สวัสดีครับ วันนี้ว่างๆ เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์ทำงานในสายงานนี้ให้น้องๆ ที่กำลังตัดสินใจเผื่อจะได้เปลี่ยนใจทันก่อนจะสายเดินไป 555 ไม่ใช่แล้ววว เอาเป็นว่าลองอ่านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีละกันนะ อันนี้จะพยายามไม่พูดถึงตัวบริษัทที่ทำงานด้วยและพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เฉพาะทางด้าน programming แต่จะพูดถึง
งานที่ทำในแต่ละช่วงประสบการณ์รวมถึงรายได้คร่าวๆ เพื่อเป็นข้อมูลให้ตัดสินใจกัน ถ้าอยากอ่านแบบย่อให้ข้ามไปอ่าน
บทสรุปตรงตอนท้ายได้เลยครับ
2008 - 2011 เริ่มงานแรกในชีวิตกับบริษัทต่างชาติ
ตอนนั้นยังแทบไม่มีบริษัท startup เท่าไหร่ แต่งานสาย programmer ก็ถือว่าหาไม่ยากมาก ผมมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์หลายบริษัทเลย จริงๆตอนนั้นรู้สึกว่าสาย SAP เงินค่อยข้างดี แต่ก็สุดท้ายโดนปฏิเสธไป ในตอนนั้นเงินเดือนเด็กจบใหม่ก็ 18k - 22k สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นถ้าคำนวนเงินเฟ้อสิบปีที่ผ่านมา ปัจจุบันสาย programmer ควรจะเริ่มที่ 24k อย่างต่ำๆ
งานในปีแรกๆ เป็นงานแก้ไข bug บางคนอาจจะบอกว่าน่าเบื่อ แต่เอาจริงๆมันก็สนุกดี มันเหมือนการไขปริศนา แบบ time attack คือถ้าผ่านไปวันสองวันแล้วเรายังแก้ไม่ได้ พวก senior ก็จะต้องเข้ามาช่วยละ บางคนอาจจะชอบที่มีคนช่วย แต่นั่นหมายความว่าคุณยังไม่โตพอที่จะเป็น senior เพราะยังดูแลตัวเองไม่ได้
ความสามารถในการอธิบายปัญหาและวิธีการแก้ไขให้คนอื่นเข้าใจก็สำคัญ คือถ้าเราสามารถแก้ได้ แต่ถ้าเราอธิบายไม่ได้ว่าแก้ยังไงนั่นแสดงว่าเรามีปัญหาในการสื่อสารซึ่งจะส่งผลกับการทำงานเป็นทีม หลังจากแก้ bug จนได้รับความไว้วางไว้ช่วงหลังๆก็ได้ทำพวก feature ใหม่ๆ ซึ่งก็สนุกไปอีกแบบ
สรุปงาน + รายได้
เน้นแก้ bug เป็นหลัก มีโอกาสพัฒนา feature ใหม่เล็กๆ บ้างในช่วงหลัง
income: 2x - 3x k /month + bonus 3.x months
2011 - 2015 อัพเลเวลเป็น senior programmer
พอเป็นเป็น senior ก็จะเพลาๆเรื่องการแก้บั๊ก ส่วนมากจะเป็นการแนะนำน้องใหม่ๆ ว่าแก้ยังไงมากกว่า นอกจากตัวที่เร่งด่วนมากๆถึงต้องแก้เอง หลักๆเป็นการทำ feature ใหม่ๆ เป็นหลัก ซึ่งในช่วงนี้ภาษาอังกฤษพัฒนาแบบเห็นได้ เพราะตอนรับ requirement ก็ต้องคุยกับฝรั่ง ซึ่งจะมีพี่ lead ช่วยฟังให้อีกที แต่เราก็ต้องเข้าใจบ้างว่าหลักๆต้องทำอะไร หลังจากทำ feature นั้นเสร็จก็ต้อง demo ให้ฝรั่งดูอีก ซึ่งก็กดดันมากๆ ช่วงตอบคำถาม เพราะปัญหาคือสำเนียงฝรั่งแต่ละประเทศต่างกัน บางครั่งเราก็ไม่เข้าใจว่าถามว่าอะไร ซึ่ง lead จะช่วยแปลให้ หรือบางครั้งก็ตอบให้เลย
สรุปงาน + รายได้
เน้นพัฒนา feature ใหม่ มีแนะนำน้องๆเกี่ยวกับการแก้บั๊ก เข้าประชุมกับ lead
income: 4x - 6x k /month + bonus 3.x months
2015 - 2017 อัพเลเวลเป็น lead programmer
