มองตนให้เป็น ตอน เจาะลึกทุกข์จากกิเลสพาเดือดร้อนกันทั้งโลก
โดย หลวงพ่อทัตตชีโว
รัฐบาลแต่ละประเทศทั่วโลก แม้จะได้ระดมสติปัญญาจากท่านผู้รู้ในประเทศของตน ๆ เข้าแก้ไขปัญหาสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง อย่างสุดความรู้ความสามารถแล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้เลย ทั้งนี้เพราะ ผู้คนทั้งโลกมองไม่ออกว่า...
ทุกข์จากกิเลส เป็นความทุกข์ซึ่งเกิดจากการบีบคั้นต่าง ๆ นานาของกิเลส ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย แล้วยังตามไปบีบคั้นข้ามภพข้ามชาติให้เป็นทุกข์อีกด้วย อันตรายของกิเลสที่สำคัญได้แก่
1. กิเลสทำให้ขุ่นมัวตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ทุกคนจึงลืมเรื่องราวและความรู้ต่าง ๆ ในชาติที่แล้วจนหมด ชาตินี้จึงเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย
2. กิเลสทำให้ธาตุในกายของแต่ละคนไม่บริสุทธิ์ เป็นผลให้เซลล์ก็อายุสั้น อวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายต้องเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความแก่ - เจ็บ - ตาย โดยง่าย จึงเป็นที่มาแห่งทุกข์จากสรีระร่างกายทั้งหมด
3. กิเลสทำให้เกิดนิสัยเสียต่าง ๆ มากมาย เช่น ความมักง่าย มักโกรธ มักง่ายในการกำจัดทุกข์จากร่างกาย ขาดความเห็นใจซึ่งกันและกัน ขาดความสำรวมกาย - วาจา ต้องกระทบกระทั่งกันเองโดยไม่มีเหตุอันควร แม้แต่พี่น้องร่วมบิดามารดายังรังเกียจที่จะอยู่ร่วมกัน สามีภรรยาบุตรต้องแตกแยกพลัดพรากจากกัน จึงเป็นที่มาแห่งทุกข์จากสังคม
4. กิเลสปิดบังปัญญาทำให้ไม่รู้ประมาณ ไม่รู้จักพอ พร้อมที่จะคดโกงผู้อื่น ขณะประกอบการงานหาเลี้ยงชีพ จึงเป็นที่มาแห่งทุกข์จากการเลี้ยงชีพและอาจลุกลามไปถึงปัญหาเศรษฐกิย ทั้งระดับส่วนตน - ครอบครัว - ประเทศชาติ ปัญหาการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
รัฐบาลแต่ละประเทศทั่วโลก แม้จะได้ระดมสติปัญญาจากท่านผู้รู้ในประเทศของตน ๆ เข้าแก้ไขปัญหาสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง อย่างสุดความรู้ความสามารถแล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้เลย ทั้งนี้เพราะ ผู้คนทั้งโลกมองไม่ออกว่า
1. ปัญหาสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง และอื่น ๆ ต่างเริ่มมาจากความมักมาก มักโกรธ มักง่ายในการจัดการปัญหาทุกข์จากร่างกายของแต่ละคน
2. ทุกข์จากร่างกายแต่ละคน ล้วนเริ่มจากปัญหาทุกข์จากกเลสครอบงำในใจของแต่ละคนให้มืดบอด
3. ทุกข์ของคนทั้งโลก จึงเกิดจากกิเลสของคนทั่วโลกรวมกัน
4. ทุกข์จากกิเลสของแต่ละคนทั้งโลก ต่างต้องให้ผู้นั้นจัดการกำจัดกิเลสด้วยตนเอง ใครจะทำแทนกันไม่ได้ และต้องทำด้วยความเต็มใจ ดังนั้นจึงต้องเริ่มด้วย ทำให้แต่ละคนต่างเห็นทุกข์ 4 ของตนเองให้ชัด แล้วบุคคลรอบข้างเป็นกัลยาณมิตร ช่วยชี้แนะสนับสนุนเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ จึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
5. งานกำจัดกิเลสเป็นงานยืดเยื้อ โดยทั่วไปต้องทำข้ามภพข้ามชาติ แม้หลาย ๆ ภพชาติ ขึ้นกับความเพียร สติปัญญาของแต่ละคน และสิ่งแวดล้อม
6. ขณะที่วังกำจัดกิเลสได้ไม่หมด ก็จำต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นนักโทษรอประหารของวัฏสงสาร และตกอยู่ใต้อำนาจกฎแห่งกรรม ใคร ๆ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมีหลักว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
7. การให้ผลของกรรมแต่ละอย่างทั้งฝ่ายดี - ชั่ว จะอยู่ใน 4 ลักษณะ คือ
- เรามีกรรมเป็นของตน
- เราเป็นทายาทแห่งกรรม
- เรามีกรรมเป็นกำเนิด
- เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
- เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
7.1 เรามีกรรมเป็นของตน ไม่ว่าเรากำกรรมใดไว้ กรรมนั้นต้องเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
- จะยกกรรมของตนให้ใคร ย่อมไม่ได้
- จะรับ - จะแย่งกรรมของใครมาเป็นของตน ย่อมไม่ได้ทั้งสิ้น
