วันนี้ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันครบรอบที่บ็อบ เพสลี่ย์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเสียชีวิต บทความนี้ขออุทิศให้แก่เพสลี่ย์ครับ
....................................
.
บ็อบ เพสลี่ย์ เกิดในเมือง Hetton ในปี 1919 และย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในเดือนพฤษภาคม 1939 ในตำแหน่งแบ็คซ้าย แต่ช่วงนั้นการแข่งฟุตบอลเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องสาเหตุเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามเขาเป็นนักเตะฝีเท้าดีคนหนึ่ง ซึ่งดีพอจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ได้แชมป์ลีก ฤดูกาล 1946/47 แต่ความตกต่ำก็มาเยือนอย่างรวดเร็วเมื่อลิเวอร์พูลตกชั้นลงสู่ดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล1953/54 ประกอบกับสัญญาของเขาหมดลงในเดือนพฤษภาคม 1954 พอดี ซึ่งเขาเคยพูดถึงอนาคตว่า
.
“ผมกำลังศึกษาเพื่อเป็นนักกายภาพบำบัดและหมอนวดประจำทีม ผู้ชายที่มีครอบครัวต่างต้องคิดถึงอนาคตกันทั้งนั้น”
.
ไม่มีใครหรือแม้แต่ตัวเขาเองรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตของเขาจะยิ่งใหญ่สะท้านโลกได้ถึงเพียงนี้!
.
เมื่อสัญญาการเป็นนักเตะหมดลง ลิเวอร์พูลเสนอตำแหน่งผู้จัดการทีมสำรองให้แก่เพสลี่ย์ แต่ว่าเขาสามารถใช้อุปกรณ์กายภาพบำบัดไฟฟ้าได้อย่างชำนาญ เขาจึงควบตำแหน่งนักกายภาพบำบัดอีกตำแหน่งนึง แม้ว่าทีมชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของ ดอน เวลซ์ ยังจมปลักอยู่ในดิวิชั่น 2 แต่บ็อบ เพสลี่ย์เริ่มแสดงฝีมือในการคุมทีมสำรองเมื่อพาทีมจบอันดับสองในเซ็นทรัล ลีก ซึ่งเป็นลีกของทีมสำรอง และเมื่อ ฟิล เทย์เลอร์มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ เพสลี่ย์ก็ได้ก้าวมาเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่และหัวหน้าโค้ชในที่สุด
.
จนกระทั่งปี 1959 การมาของบิล แชงคลี่ย์เปลี่ยนแปลงสโมสรแบบพลิกฝ่ามือ แชงคลี่ย์และเพสลี่ย์ต่างทำงานเข้ากันได้ดี อาจเพราะมีพื้นฐานดั้งเดิมที่คล้ายกัน บิล แชงคลี่ย์มาจากครอบครัวคนงานเหมืองใน Glenbuck สก็อตแลนด์ ส่วนบ็อบ เพสลี่ย์ก็มาจากครอบครัวคนงานเหมืองเช่นเดียวกันในเมือง Hetton ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ทำให้หลักการทำงานและหลักการใช้ชีวิตของทั้งคู่คล้ายกันและเป็นรากฐานให้แก่บู๊ทรูมและสโมสรในเวลาต่อมา โดยให้คุณค่าของการทำงานหนัก ทำงานเพื่อผู้อื่น และแบ่งปันความสำเร็จร่วมกัน
.
ในปี 1971 บ็อบ เพสลี่ย์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และอีก 3 ปีต่อมาเขากลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทนที่บิล แชงคลี่ย์ อย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อ แชงคลี่ย์ลาออกแบบช็อควงการ และแนะนำให้บอร์ดบริหารว่า “ทางเดียวที่จะสานงานต่อไป คือแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่จากคนในสโมสร” ขณะนั้น บ็อบ เพสลี่ย์ อายุ 55 ปี อยู่ในแอนฟิลด์มาแล้ว 35 ปี รู้ตัวว่าถ้าสโมสรจะแต่งตั้งจากคนใน ตัวเขาคงเลี่ยงหน้าที่นี้ไม่พ้น
.
ปีเตอร์ โรบินสัน เล่าว่า “เราแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม เขาปฏิเสธ ดังนั้นประธานสโมสร กับพวกบอร์ดบริหารต่างต้องยกพวกไปล้อมตัวเขา เขาถึงยอมรับตำแหน่ง”
.
เขากังวลใจเป็นอย่างมากในการรับตำแหน่งเพราะตัวเขาตรงข้ามกับบิล แชงคลี่ย์ทุกอย่าง แชงคลี่ย์เสียงดัง เต็มไปด้วยออร่า ทุกคนเคารพยำเกรง ขณะที่เพสลี่ย์เป็นคนเงียบ พูดเบา กระอักกระอ่วนเมื่อต้องพูดต่อหน้าคนหมู่มาก สื่อสารไม่ดี แต่เมื่อเขาพูดแล้ว ความเฉียบคมไม่เป็นรอง บิล แชงคลี่ย์เลย
.