ตำแหน่งนี้ต้องเข้า meeting บ่อยขึ้น เช่นใน 3 เดือนข้างหน้านี้ จะมี feature X, Y, Z ที่ต้องพัฒนา ถ้าเป็น senior ก็สนใจแค่งานที่ตัวเองได้รับก็พอแล้ว แต่ technical lead จะต้องรู้ทั้งหมดว่า X, Y, Z requirement เป็นยังไงบ้าง นั่นหมายถึงงานด้าน coding ก็จะลดลงไปอีก เพื่อให้ครอบคลุมงานทั้งหมด ถึงจุดนี้ภาษาสำคัญมากๆ เพราะถ้าฟังไม่รู้เรื่องจุดนี้จะหันไปถามใครไม่ได้แล้ว 555 นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจเพื่อนร่วมงาน และรู้ว่าจะบริหารจัดการแต่ละคนยังไงให้ดีที่สุด
สรุปงาน + รายได้
เข้าประชุมทุก feature ใหม่เกือบทั้งหมด และต้องพัฒนา feature ใหม่ด้วยตัวเอง ต้องสรุปและส่งต่องานให้น้องๆในทีม
และคอย follow up
income: 6x - 7x k /month + bonus 3.x months
การเดินทางครั้งใหม่
หลังจากสะสมประสบการณ์จนรู้สึกว่างานที่ทำปัจจุบันเป็น comfort zone ไปแล้ว ซึ่งฟังดูเป็นเรื่องดี แต่อีกด้านนึงคือรู้สึกว่าไฟในตัวมันค่อยๆดับลงไปเพราะงานขาดความท้าทาย ณ จุดนี้เราเลือกเดินได้สองทาง คือทำงานไปเรื่อยๆสบายๆ กับ ออกเดินทางไปเก็บ level ที่ใหม่ ซึ่งผมตัดสินใจเลือกอันหลัง
สุดท้ายก็ได้ข้อเสนอที่ดีสุดๆจากบริษัทนึง เลยตัดสินใจย้ายด้วยโจทย์โหดสุดๆนั่นคือ มีเทคโนโลยีที่ต้องเรียนรู้ใหม่เยอะมาก หรือเรียกง่ายๆว่าเรียนใหม่ทั้งหมด 555 และเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้าเป็นชาวต่างชาติ (ที่เก่าหลักๆเป็นคนไทย แต่มีคุยกับฝรั่งบ้าง) เอาจริงๆก็ลังเลพอควร เพราะถ้าย้ายงานไปแล้วไม่ผ่านโปรนี่ก็โคตซวยเลย สุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายอยู่ดี เอาจริงๆมันก็คงเหมือนความรัก ถ้าเรารักคนแรกมากก็คงไม่ปล่อยให้คนใหม่เข้ามาในชีวิต 55
2017 - ปัจจุบัน เป็น programmer อีกรอบกับบริษัทต่างชาติ
ตอนนี้รู้สึกโอเครมากที่ตัดสินใจย้ายมา ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆตามที่คาดหวังไว้ ได้เรียนเทคโนโลนีใหม่ๆเยอะมาก ภาษาอังกฤษพัฒนาไปเยอะมากๆ ในระดับที่เขียนว่า excellent ได้อย่างมั่นใจ (สูงกว่านี้ก็คงต้องเป็น native แล้ว) งานในปัจจุบันได้กลับมา code เยอะขึ้น แล้วก็เข้า meeting น้อยลงกว่าสมัยเป็น lead programmer เพราะสนใจเฉพาะงานที่ตัวเองทำเป็นหลัก ไม่ต้องรู้ทั้งหมด แต่ถ้าให้พูดแบบตรงๆเลยคือที่ใหม่ให้เงินเยอะจนเกินไปเมื่อเทียบกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับ ซึ่งอาจจะมีผลกับการย้ายงานครั้งต่อไป แต่ตอนนี้ก็ช่างมันไปก่อน เงินเยอะมันก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว 555
สรุปงาน + รายได้
แก้บั๊คและพัฒนา feature ใหม่เป็นหลัก นานๆจะเข้า meeting ที
income: 10x k / month + bonus 3.x months
สรุปการทำงานสายโปรแกรมเมอร์ตลอดสิบปี
