟมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาค
2,200 ปีที่ผ่านมา การใช้ความร้อนจากน้ำพุร้อน
มีความเชื่อกันว่าใช้ในการรักษาโรคบางโรคได้เป็นอย่างดี
แต่ขณะเดียวกัน รอยร้าวลึกที่ฝังอยู่ใต้เมือง Hierapolis
ก็ยังคงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะไหลออกมาเป็นรูปหมอกควันที่มองเห็นได้
ในปี 2011 นักโบราณคดียังพบว่า
ประตูสู่นรกคือ ประตูมรณะที่ยังคงมอบความตายให้สิ่งมีชีวิต
นกที่บินเข้าใกล้เกินไปจะหายใจไม่ออกและตายลง
ประตูนี้ถูกค้นพบที่นั่น เพราะมีกลุ่มหมอกควันที่ทำให้มึนงง
และได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตที่ยู่ภายในถ้ำ ถ้าอยู่นานเกินไปมักจะตาย
ประตูนี้มีตำนานเล่าขานกันมานมนานแล้วว่า
มีแต่คนที่เดินผ่านประตูเข้าไปในถ้ำแล้วเดินออกมา
มักจะรอดตายมากกว่า วัว แกะ และพวกนกต่าง ๆ
เพราะพวกสัตว์มักจะตายหลังจากเดินผ่านประตูเข้าไปในถ้ำ
ภาพจำลองประตูมรณะ
บทความในวารสาร Archaeological and Anthropological Sciences
ได้ตีพิมพ์เผยแพร่และอธิบายว่า
ในช่วงกลางวัน ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์จะขับไล่ก๊าซให้กระจายตัวออกไป
แต่ในเวลากลางคืนก๊าซที่หนักกว่าอากาศทั่วไปจะไหลออกมาจากรอยแตกในใต้ดิน
แล้วก่อให้เกิดทะเลสาบ CO2 บนพื้นถ้ำที่สร้างในที่กำบัง/กำแพงล้อมรอบ
ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จะอยู่สูงถึงที่ระดับ 40 เซนติเมตรเหนือพื้นถ้ำมีปริมาณถึง 4-53%
ปริมาณมากเพียงพอที่จะทำให้คนหรือสัตว์ที่ตัองหายใจด้วยปอด
มีอาการมีนงง ง่วงเหงาหาวนอน สลบไปและตายได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
แต่ความเข้มข้นจะลดลงอย่างรวดเร็วในระดับพื้นที่ที่สูงกว่า
นักบวชผู้เสียสละจะเข้าไปในถ้ำช่วงเวลาเช้าหรือเย็นเท่านั้น
เมื่อรู้ว่าความเข้มข้นของก๊าซไม่สูงเกินกว่าระดับดังกล่าว
แต่ความสูงของหัวพวกสัตว์มักจะสูงไม่เพียงพอ
ทำให้พวกมันต้องอยู่ท่ามกลางทะเลสาบ CO2
เพราะระดับหัวของพวกมันแทบอยู่ในระดับทะเลสาบ CO2
พวกมันจึงต้องสูดดม CO2 เข้าไปเต็มปอด
ก่อให้เกิดอาการวิงเวียน มึนงง สลบลงก่อนที่จะตายในที่สุด
แต่พวกนักบวชที่ยืนจะสูงพ้นระดับทะเลสาบ CO2
ทั้งยังยืนอยู่บนก้อนหินเพื่อเพิ่มความสูงให้กับตนเอง
เพราะพวกนักบวชรู้ดีว่าการสูดลมหายใจคือ หายนะอย่างร้ายแรง
(มีการประมาณการว่าคนกรีกยุคนั้นความสูงเฉลี่ย
สตรีระหว่าง 154-155 เซนติเมตร บุรุษระหว่าง 166-169 เซนติเมตร
จากการตรวจวัดโครงกระดูกที่พบในแหล่งโบราณคดี)
ทีมงานนักวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัย Duisburg-Essen (UDE)
ได้อธิบายถึงเรื่องราวของพิธีกรรมการบูชาในถ้ำแห่งนี้
ที่ปรากฏในงานเขียนของนักเขียนหลายคนในอดีต เช่น
Strabo นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกเคยเขียนถึงเรื่องนี้ว่า
" พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยไอน้ำหมอกที่หนาทึบ ที่แทบจะมองไม่เห็นพื้นดิน
สัตว์ที่ผ่านเข้าไปข้างในจะพบกับความตายทันที
ผมโยนนกกระจอกเข้าไป และพวกมันหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะตายลงทันที "
ในบันทึกที่ท่านเขียนไว้อย่างค่อนข้างเรียบง่าย
ถึงแม้ว่า การเกิดขึ้นของก๊าซจากภูเขาไฟเป็นที่รู้จักกันดีในพื้นที่แห่งนี้
แต่ทีมงานต้องการที่จะทำความเข้าใจรายละเอียดของประตูมรณะแห่งนี้
จึงทำการตรวจวัดอย่างละเอียดทุก ๆ จุด ทุก ๆ ช่วงเวลาเป็นระยะ ๆ
ทำให้ค้นพบข้อเท็จจริงว่า แสงแดดและลมที่พัดพาในตอนกลางวัน
จะช่วยกระจายหมอกควัน/ก๊าซที่เป็นอันตรายได้
นั่นคือ ในช่วงเวลาก่อนหัวรุ่ง(ตอนเช้ามืด)
จะเป็นเวลาที่เสี่ยงตายที่สุดในการเข้าไปในถ้ำ
ในตอนกลางคืนความเข้มข้น/ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในถ้ำจะสูงมาก
จนทำให้สามารถฆ่าคนได้ภายในหนึ่งนาที
ส่วนหนึ่งของการสร้างภาพแบบ 3D ของ Plutonium ที่ Hierapolis
ประตูสู่นรกอยู่ภายในกำแพงด้านล่างของที่นั่งคนร่วมพิธีกรรม Credit: Massimo Limoncelli
" การปล่อยก๊าซมรณะนี้ประดูจดั่งลมหายใจของ Hades เจ้าแห่งนรก
และ/หรือลมหายใจของหมาสามหัว Kerberos ที่เฝ้าระวังประตูสู่นรก
(J.K Rowling เคยนำหมาสามหัวมาเขียนไว้ในเล่มแรก
บทตอนจบของหนังสือ Harry Potter ตอนศิลาอาถรรพ์
มันเฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องลับที่จะลงไปไขปริศนาได้)
Galli นักบวชบัณเฑาะก์ผู้มีประสบการณ์เพียงพอ
จะรู้ว่าความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน
นั้นคือ เหตุผลที่ทีมงานได้คาดการณ์ว่า
การเดินทางเข้าไปในถ้ำคือ การเสียสละขั้นสูงสุด
และเมื่อพวกนักบวชโผล่ออกมาจากถ้ำ
ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
นั่นคือ พลังอำนาจวิเศษที่พระเจ้าประทานให้
ทำให้พวกนักบวชกลายเป็นตำนานเล่าขานว่า
เป็นตัวแทนของพระเจ้าที่แสดงอภินิหาร
Galli นักบวชบัณเฑาะก์จะยืนอยู่บนก้อนหิน
รอบ ๆ ตัวนักบวชจะมีวัวหรือแกะที่เคราะห์ร้ายล้มตาย
นั่นแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจเหนือธรรมชาติของพวกนักบวช