เมื่อรับตำแหน่ง เขาพูดว่า “ผมจะให้ผลงานของทีมในสนามพูดแทนผม”
.
และในนัดแรกของเขากับลูตัน มีข่าวว่าบิล แชงคลี่ย์ไปชมเกมของเอฟเวอร์ตันแทน เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องนี้ เพสลี่ย์ตอบว่า “แชงคลี่ย์บอกว่าเขาอยากอยู่ห่างๆจากฟุตบอล เขาจึงไปดูเอฟเวอร์ตันไงล่ะ”
.
ฤดูกาลแรกของเขา 1974/75 ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปนี่คือฤดูกาลเดียวในจำนวน 9 ฤดูกาลของเพสลี่ย์ที่ปราศจากถ้วยรางวัล
.
บ็อบ เพสลี่ย์ ไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงทีม เพราะเขามองจุดอ่อนของแชงคลี่ย์ที่รักทีมที่สร้างความสำเร็จให้เขาในยุค 60s มากเกินไป ทำให้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทีมทั้งที่นักเตะบางคนหมดเวลากับทีมแล้ว เพสลี่ย์ซื้อฟิล นีล มาในปี 1974 เพื่อแทนที่ อเล็ค ลินเซย์ จากนั้นนักเตะใหม่ๆเริ่มเข้ามาถ่ายเลือดกับทีมของแชงคลีย์ เช่น เทอร์รี่ แม็คเดอม็อตต์, จิมมี่ เคส, เรย์ เคนเนดี้ ที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ จนทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีก และแชมป์ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 1975/76 และประสบความสำเร็จต่อเนื่องในฤดูกาล 1976/77 ที่คว้าแชมป์ลีก และแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แต่พลาดแชมป์เอฟเอคัพ ไปอย่างน่าเสียดายเพื่อแพ้แก่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพราะลูกแฉลบ แต่สถิตินี้ ทำให้เพสลี่ย์เป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ และ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ใน 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และเป็นคนเดียวที่ทำได้กับสโมสรเดียวด้วย
.
เมื่อ เควิน คีแกนจากไปหลังจบฤดูกาล 1976/77 บ็อบ เพสลี่ย์ พร้อมกับท่านประธาน จอห์น สมิธ ขับรถขึ้นเหนือพร้อมทั้งปลอมตัวและใช้ชื่อปลอมในการจองโรงแรม เพื่อไปเซ็นสัญญากับ เคนนี่ ดัลกลิช ดาราของกลาสโกว์ เซลติค ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของเกาะอังกฤษ 440,000 ปอนด์ และกลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของเพสลี่ย์ ซึ่งเพสลี่ย์ให้ความเห็นในภายหลังว่า แม้ว่าคีแกนไม่ย้ายออกไป เขาก็จะซื้อดัลกลิชอยู่ดี สิ่งที่เขาเสียใจที่สุดคือไม่มีโอกาสได้เห็น คีแกน และดัลกลิช อยู่ในทีมลิเวอร์พูลของเขาพร้อมกัน
.
หลังจากเคนนี่ ดัลกลิช ย้ายมาไม่นาน บ็อบ เพสลี่ย์ ซื้อตัว อลัน แฮนเซ่น กองหลังอนาคตไกลชาวสก็อตในเดือนพฤษภาคม 1977 และเดือนมกราคม 1978 แกรม ซูเนสส์ ก็ถูกซื้อมาจากมิดเดิ้ลสโบรห์ ทำให้สามประสานชาวสก็อตพร้อมจะเป็นแกนหลักให้แก่ทีมของเพสลี่ย์ในยุค 80s ซึ่งข้อนี้สะท้อนความยิ่งใหญ่ของเพสลี่ย์ที่มองไปในอนาคตเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ทีมเพิ่งคว้าแชมป์ลีกและแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ในฤดูกาลก่อน แต่เพสลี่ย์ก็กล้าเปลี่ยนแปลงทีมเพื่ออนาคต ซึ่งความพยายามของเพสลี่ย์ก็บรรลุผล เมื่อ แกรม ซูเนสส์ ใช้อกพักบอลที่หน้ากรอบเขตโทษ ก่อนจ่ายนิ่มๆทะลุช่องให้เคนนี่ ดัลกลิช หลุดไปชิพข้ามตัวผู้รักษาประตู เอฟซี บรู๊กซ์ เป็นประตูชัย 1-0 ช่วยให้หงส์แดงรักษาแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1978 ไว้ได้
.
แม้ว่าลิเวอร์พูลพลาดเสียแชมป์ลีกให้แก่ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ในฤดูกาล 1977/78 แต่เพสลี่ย์ก็พาทีมกลับมาคว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ในปี 1978/79 ด้วยสถิติสุดโหด แข่ง 42 นัด ชนะ 30 เสมอ 8 แพ้ 4 ประตูได้ 85 ประตูเสีย 16 แต้ม 68 คะแนน (ระบบชนะได้ 2 คะแนน) และยังรักษาแชมป์ลีกไว้ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1979/80
.