ถึงตอนนี้ผมก็อายุ 30 ต้นๆละ รายได้ปัจจุบันก็ถือว่าพอใจกับตัวเลขสมควร ตอนนี้ก็ยังสนุกกับงานอยู่และมองว่าสายนี้ยังมีโอกาสอีกมากกก โดยเฉพาะการมาของ AI , Quantum Computing จะทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์อีกมากมาย และขาดไม่ได้เลยคือ programmer ที่จะเป็นคนใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นเพื่อผลักดันสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น ปัจจุบันธนาคารมีการลดสาขา physical ก็จริง แต่ในขณะเดียวกันต้องลงทุนเพิ่มกับการพัฒนาระบบ IT เพื่อชดเชยกับการลดสาขา
สายงานนี้ระบบความคิด ความสามารถในการสื่อสาร พื้นฐานความรู้ด้าน data structure, algorithm, network, security ความทะเยอทะยานในการเรียนรู้สิ่งใหม่ นั้นเป็นหัวใจสำคัญมากสำหรับสายนี้ ส่วนภาษาอังกฤษจะเป็นตัวเร่งให้คุณเติบโตได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะคุณจะไม่มีข้อจำกัดเรื่องบริษัทที่จะไปทำงานด้วย แต่ปัจจุบันก็มีงานที่ได้เกิน 100k โดยใช้ประสบการณ์ไม่เยอะแล้วก็เป็นบริษัทในไทยบ้างแล้ว เนื่องจากการมาของ startup ซึ่งเป็นปัจจัยที่บวกมากๆสำหรับคนทำงานสายนี้เลย เพราะเป็นการเพิ่ม demand ของสายนี้เข้าไปอีก
Life Style ของการทำงานสายนี้สำหรับบริษัทต่างชาติก็ชิวเลยๆ แต่งตัวเสื้อยืดกางเกงยีนส์ (ถ้าบริษัท startup อาจจะขาสั้น + รองเท้าแตะ) เวลาเข้างานก็ไม่มีกำหนดตายตัว เช่นบางคนมีครอบครัวแล้วก็ 8.00 - 17.00 บางคนขี้เกียจตื่นเช้า 10.30 - 19.30 สรุปคือดูผลงานเป็นหลักนั่นเอง แต่บอกไว่ก่อนว่า life style ที่ผมพูดถึงนี้อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไปถ้าต้องไปทำงานสายธนาคาร หรือบริษัทไทยใหญ่ๆ ซึ่งจะมี dress code และเวลาเข้างานที่เข้มงวดกว่า
เรื่องงานเยอะนี่ก็ไม่จริงเหมือนกัน โดนเฉพาะบริษัทต่างชาติที่เคร่งเรื่องเวลาการทำงานมาก ถ้าคุณอยู่บริษัทที่ใช้งานหนัก ผมแนะนำให้หางานใหม่เถอะ อย่าไปปล่อยให้นายจ้างเอาเปรียบ เราไม่ได้ไม่มีทางเลือกขนาดนั้น
สุดท้ายคำแนะนำสั้นๆของคนที่สนใจทำงานสายนี้คือ ถ้าใจรักมาทำได้เลย ไม่ต้องคิดเยอะ โอกาสในสายงานนี้ยังเปิดอยู่ 555
Edit เพิ่มสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆจบใหม่ หรือคนที่ทำงานสายนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1. งาน IT ผมว่าคล้ายๆกับงานในสายงานด้านศิลปะ คำพูดมันมีน้ำหนักน้อยกว่าผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แนะนำให้ลองสร้าง portfolio ไว้ใน GitHub แล้วก็ทำโปรเจ็คอะไรก็ได้ที่อยากทำ (จริงๆปัจจุบันหลายๆที่ก็น่าจำทำ project จบใน github แล้ว) ถ้าตามกระแสหน่อยก็ลองเขียนฝั่ง client เป็น mobile application แล้วก็ส่ง request ด้วย protocal HTTP ไปที่ server ที่อาจจะเขียนด้วย nodejs แล้วก็เก็บข้อมูลลง database จะเป็น SQL หรือ no SQL ก็แล้วแต่ชอบ ถ้าแบบนี้ตอนสัมภาษณ์จะดูหล่อมากๆ