และที่ระดับความสูงบนนั้น พวกนักบวชจะสามารถยืนได้
อย่างน้อยช่วงระยะเวลา 20-40 นาทีโดยไม่ต้องเสี่ยงตายแต่อย่างใด
ไม่มีใครสามารถผ่านประตูสู่นรกได้โดยไม่สลบ
แต่ถ้า Galli กลั้นลมหายใจไว้สักพักหนึ่งก่อนที่จะก้มคลานเข้าไป
คลานผ่านประตูมรณะที่สูงระดับเอวของพวกนักบวช
แล้วรีบเดินขึ้นไปยืนบนก้อนหินภายในถ้ำที่สูงกว่าความสูงวัวหรือแกะ
บนก้อนหินนั้นจะมีลมหายใจเพียงพอช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ต้องสังเกตว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้มข้นมากหรือไม่
โดยพยายามหลีกเลี่ยงการยืนใกล้ประตูมากเกินไป ยกเว้นแต่ตอนกลางวัน "
ศาตราจารย์ Hardy Pfanz หัวหน้าทีมนักวิจัย
นักวิจัยด้านภูเขาไฟและชีววิทยาที่ UDE ให้สัมภาษณ์กับ IFLScience
Francesco D’Andria นักโบราณคดี University of Salento ใน Lecce ของ Italy
ผู้นำทีมค้นพบ Plutonium ใน Hierapolis ช่วงปี 2011
ยังไม่ค่อยมั่นใจว่า การค้นพบตะเกียงโบราณจำนวนมากรอบ ๆ ประตูมรณะ
เป็นไปได้ว่า นักบวชอาจจะต้องผจญภัยทำพิธีตอนกลางคืน
เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับระดับความเข้มข้นของ CO2
(สันนิษฐานว่า ตะเกียงจุดไฟอาจจะใช้วัดปริมาณของ CO2
ถ้าไฟดับแสดงว่ายังมีความเข้มข้นสูงมาก
แบบตะเกียงแสงของนักขุดเจาะถ่านหินในเหมืองถ่านหิน
ถ้าไฟในตะเกียงดับลงอย่างรวดเร็ว
นักขุดเจาะถ่านหินจะรีบออกมาจากอุโมงค์โดยพลัน)
" ผลการค้นพบครั้งนี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ความถูกต้องแหล่งโบราณคดี
และช่วยอธิบายว่า ทำไมคนไม่ตายแต่สัตว์ตายตอนเข้าประตูสู่นรก "
Gil Renberg นักวิจัยศาสนาและความเชื่อชาว Greek และ Roman
University of Nebraska ใน Lincoln สหรัฐอเมริกา
ย้อนกลับไปปี 1986 ทะเลสาบ Nyos ที่เกิดจากภูเขาไฟใน Cameroon
ซึ่งได้กักขังก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้ผิวน้ำจำนวนมหาศาลนานหลายศตวรรษ
ก๊าซที่ไร้สีไร้กลิ่นเกิดปะทุขึ้นมาจากท้องทะเลสาบทันทีทันใด
กวาดชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบตายไปมากกว่า 1,700 คน
แม้ว่า จะไม่มีใครรู้ว่าจะมีการปลดปล่อยก๊าซจากท้องทะเลสาบอีกเมื่อใด
ทางการทำได้ก็แค่พยายามปลดปล่อยก๊าซออกมาจากท้องทะเลสาบเท่าที่ทำได้
และช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทะเลสาบ Monoun ใน Cameroon
ก็มีเหตุการณ์ใกล้เคียงกันแต่เรียกว่า การปะทุของภูเขาไฟ
ซึ่งยังไม่ถึงกับฉับพลันทันทีและเป็นภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง
เหมือนกันพลังการทำลายล้างของประตูนรก Plutonium
ที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาอย่างต่อเนื่อง
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/odNPMD
https://goo.gl/hYLBUe
https://goo.gl/svDGUw
ซากนก
เรื่องเล่าไร้สาระ
"ขุดบ่อบาดาล" อาชีพที่มาพร้อมกับภัยแล้ง - Springnews
ภูมิปัญญาชาวบ้านในเรื่องก๊าซพิษที่ทำให้ตายได้
ในการขุดบ่อน้ำของชาวบ้านไทยในยุคก่อน
ที่จะต้องวางปล่องบ่อลงไปทีละลูก ๆ
และต้องใช้แรงงานคนขุดลงไปในใต้ดิน
ขุดจนกว่าจะไปเจอตาน้ำ (น้ำซึมออกมาจากผิวดิน)
ช่างขุดบ่อน้ำรุ่นเก่ามักจะมีการโยนกิ่งไม้/ใบไม้ลงไปเป็นระยะ ๆ
หรือสาดน้ำเย็นลงไปข้างล่างในบ่อให้คนขุดบ่อเป็นระยะ ๆ
ไม่ใช่เพื่อดับร้อนของคนขุดในบ่อเพียงอย่างเดียว
แต่เป็นการไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในบ่อด้วยส่วนหนึ่ง
ส่วนบางคนจะใช้วิธีจุดไม้ขีดไฟทดสอบดูก่อน
ถ้าไฟดับอย่างรวดเร็วจะรีบขึ้นมาจากบ่อเลย
เพราะแสดงว่าอากาศข้างล่างเริ่มไม่เพียงพอแล้ว
วิธีการนี้จะใช้ในตอนล้างบ่อน้ำ/ลอกบ่อน้ำเก่า
ถ้าโยนไม้ขีดไฟ/กิ่งไม้ติดไฟ ลงไปในบ่อน้ำแล้วดับเร็วมาก
แสดงว่าอากาศข้างล่างในบ่อไม่เพียงพอ
ก็จะต้องสาดน้ำลงไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับโยนกิ่งไม้ใบไม้ลงไปตาม
เพื่อไปปัดเป่าไล่ก๊าซ CO2 ข้างล่างขึ้นมาข้างบน
แต่ช่างขุดบ่อน้ำบางคนจะโหดกว่านั้นหน่อย
หลังจากสาดน้ำลงไปพร้อมกับโยนกิ่งไม้ใบไม้ลงไปในบ่อเก่าแล้ว
มักจะใช้วิธีโยนไก่เป็น ๆ ทั้งตัวลงไปในบ่อเก่าด้วย
นัยอ้างว่าเพื่อบวงสรวงพระแม่ธรณี
ถ้าไก่ตายในบ่อก็จะเลื่อนวันขุดลอกบ่อเก่าออกไปก่อน
หรือโหดกว่านั้นจะเสี่ยงทายไปเรื่อย
โดยสาดน้ำพร้อมกับโยนกิ่งไม้ใบไม้ลงไปในบ่อเก่า
พร้อมกับโยนไก่ลงไปตามภายหลังจนกว่าไก่จะไม่ตาย
แล้วถือโอกาสนำไก่ตายมาทำเป็นอาหารต่อไป
แต่บางรายจะนำไก่หรือนกหรือกระรอกลงไปในบ่อด้วย
โดยใช้สัตว์เป็นตัววัดอากาศภายในบ่อ
ถ้าสัตว์เลี้ยงสะลึมสะลือหรือออกอาการน่าเป็นห่วง
ก็จะรีบขึ้นจากบ่อโดยเร็ว
แต่ปัจจุบันใช้พัดลมเป่าอากาศลงไปแทนที่ก่อน
หรือใช้เครื่องปั้มลมอัดอากาศลงไปไล่อากาศเสีย
หรือขุดบ่อแบบเจาะลงไปในดินฝังท่อขนาด 2 4 6 นิ้วแทน
ซึ่งเครื่องมือขุดเจาะบ่อบาดาลทั่วไปมักจะพบเห็นในขนาดนี้
เพราะท่อน้ำตัน/ท่อน้ำเซาะร่องพอหาซื้อได้ในท้องตลาดในราคาย่อมเยา
รวมทั้งปั้มน้ำที่สูบน้ำขึ้นจากบ่อบาดาลมักจะมีขนาดนิยม
ไม่เกิน 4 หุน 1 นิ้ว 2 นิ้ว แล้วแต่ความต้องการใช้น้ำ