ฤดูกาล 1980/81 ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จในลีก แต่ยังคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้เป็นสมัยแรก เมื่อชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในนัดรีเพลย์ 2-1 และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพเป็นสมัยที่ 3 เมื่อเอาชนะรีล มาดริด 1-0 จากอลัน เคนเนดี้ โดยในเส้นทางสู่ปารีส ลิเวอร์พูลต้องทำศึก Battle of Britain กับอเบอร์ดีน ของอเล็ก เฟอร์กูสัน ซึ่งก่อนเกมนัดแรกที่สก็อตแลนด์ เพสลี่ย์ได้แจก “ทอฟฟี่” ให้แก่กอร์ดอน สตรั๊คคั่น จนเล่นไม่ออกและหงส์แดงชนะไป 1-0 ก่อนกลับมาถล่มในแอนฟิลด์ 4-0 ด้วยการเล่นที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เป็นการเล่นของผู้ใหญ่กับเด็ก”
.
ต่อมาในรอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง กับบาเยิร์น มิวนิค เขาแสดงความเป็นนักแทคติคชั้นยอด เมื่อเจ้าหน้าที่ยูฟ่าสอบถามโฮเวิร์ด เกลย์ ว่าเป็นใคร เพสลี่ย์สังเกตเห็นจึงใส่ชื่อ โฮเวิร์ด เกลย์ ที่ไม่มีใครรู้จัก ให้เป็นตัวสำรองเพื่อเป็นอาวุธลับเกมนี้
.
“พวกเยอรมันมักเตะตามตำรา พวกเขารู้จักตัวจริงของเราทะลุปรุโปร่ง แต่รับรองว่าพวกเขาไม่รู้จักตัวสำรองโนเนมของเราแน่ และเมื่อคนที่พวกเขาไม่รู้จักลงสู่สนาม พวกเขาจะเริ่มไม่แน่ใจและจะปั่นป่วนไปเอง” เพสลี่ย์กล่าว
.
เป็นจริงตามที่เพสลี่ย์คาดการณ์ เมื่อโฮเวิร์ด เกลย์ ลงสนามแทนที่ เคนนี่ ดัลกลิชในช่วงต้นเกม เขาใช้ความเร็วเล่นงานกองหลังเยอรมันจนเปิดตำราตั้งรับไม่ทันและเริ่มเล่นนอกเกมกับเขา จนกระทั่งเพสลี่ย์ต้องเปลี่ยนตัวเขาออกในครึ่งหลังเพราะเกลย์เริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้เพราะโดนเตะตลอด แต่อย่างไรก็ตาม พวกเยอรมันเสียกระบวนไปแล้ว ทำให้เรย์ เคนเนดี้ หลุดไปยิงอเวย์โกล์อันล้ำค่าช่วงท้ายเกม พาหงส์แดงสู่ปารีสจนได้
.
ฤดูกาล 1981/82 เรย์ คลีเมนซ์ ย้ายไปร่วมทีมสเปอร์ บรู๊ซ กร็อบเบลล่าร์ ผู้รักษาประตูหน้าใหม่ก็ก่อความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงนักเตะหน้าใหม่อย่าง รอนนี่ วีแลน เอียน รัช เคร็ก จอห์นสตัน เข้าสู่ทีม ทำให้ผลงานของทีมสะดุดลง โดยตกลงไปอยู่อันดับที่ 12 ห่างจากจ่าฝูง 11 คะแนน เพสลี่ยจึงเปลี่ยนแปลงทีมโดยแต่งตั้งแกรม ซูเนสส์ เป็นกัปตันทีมคนใหม่แทนที่ฟิล ธอมป์สัน ผลปรากฎว่าหงส์แดงเดินหน้าคว้าชัยชนะ 20 นัดจาก 25 นัดที่เหลือเข้าป้ายแชมป์ลีกไปจนได้ และยังคว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 2 เมื่อชนะสเปอร์ 3-1
.
ฤดูกาล 1982/83 เป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขา เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกแบบม้วนเดียวจบ และเป็นผู้รับมอบถ้วยแชมป์ลีกด้วยตนเอง ก่อนที่จะพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน เมื่อเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1 โดยหลังเกม แกรม ซูเนสส์ พร้อมกับลูกทีม ต่างเรียกร้องให้บ็อบ เพสลี่ย์ ก้าวขึ้นไปรับถ้วยแชมป์ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกในเวมบลี่ย์ที่ผู้จัดการทีมได้รับเกียรติเช่นนี้
.