2. ช่วงปี 4 ลองลุยงานแข่งเขียนโปรแกรม สมัยนี้มีงานให้ลองฝีมือเยอะมากกก รวมตัวกับเพื่อนไปแข่ง ได้ทั้งประสบการณ์ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ สร้าง connection เผลอๆอาจจะชนะ ได้ทุนมาพัฒนาต่อยอดอีก บางทีถึงจะไม่ได้รางวัลอะไร เราก็อาจจะเอางานที่ไปแข่งมาเป็นโปรเจคจบได้เลย
3. การเรียนรุ้มันเพิ่งเริ่มต้นหลังจบมหาวิทยาลัย เนื่องจากสายนี้มันไปเร็วมากกกก สมัยเรียนยังเป็น OOP เดี๋ยวนี้มาเป็น Functional Programming แล้ว วิธีคิดมันก็จะต้องปรับเปลี่ยนตาม แต่ทั้งหมดมันยังคงอยู่บนพื้นฐานเดิมๆ บางครั้งผมยังไปนั่งอ่าน Discrete Mathematics กับ Algorithm เคาะสนิมเล่นๆ ผมแนะนำ coursera.org เลย ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งฝึกภาษา เรียนฟรีด้วยย
4. LinkedIn นี่ถือว่าเป็นแหล่งหางานยอดนิยมเลย ดังนั้นพยายามทำให้ profile updated (แต่อย่าถี่มากจนเจ้านายสงสัย 555) ถ้า profile คุณน่าสนใจ รับรองว่า recruiter จะแวะมาทักทายวันละหลายๆครั้ง
5. ให้เกียรติอาชีพตัวเองด้วยการใช้ซอฟแวร์ถูกลิขสิทธิ์
6. HumbleBundle หนังสือถูกมากๆ แล้วก็มีดีหลายๆเล่มเลย อาทิตย์นี้ Functional programming ก่อนหน้านู้นเป็น Python, Deep Learning แล้วก็ Docker คือราคานี้ยังไงก็คุ้ม (ถ้าอ่านนะ 555)
รีวิว อาชีพโปรแกรมเมอร์ประสบการณ์ 10 ปี
2008 - 2011 เริ่มงานแรกในชีวิตกับบริษัทต่างชาติ
ตอนนั้นยังแทบไม่มีบริษัท startup เท่าไหร่ แต่งานสาย programmer ก็ถือว่าหาไม่ยากมาก ผมมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์หลายบริษัทเลย จริงๆตอนนั้นรู้สึกว่าสาย SAP เงินค่อยข้างดี แต่ก็สุดท้ายโดนปฏิเสธไป ในตอนนั้นเงินเดือนเด็กจบใหม่ก็ 18k - 22k สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นถ้าคำนวนเงินเฟ้อสิบปีที่ผ่านมา ปัจจุบันสาย programmer ควรจะเริ่มที่ 24k อย่างต่ำๆ
งานในปีแรกๆ เป็นงานแก้ไข bug บางคนอาจจะบอกว่าน่าเบื่อ แต่เอาจริงๆมันก็สนุกดี มันเหมือนการไขปริศนา แบบ time attack คือถ้าผ่านไปวันสองวันแล้วเรายังแก้ไม่ได้ พวก senior ก็จะต้องเข้ามาช่วยละ บางคนอาจจะชอบที่มีคนช่วย แต่นั่นหมายความว่าคุณยังไม่โตพอที่จะเป็น senior เพราะยังดูแลตัวเองไม่ได้
ความสามารถในการอธิบายปัญหาและวิธีการแก้ไขให้คนอื่นเข้าใจก็สำคัญ คือถ้าเราสามารถแก้ได้ แต่ถ้าเราอธิบายไม่ได้ว่าแก้ยังไงนั่นแสดงว่าเรามีปัญหาในการสื่อสารซึ่งจะส่งผลกับการทำงานเป็นทีม หลังจากแก้ bug จนได้รับความไว้วางไว้ช่วงหลังๆก็ได้ทำพวก feature ใหม่ๆ ซึ่งก็สนุกไปอีกแบบ
สรุปงาน + รายได้
เน้นแก้ bug เป็นหลัก มีโอกาสพัฒนา feature ใหม่เล็กๆ บ้างในช่วงหลัง
income: 2x - 3x k /month + bonus 3.x months
2011 - 2015 อัพเลเวลเป็น senior programmer