คุณสมบัติที่โดดเด่นของบ็อบ เพสลี่ย์ นอกเหนือจากความสามารถในการคุมทีม คือ แค่เขาเห็นนักเตะเดิน เขาก็สามารถประเมินได้ว่านักเตะคนนั้นปกติดี หรือว่ามีอาการบาดเจ็บตรงไหน นอกจากนี้จิตวิทยาของเขายังเป็นเลิศและนำออกมาใช้ในเวลาที่เหมาะสมจนเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทีม ไม่ว่าจะเป็นการแจก “ทอฟฟี่” ให้แก่กอร์ดอน สตรั๊คคั่น ของอเบอร์ดีน ในยูโรเปี้ยนคัพ 1981, การยั่ว เอียน รัช ให้พิสูจน์ตัวเอง, การสั่งให้ลูกทีมยืนขึ้น ห้ามนั่งลงกับพื้นสนาม ระหว่างรอการเตะในช่วงต่อเวลา นัดชิงชนะเลิศ ลีกคัพ 1982 กับสเปอร์, การสั่งให้ เดวิด แฟร์คลัฟ ยอดตัวสำรอง วิ่งวอร์มอยู่ข้างสนามเพื่อขู่ฝ่ายตรงข้าม, ฯลฯ ซึ่ง เอียน รัช เคยพูดว่า ไม่เคยพบใครที่มีความรู้ด้านฟุตบอลและจิตวิทยาเท่ากับบ็อบ เพสลี่ย์ มาก่อน
.
ผลงานการเป็นผู้จัดการทีม (1974-1983)
แชมป์ลีก 1975/76, 1976/77, 1978/79, 1979/80, 1981/82, 1982/83
ยูโรเปี้ยน คัพ 1977, 1978, 1981
ยูฟ่า คัพ 1976
ลีก คัพ 1981, 1982, 1983
ผู้จัดการทีมแห่งปี 1976, 1977, 1979, 1980, 1982, 1983
.
ไม่เลวเลย สำหรับคนที่ไม่เต็มใจรับตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่ก็ต้องทำหน้าที่เพื่อสโมสร
.
หลังจากเขาวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีม เขาได้รับตำแหน่งบอร์ดบริหารและที่ปรึกษาของเคนนี่ ดัลกลิชในช่วงที่คิง เคนนี่ รับตำแหน่งใหม่ๆ ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1992 เมื่อเขาขับรถพร้อมกับ เจสสี่ย์ ภรรยาจากแอนฟิลด์เพื่อกลับบ้าน เขาเอ่ยปากถามว่า
.
“เรากำลังจะไปไหน?”
.
เจสสี่ย์คิดว่าบ็อบคงล้อเล่น จึงไม่ได้ฉุกคิดอะไร แต่ปรากฎว่าในวันต่อๆมา เพสลี่ย์ ถามคำถามเดิม รวมถึงถามแปลกๆว่า “บ้านเราไปทางไหน”
.
บางครั้งเขาขับรถออกนอกเส้นทาง และเมื่อเจสสี่ย์ถามว่าจะขับไปไหน บ็อบตอบว่า “ไม่รู้”
.
หลังจากเข้าพบแพทย์แล้ว แพทย์วินิจฉัยว่า บ็อบ เพสลี่ย์ มีอาการของโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น ด้วยเหตุนี้เขาต้องรับการรักษาอย่างจริงจังและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพสลี่ย์จึงขอลาออกจาตำแหน่งบอร์ดบริหารของสโมสรในเดือนกุมภาพันธ์ 1992 สโมสรจึงจำยอมอนุมัติและมอบตำแหน่งสุดท้าย “รองประธานสโมสรตลอดชีพ” เพื่อตอบแทนคุณงามความดี และเป็นเกียรติสูงสุดแก่ บ็อบ เพสลี่ย์
.
ตลอดเวลาที่รักษาตัว เจสสี่ย์ เพสลี่ย์ ไม่เคยห่างจากบ็อบ เธอดูแลบ็อบอย่างดีมาตลอด ขณะที่ความทรงจำในเรื่องต่างๆของบ็อบ เพสลี่ย์ เริ่มเลือนหายไปทีละน้อยทีละเรื่อง รวมถึงสุขภาพของเขาก็ทรุดโทรมลงตามลำดับ ในเดือนพฤษภาคม 1994 มีงาน The Kop Last Stand หรือสแตนด์สุดท้ายของเดอะค็อป ก่อนทุบทิ้งทำเป็นที่นั่งทั้งหมด ในงานนั้นเต็มไปด้วยนักเตะผู้ยิ่งใหญ่มากมายมาร่วมงาน เช่น บิลลี่ ลิดเดิ้ล, เคนนี่ ดัลกลิช รวมทั้งตำนานอีกหลายคนจากยุค 60s-80s คณะกรรมการผู้จัดงานพยายามทุกวิถีทางเพื่อเชิญ บ็อบ เพสลี่ย มาร่วมงานให้ได้ แต่ทางครอบครัวของเขาต้องขอปฏิเสธไปเนื่องจากสุขภาพของเพสลี่ย์ทรุดโทรมลงมาก และอาการอัลไซเมอร์เริ่มแสดงอาการหนักขึ้นเรื่อยๆจนไม่เหมาะแก่การปรากฎตัวสู่สาธารณะ
บ็อบ เพสลี่ย์ : ชีวิต ผลงาน และบั้นปลาย
....................................
.
บ็อบ เพสลี่ย์ เกิดในเมือง Hetton ในปี 1919 และย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในเดือนพฤษภาคม 1939 ในตำแหน่งแบ็คซ้าย แต่ช่วงนั้นการแข่งฟุตบอลเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องสาเหตุเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามเขาเป็นนักเตะฝีเท้าดีคนหนึ่ง ซึ่งดีพอจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ได้แชมป์ลีก ฤดูกาล 1946/47 แต่ความตกต่ำก็มาเยือนอย่างรวดเร็วเมื่อลิเวอร์พูลตกชั้นลงสู่ดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล1953/54 ประกอบกับสัญญาของเขาหมดลงในเดือนพฤษภาคม 1954 พอดี ซึ่งเขาเคยพูดถึงอนาคตว่า
.
“ผมกำลังศึกษาเพื่อเป็นนักกายภาพบำบัดและหมอนวดประจำทีม ผู้ชายที่มีครอบครัวต่างต้องคิดถึงอนาคตกันทั้งนั้น”
.
ไม่มีใครหรือแม้แต่ตัวเขาเองรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตของเขาจะยิ่งใหญ่สะท้านโลกได้ถึงเพียงนี้!
.
เมื่อสัญญาการเป็นนักเตะหมดลง ลิเวอร์พูลเสนอตำแหน่งผู้จัดการทีมสำรองให้แก่เพสลี่ย์ แต่ว่าเขาสามารถใช้อุปกรณ์กายภาพบำบัดไฟฟ้าได้อย่างชำนาญ เขาจึงควบตำแหน่งนักกายภาพบำบัดอีกตำแหน่งนึง แม้ว่าทีมชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของ ดอน เวลซ์ ยังจมปลักอยู่ในดิวิชั่น 2 แต่บ็อบ เพสลี่ย์เริ่มแสดงฝีมือในการคุมทีมสำรองเมื่อพาทีมจบอันดับสองในเซ็นทรัล ลีก ซึ่งเป็นลีกของทีมสำรอง และเมื่อ ฟิล เทย์เลอร์มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ เพสลี่ย์ก็ได้ก้าวมาเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่และหัวหน้าโค้ชในที่สุด
.
จนกระทั่งปี 1959 การมาของบิล แชงคลี่ย์เปลี่ยนแปลงสโมสรแบบพลิกฝ่ามือ แชงคลี่ย์และเพสลี่ย์ต่างทำงานเข้ากันได้ดี อาจเพราะมีพื้นฐานดั้งเดิมที่คล้ายกัน บิล แชงคลี่ย์มาจากครอบครัวคนงานเหมืองใน Glenbuck สก็อตแลนด์ ส่วนบ็อบ เพสลี่ย์ก็มาจากครอบครัวคนงานเหมืองเช่นเดียวกันในเมือง Hetton ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ทำให้หลักการทำงานและหลักการใช้ชีวิตของทั้งคู่คล้ายกันและเป็นรากฐานให้แก่บู๊ทรูมและสโมสรในเวลาต่อมา โดยให้คุณค่าของการทำงานหนัก ทำงานเพื่อผู้อื่น และแบ่งปันความสำเร็จร่วมกัน
.
ในปี 1971 บ็อบ เพสลี่ย์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และอีก 3 ปีต่อมาเขากลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทนที่บิล แชงคลี่ย์ อย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อ แชงคลี่ย์ลาออกแบบช็อควงการ และแนะนำให้บอร์ดบริหารว่า “ทางเดียวที่จะสานงานต่อไป คือแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่จากคนในสโมสร” ขณะนั้น บ็อบ เพสลี่ย์ อายุ 55 ปี อยู่ในแอนฟิลด์มาแล้ว 35 ปี รู้ตัวว่าถ้าสโมสรจะแต่งตั้งจากคนใน ตัวเขาคงเลี่ยงหน้าที่นี้ไม่พ้น
.
ปีเตอร์ โรบินสัน เล่าว่า “เราแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม เขาปฏิเสธ ดังนั้นประธานสโมสร กับพวกบอร์ดบริหารต่างต้องยกพวกไปล้อมตัวเขา เขาถึงยอมรับตำแหน่ง”
.
เขากังวลใจเป็นอย่างมากในการรับตำแหน่งเพราะตัวเขาตรงข้ามกับบิล แชงคลี่ย์ทุกอย่าง แชงคลี่ย์เสียงดัง เต็มไปด้วยออร่า ทุกคนเคารพยำเกรง ขณะที่เพสลี่ย์เป็นคนเงียบ พูดเบา กระอักกระอ่วนเมื่อต้องพูดต่อหน้าคนหมู่มาก สื่อสารไม่ดี แต่เมื่อเขาพูดแล้ว ความเฉียบคมไม่เป็นรอง บิล แชงคลี่ย์เลย
.