พอเป็นเป็น senior ก็จะเพลาๆเรื่องการแก้บั๊ก ส่วนมากจะเป็นการแนะนำน้องใหม่ๆ ว่าแก้ยังไงมากกว่า นอกจากตัวที่เร่งด่วนมากๆถึงต้องแก้เอง หลักๆเป็นการทำ feature ใหม่ๆ เป็นหลัก ซึ่งในช่วงนี้ภาษาอังกฤษพัฒนาแบบเห็นได้ เพราะตอนรับ requirement ก็ต้องคุยกับฝรั่ง ซึ่งจะมีพี่ lead ช่วยฟังให้อีกที แต่เราก็ต้องเข้าใจบ้างว่าหลักๆต้องทำอะไร หลังจากทำ feature นั้นเสร็จก็ต้อง demo ให้ฝรั่งดูอีก ซึ่งก็กดดันมากๆ ช่วงตอบคำถาม เพราะปัญหาคือสำเนียงฝรั่งแต่ละประเทศต่างกัน บางครั่งเราก็ไม่เข้าใจว่าถามว่าอะไร ซึ่ง lead จะช่วยแปลให้ หรือบางครั้งก็ตอบให้เลย
สรุปงาน + รายได้
เน้นพัฒนา feature ใหม่ มีแนะนำน้องๆเกี่ยวกับการแก้บั๊ก เข้าประชุมกับ lead
income: 4x - 6x k /month + bonus 3.x months
2015 - 2017 อัพเลเวลเป็น lead programmer
ตำแหน่งนี้ต้องเข้า meeting บ่อยขึ้น เช่นใน 3 เดือนข้างหน้านี้ จะมี feature X, Y, Z ที่ต้องพัฒนา ถ้าเป็น senior ก็สนใจแค่งานที่ตัวเองได้รับก็พอแล้ว แต่ technical lead จะต้องรู้ทั้งหมดว่า X, Y, Z requirement เป็นยังไงบ้าง นั่นหมายถึงงานด้าน coding ก็จะลดลงไปอีก เพื่อให้ครอบคลุมงานทั้งหมด ถึงจุดนี้ภาษาสำคัญมากๆ เพราะถ้าฟังไม่รู้เรื่องจุดนี้จะหันไปถามใครไม่ได้แล้ว 555 นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจเพื่อนร่วมงาน และรู้ว่าจะบริหารจัดการแต่ละคนยังไงให้ดีที่สุด
สรุปงาน + รายได้
เข้าประชุมทุก feature ใหม่เกือบทั้งหมด และต้องพัฒนา feature ใหม่ด้วยตัวเอง ต้องสรุปและส่งต่องานให้น้องๆในทีม
และคอย follow up
income: 6x - 7x k /month + bonus 3.x months
การเดินทางครั้งใหม่
หลังจากสะสมประสบการณ์จนรู้สึกว่างานที่ทำปัจจุบันเป็น comfort zone ไปแล้ว ซึ่งฟังดูเป็นเรื่องดี แต่อีกด้านนึงคือรู้สึกว่าไฟในตัวมันค่อยๆดับลงไปเพราะงานขาดความท้าทาย ณ จุดนี้เราเลือกเดินได้สองทาง คือทำงานไปเรื่อยๆสบายๆ กับ ออกเดินทางไปเก็บ level ที่ใหม่ ซึ่งผมตัดสินใจเลือกอันหลัง
สุดท้ายก็ได้ข้อเสนอที่ดีสุดๆจากบริษัทนึง เลยตัดสินใจย้ายด้วยโจทย์โหดสุดๆนั่นคือ มีเทคโนโลยีที่ต้องเรียนรู้ใหม่เยอะมาก หรือเรียกง่ายๆว่าเรียนใหม่ทั้งหมด 555 และเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้าเป็นชาวต่างชาติ (ที่เก่าหลักๆเป็นคนไทย แต่มีคุยกับฝรั่งบ้าง) เอาจริงๆก็ลังเลพอควร เพราะถ้าย้ายงานไปแล้วไม่ผ่านโปรนี่ก็โคตซวยเลย สุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายอยู่ดี เอาจริงๆมันก็คงเหมือนความรัก ถ้าเรารักคนแรกมากก็คงไม่ปล่อยให้คนใหม่เข้ามาในชีวิต 55
2017 - ปัจจุบัน เป็น programmer อีกรอบกับบริษัทต่างชาติ
ตอนนี้รู้สึกโอเครมากที่ตัดสินใจย้ายมา ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆตามที่คาดหวังไว้ ได้เรียนเทคโนโลนีใหม่ๆเยอะมาก ภาษาอังกฤษพัฒนาไปเยอะมากๆ ในระดับที่เขียนว่า excellent ได้อย่างมั่นใจ (สูงกว่านี้ก็คงต้องเป็น native แล้ว) งานในปัจจุบันได้กลับมา code เยอะขึ้น แล้วก็เข้า meeting น้อยลงกว่าสมัยเป็น lead programmer เพราะสนใจเฉพาะงานที่ตัวเองทำเป็นหลัก ไม่ต้องรู้ทั้งหมด แต่ถ้าให้พูดแบบตรงๆเลยคือที่ใหม่ให้เงินเยอะจนเกินไปเมื่อเทียบกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับ ซึ่งอาจจะมีผลกับการย้ายงานครั้งต่อไป แต่ตอนนี้ก็ช่างมันไปก่อน เงินเยอะมันก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว 555