เมื่อรับตำแหน่ง เขาพูดว่า “ผมจะให้ผลงานของทีมในสนามพูดแทนผม”
.
และในนัดแรกของเขากับลูตัน มีข่าวว่าบิล แชงคลี่ย์ไปชมเกมของเอฟเวอร์ตันแทน เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องนี้ เพสลี่ย์ตอบว่า “แชงคลี่ย์บอกว่าเขาอยากอยู่ห่างๆจากฟุตบอล เขาจึงไปดูเอฟเวอร์ตันไงล่ะ”
.
ฤดูกาลแรกของเขา 1974/75 ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปนี่คือฤดูกาลเดียวในจำนวน 9 ฤดูกาลของเพสลี่ย์ที่ปราศจากถ้วยรางวัล
.
บ็อบ เพสลี่ย์ ไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงทีม เพราะเขามองจุดอ่อนของแชงคลี่ย์ที่รักทีมที่สร้างความสำเร็จให้เขาในยุค 60s มากเกินไป ทำให้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทีมทั้งที่นักเตะบางคนหมดเวลากับทีมแล้ว เพสลี่ย์ซื้อฟิล นีล มาในปี 1974 เพื่อแทนที่ อเล็ค ลินเซย์ จากนั้นนักเตะใหม่ๆเริ่มเข้ามาถ่ายเลือดกับทีมของแชงคลีย์ เช่น เทอร์รี่ แม็คเดอม็อตต์, จิมมี่ เคส, เรย์ เคนเนดี้ ที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ จนทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีก และแชมป์ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 1975/76 และประสบความสำเร็จต่อเนื่องในฤดูกาล 1976/77 ที่คว้าแชมป์ลีก และแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แต่พลาดแชมป์เอฟเอคัพ ไปอย่างน่าเสียดายเพื่อแพ้แก่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพราะลูกแฉลบ แต่สถิตินี้ ทำให้เพสลี่ย์เป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ และ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ใน 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และเป็นคนเดียวที่ทำได้กับสโมสรเดียวด้วย
.
เมื่อ เควิน คีแกนจากไปหลังจบฤดูกาล 1976/77 บ็อบ เพสลี่ย์ พร้อมกับท่านประธาน จอห์น สมิธ ขับรถขึ้นเหนือพร้อมทั้งปลอมตัวและใช้ชื่อปลอมในการจองโรงแรม เพื่อไปเซ็นสัญญากับ เคนนี่ ดัลกลิช ดาราของกลาสโกว์ เซลติค ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของเกาะอังกฤษ 440,000 ปอนด์ และกลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของเพสลี่ย์ ซึ่งเพสลี่ย์ให้ความเห็นในภายหลังว่า แม้ว่าคีแกนไม่ย้ายออกไป เขาก็จะซื้อดัลกลิชอยู่ดี สิ่งที่เขาเสียใจที่สุดคือไม่มีโอกาสได้เห็น คีแกน และดัลกลิช อยู่ในทีมลิเวอร์พูลของเขาพร้อมกัน
.
หลังจากเคนนี่ ดัลกลิช ย้ายมาไม่นาน บ็อบ เพสลี่ย์ ซื้อตัว อลัน แฮนเซ่น กองหลังอนาคตไกลชาวสก็อตในเดือนพฤษภาคม 1977 และเดือนมกราคม 1978 แกรม ซูเนสส์ ก็ถูกซื้อมาจากมิดเดิ้ลสโบรห์ ทำให้สามประสานชาวสก็อตพร้อมจะเป็นแกนหลักให้แก่ทีมของเพสลี่ย์ในยุค 80s ซึ่งข้อนี้สะท้อนความยิ่งใหญ่ของเพสลี่ย์ที่มองไปในอนาคตเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ทีมเพิ่งคว้าแชมป์ลีกและแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ในฤดูกาลก่อน แต่เพสลี่ย์ก็กล้าเปลี่ยนแปลงทีมเพื่ออนาคต ซึ่งความพยายามของเพสลี่ย์ก็บรรลุผล เมื่อ แกรม ซูเนสส์ ใช้อกพักบอลที่หน้ากรอบเขตโทษ ก่อนจ่ายนิ่มๆทะลุช่องให้เคนนี่ ดัลกลิช หลุดไปชิพข้ามตัวผู้รักษาประตู เอฟซี บรู๊กซ์ เป็นประตูชัย 1-0 ช่วยให้หงส์แดงรักษาแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1978 ไว้ได้
.
แม้ว่าลิเวอร์พูลพลาดเสียแชมป์ลีกให้แก่ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ในฤดูกาล 1977/78 แต่เพสลี่ย์ก็พาทีมกลับมาคว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ในปี 1978/79 ด้วยสถิติสุดโหด แข่ง 42 นัด ชนะ 30 เสมอ 8 แพ้ 4 ประตูได้ 85 ประตูเสีย 16 แต้ม 68 คะแนน (ระบบชนะได้ 2 คะแนน) และยังรักษาแชมป์ลีกไว้ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1979/80
.
ฤดูกาล 1980/81 ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จในลีก แต่ยังคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้เป็นสมัยแรก เมื่อชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในนัดรีเพลย์ 2-1 และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพเป็นสมัยที่ 3 เมื่อเอาชนะรีล มาดริด 1-0 จากอลัน เคนเนดี้ โดยในเส้นทางสู่ปารีส ลิเวอร์พูลต้องทำศึก Battle of Britain กับอเบอร์ดีน ของอเล็ก เฟอร์กูสัน ซึ่งก่อนเกมนัดแรกที่สก็อตแลนด์ เพสลี่ย์ได้แจก “ทอฟฟี่” ให้แก่กอร์ดอน สตรั๊คคั่น จนเล่นไม่ออกและหงส์แดงชนะไป 1-0 ก่อนกลับมาถล่มในแอนฟิลด์ 4-0 ด้วยการเล่นที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เป็นการเล่นของผู้ใหญ่กับเด็ก”
.
ต่อมาในรอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง กับบาเยิร์น มิวนิค เขาแสดงความเป็นนักแทคติคชั้นยอด เมื่อเจ้าหน้าที่ยูฟ่าสอบถามโฮเวิร์ด เกลย์ ว่าเป็นใคร เพสลี่ย์สังเกตเห็นจึงใส่ชื่อ โฮเวิร์ด เกลย์ ที่ไม่มีใครรู้จัก ให้เป็นตัวสำรองเพื่อเป็นอาวุธลับเกมนี้
.
“พวกเยอรมันมักเตะตามตำรา พวกเขารู้จักตัวจริงของเราทะลุปรุโปร่ง แต่รับรองว่าพวกเขาไม่รู้จักตัวสำรองโนเนมของเราแน่ และเมื่อคนที่พวกเขาไม่รู้จักลงสู่สนาม พวกเขาจะเริ่มไม่แน่ใจและจะปั่นป่วนไปเอง” เพสลี่ย์กล่าว
.
เป็นจริงตามที่เพสลี่ย์คาดการณ์ เมื่อโฮเวิร์ด เกลย์ ลงสนามแทนที่ เคนนี่ ดัลกลิชในช่วงต้นเกม เขาใช้ความเร็วเล่นงานกองหลังเยอรมันจนเปิดตำราตั้งรับไม่ทันและเริ่มเล่นนอกเกมกับเขา จนกระทั่งเพสลี่ย์ต้องเปลี่ยนตัวเขาออกในครึ่งหลังเพราะเกลย์เริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้เพราะโดนเตะตลอด แต่อย่างไรก็ตาม พวกเยอรมันเสียกระบวนไปแล้ว ทำให้เรย์ เคนเนดี้ หลุดไปยิงอเวย์โกล์อันล้ำค่าช่วงท้ายเกม พาหงส์แดงสู่ปารีสจนได้
.
ฤดูกาล 1981/82 เรย์ คลีเมนซ์ ย้ายไปร่วมทีมสเปอร์ บรู๊ซ กร็อบเบลล่าร์ ผู้รักษาประตูหน้าใหม่ก็ก่อความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงนักเตะหน้าใหม่อย่าง รอนนี่ วีแลน เอียน รัช เคร็ก จอห์นสตัน เข้าสู่ทีม ทำให้ผลงานของทีมสะดุดลง โดยตกลงไปอยู่อันดับที่ 12 ห่างจากจ่าฝูง 11 คะแนน เพสลี่ยจึงเปลี่ยนแปลงทีมโดยแต่งตั้งแกรม ซูเนสส์ เป็นกัปตันทีมคนใหม่แทนที่ฟิล ธอมป์สัน ผลปรากฎว่าหงส์แดงเดินหน้าคว้าชัยชนะ 20 นัดจาก 25 นัดที่เหลือเข้าป้ายแชมป์ลีกไปจนได้ และยังคว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 2 เมื่อชนะสเปอร์ 3-1
.
ฤดูกาล 1982/83 เป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขา เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกแบบม้วนเดียวจบ และเป็นผู้รับมอบถ้วยแชมป์ลีกด้วยตนเอง ก่อนที่จะพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน เมื่อเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1 โดยหลังเกม แกรม ซูเนสส์ พร้อมกับลูกทีม ต่างเรียกร้องให้บ็อบ เพสลี่ย์ ก้าวขึ้นไปรับถ้วยแชมป์ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกในเวมบลี่ย์ที่ผู้จัดการทีมได้รับเกียรติเช่นนี้
.