สรุปงาน + รายได้
แก้บั๊คและพัฒนา feature ใหม่เป็นหลัก นานๆจะเข้า meeting ที
income: 10x k / month + bonus 3.x months
สรุปการทำงานสายโปรแกรมเมอร์ตลอดสิบปี
ถึงตอนนี้ผมก็อายุ 30 ต้นๆละ รายได้ปัจจุบันก็ถือว่าพอใจกับตัวเลขสมควร ตอนนี้ก็ยังสนุกกับงานอยู่และมองว่าสายนี้ยังมีโอกาสอีกมากกก โดยเฉพาะการมาของ AI , Quantum Computing จะทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์อีกมากมาย และขาดไม่ได้เลยคือ programmer ที่จะเป็นคนใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นเพื่อผลักดันสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น ปัจจุบันธนาคารมีการลดสาขา physical ก็จริง แต่ในขณะเดียวกันต้องลงทุนเพิ่มกับการพัฒนาระบบ IT เพื่อชดเชยกับการลดสาขา
สายงานนี้ระบบความคิด ความสามารถในการสื่อสาร พื้นฐานความรู้ด้าน data structure, algorithm, network, security ความทะเยอทะยานในการเรียนรู้สิ่งใหม่ นั้นเป็นหัวใจสำคัญมากสำหรับสายนี้ ส่วนภาษาอังกฤษจะเป็นตัวเร่งให้คุณเติบโตได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะคุณจะไม่มีข้อจำกัดเรื่องบริษัทที่จะไปทำงานด้วย แต่ปัจจุบันก็มีงานที่ได้เกิน 100k โดยใช้ประสบการณ์ไม่เยอะแล้วก็เป็นบริษัทในไทยบ้างแล้ว เนื่องจากการมาของ startup ซึ่งเป็นปัจจัยที่บวกมากๆสำหรับคนทำงานสายนี้เลย เพราะเป็นการเพิ่ม demand ของสายนี้เข้าไปอีก
Life Style ของการทำงานสายนี้สำหรับบริษัทต่างชาติก็ชิวเลยๆ แต่งตัวเสื้อยืดกางเกงยีนส์ (ถ้าบริษัท startup อาจจะขาสั้น + รองเท้าแตะ) เวลาเข้างานก็ไม่มีกำหนดตายตัว เช่นบางคนมีครอบครัวแล้วก็ 8.00 - 17.00 บางคนขี้เกียจตื่นเช้า 10.30 - 19.30 สรุปคือดูผลงานเป็นหลักนั่นเอง แต่บอกไว่ก่อนว่า life style ที่ผมพูดถึงนี้อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไปถ้าต้องไปทำงานสายธนาคาร หรือบริษัทไทยใหญ่ๆ ซึ่งจะมี dress code และเวลาเข้างานที่เข้มงวดกว่า
เรื่องงานเยอะนี่ก็ไม่จริงเหมือนกัน โดนเฉพาะบริษัทต่างชาติที่เคร่งเรื่องเวลาการทำงานมาก ถ้าคุณอยู่บริษัทที่ใช้งานหนัก ผมแนะนำให้หางานใหม่เถอะ อย่าไปปล่อยให้นายจ้างเอาเปรียบ เราไม่ได้ไม่มีทางเลือกขนาดนั้น
สุดท้ายคำแนะนำสั้นๆของคนที่สนใจทำงานสายนี้คือ ถ้าใจรักมาทำได้เลย ไม่ต้องคิดเยอะ โอกาสในสายงานนี้ยังเปิดอยู่ 555
Edit เพิ่มสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆจบใหม่ หรือคนที่ทำงานสายนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้