คุณสมบัติที่โดดเด่นของบ็อบ เพสลี่ย์ นอกเหนือจากความสามารถในการคุมทีม คือ แค่เขาเห็นนักเตะเดิน เขาก็สามารถประเมินได้ว่านักเตะคนนั้นปกติดี หรือว่ามีอาการบาดเจ็บตรงไหน นอกจากนี้จิตวิทยาของเขายังเป็นเลิศและนำออกมาใช้ในเวลาที่เหมาะสมจนเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทีม ไม่ว่าจะเป็นการแจก “ทอฟฟี่” ให้แก่กอร์ดอน สตรั๊คคั่น ของอเบอร์ดีน ในยูโรเปี้ยนคัพ 1981, การยั่ว เอียน รัช ให้พิสูจน์ตัวเอง, การสั่งให้ลูกทีมยืนขึ้น ห้ามนั่งลงกับพื้นสนาม ระหว่างรอการเตะในช่วงต่อเวลา นัดชิงชนะเลิศ ลีกคัพ 1982 กับสเปอร์, การสั่งให้ เดวิด แฟร์คลัฟ ยอดตัวสำรอง วิ่งวอร์มอยู่ข้างสนามเพื่อขู่ฝ่ายตรงข้าม, ฯลฯ ซึ่ง เอียน รัช เคยพูดว่า ไม่เคยพบใครที่มีความรู้ด้านฟุตบอลและจิตวิทยาเท่ากับบ็อบ เพสลี่ย์ มาก่อน
.
ผลงานการเป็นผู้จัดการทีม (1974-1983)
แชมป์ลีก 1975/76, 1976/77, 1978/79, 1979/80, 1981/82, 1982/83
ยูโรเปี้ยน คัพ 1977, 1978, 1981
ยูฟ่า คัพ 1976
ลีก คัพ 1981, 1982, 1983
ผู้จัดการทีมแห่งปี 1976, 1977, 1979, 1980, 1982, 1983
.
ไม่เลวเลย สำหรับคนที่ไม่เต็มใจรับตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่ก็ต้องทำหน้าที่เพื่อสโมสร
.
หลังจากเขาวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีม เขาได้รับตำแหน่งบอร์ดบริหารและที่ปรึกษาของเคนนี่ ดัลกลิชในช่วงที่คิง เคนนี่ รับตำแหน่งใหม่ๆ ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1992 เมื่อเขาขับรถพร้อมกับ เจสสี่ย์ ภรรยาจากแอนฟิลด์เพื่อกลับบ้าน เขาเอ่ยปากถามว่า
.
“เรากำลังจะไปไหน?”
.
เจสสี่ย์คิดว่าบ็อบคงล้อเล่น จึงไม่ได้ฉุกคิดอะไร แต่ปรากฎว่าในวันต่อๆมา เพสลี่ย์ ถามคำถามเดิม รวมถึงถามแปลกๆว่า “บ้านเราไปทางไหน”
.
บางครั้งเขาขับรถออกนอกเส้นทาง และเมื่อเจสสี่ย์ถามว่าจะขับไปไหน บ็อบตอบว่า “ไม่รู้”
.
หลังจากเข้าพบแพทย์แล้ว แพทย์วินิจฉัยว่า บ็อบ เพสลี่ย์ มีอาการของโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น ด้วยเหตุนี้เขาต้องรับการรักษาอย่างจริงจังและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพสลี่ย์จึงขอลาออกจาตำแหน่งบอร์ดบริหารของสโมสรในเดือนกุมภาพันธ์ 1992 สโมสรจึงจำยอมอนุมัติและมอบตำแหน่งสุดท้าย “รองประธานสโมสรตลอดชีพ” เพื่อตอบแทนคุณงามความดี และเป็นเกียรติสูงสุดแก่ บ็อบ เพสลี่ย์
.
ตลอดเวลาที่รักษาตัว เจสสี่ย์ เพสลี่ย์ ไม่เคยห่างจากบ็อบ เธอดูแลบ็อบอย่างดีมาตลอด ขณะที่ความทรงจำในเรื่องต่างๆของบ็อบ เพสลี่ย์ เริ่มเลือนหายไปทีละน้อยทีละเรื่อง รวมถึงสุขภาพของเขาก็ทรุดโทรมลงตามลำดับ ในเดือนพฤษภาคม 1994 มีงาน The Kop Last Stand หรือสแตนด์สุดท้ายของเดอะค็อป ก่อนทุบทิ้งทำเป็นที่นั่งทั้งหมด ในงานนั้นเต็มไปด้วยนักเตะผู้ยิ่งใหญ่มากมายมาร่วมงาน เช่น บิลลี่ ลิดเดิ้ล, เคนนี่ ดัลกลิช รวมทั้งตำนานอีกหลายคนจากยุค 60s-80s คณะกรรมการผู้จัดงานพยายามทุกวิถีทางเพื่อเชิญ บ็อบ เพสลี่ย มาร่วมงานให้ได้ แต่ทางครอบครัวของเขาต้องขอปฏิเสธไปเนื่องจากสุขภาพของเพสลี่ย์ทรุดโทรมลงมาก และอาการอัลไซเมอร์เริ่มแสดงอาการหนักขึ้นเรื่อยๆจนไม่เหมาะแก่การปรากฎตัวสู่สาธารณะ