7.2 เราเป็นทายาทแห่งกรรม เราทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นจะไม่สูญเปล่า ยังมีผลตามมาอีก ผลที่ตามมานั้น ย่อมติดตามเราเพียงผู้เดียว เราจึงต้องเป็นทายาทรับผลกรรมของตนเองโดยตรง ใคร ๆ จะรับผลกรรมแทนเราไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องเลือกคิด - พูด - ทำเฉพาะสิ่งดีงาม เพื่อตนเองจะได้เป็นทายาทรับแต่ผลกรรมดีเท่านั้น
7.3 เรามีกรรมเป็นกำเนิด ชาติที่แล้ว ๆ เราทำกรรมใดไว้ ก่อนตาย จิตได้รวบรวมเอากรรมที่ทำไว้ด้วยความมักง่าย - ประณีตเหล่านั้น ส่งผลให้มาเกิดชาตินี้ มิใช่ฟ้าดินลิขิต มิใช่ฤทธิ์เทพบันดาล มิใช่ท่านใดประทานมา
ไม่ว่า หน้าตา สวยหล่อ
ขี้ฉ้อ
แค่ไหน
รวยสมบัติ ขัดสน จนใจ
เราเอง ทำไว้ ใช่ใครทำ
เพื่อความไม่ประมาท ได้รูปสวย รวย ฉลาด สมปรารถนาในสิ่งที่ดีงามโดยง่ายุทุกภพทุกชาตเบื้องหน้า จะตั้งใจสั่งสมความดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อกำเนิดเกิดดีตลอดไป
7.4 เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ (พี่น้อง) เป็นธรรมดาว่า พี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมยินดีอุปถัมภ์ช่วยเหลือกัน แต่อาจขัดกันด้วยเหตุ
- ระยะทางใกล้ - ไกล
- อยู่ในวิสัย - พ้นวิสัย
- เวลาหลับ - ตื่น กลางวัน - กลางคืน
- สุขภาพดี - ไม่ดี
- ถูกกฎหมาย - ไม่ถูก ฯลฯ
ส่วนพี่น้องที่ไม่เคยมีข้อแม้ และอยู่กับเราตลอดเวลา ทั้งยามหลับ ตื่น ยืน เดิน นั่ง นอน พร้อมจะช่วยเหลืออุปถัมภ์เราทุก ๆ อย่างตลอดชีวิต คือ กรรมของเราเอง กรรมจึงเป็นเผ่าพันธุ์พี่น้องตัวจริงของเรา ฉะนั้น กรรมดีน้อยใหญ๋ ต้องทุ่มทำไว้เป็นเผ่าพันธุ์
7.5 เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมไม่สูญเปล่า ย่อมติดตามให้ได้พึ่งตลอดไป ตามควรแก่กรรมนั้น ๆ
- กรรมดีให้พึ่งด้วยการส่งผลให้ได้รับความสุขความเจริญ แต่กรรมชั่วให้พึ่งด้วยการบีบคั้นให้เป็นทุกข์ตกต่ำ เป็นการเตือนสติให้หลาบจำ ไม่กล้วทำชั่วอีก โดยต่างให้พึ่งตามคราว ให้พึ่งในชาตินี้ก็มี ต้องรอให้พึ่งในชาติหน้าก็มี ให้พึ่งในชาติต่อ ๆ ไปก็มี ได้พึ่งจนกว่าจะหมดฤทธิ์กรรมนั้น ๆ
- ให้พึ่งในการเกิด - การตาย
การใดทำใจให้ผ่องใส กรรมนั้นให้พึ่งไปเกิดในสุคติ
กรรมใดทำใจให้ขุ่นมัว กรรมนั้นบีบครั้นให้ไปเกิดในทุคติ
8. แม่บทปฏิบัติขั้นต้นในการผจญกับทุกข์ 4 คือ การปฏิบัติความดีสากล 5 อย่างเคร่งครัด แต่ก่อนปฏิบัติความดีสากล 5 จะต้องเห็นโทษของความมักง่ายอย่างแจ่มแจ้งก่อน.
จากหนังสือ มองตนให้เป็น หน้า45-55 โดยทตฺตชีโว ภิกขุ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล :
http://winne.ws/n22088
มองตนให้เป็น ตอน เจาะลึกทุกข์จากกิเลสพาเดือดร้อนกันทั้งโลก
โดย หลวงพ่อทัตตชีโว
รัฐบาลแต่ละประเทศทั่วโลก แม้จะได้ระดมสติปัญญาจากท่านผู้รู้ในประเทศของตน ๆ เข้าแก้ไขปัญหาสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง อย่างสุดความรู้ความสามารถแล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้เลย ทั้งนี้เพราะ ผู้คนทั้งโลกมองไม่ออกว่า...
ทุกข์จากกิเลส เป็นความทุกข์ซึ่งเกิดจากการบีบคั้นต่าง ๆ นานาของกิเลส ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย แล้วยังตามไปบีบคั้นข้ามภพข้ามชาติให้เป็นทุกข์อีกด้วย อันตรายของกิเลสที่สำคัญได้แก่
1. กิเลสทำให้ขุ่นมัวตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ทุกคนจึงลืมเรื่องราวและความรู้ต่าง ๆ ในชาติที่แล้วจนหมด ชาตินี้จึงเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย
2. กิเลสทำให้ธาตุในกายของแต่ละคนไม่บริสุทธิ์ เป็นผลให้เซลล์ก็อายุสั้น อวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายต้องเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความแก่ - เจ็บ - ตาย โดยง่าย จึงเป็นที่มาแห่งทุกข์จากสรีระร่างกายทั้งหมด
3. กิเลสทำให้เกิดนิสัยเสียต่าง ๆ มากมาย เช่น ความมักง่าย มักโกรธ มักง่ายในการกำจัดทุกข์จากร่างกาย ขาดความเห็นใจซึ่งกันและกัน ขาดความสำรวมกาย - วาจา ต้องกระทบกระทั่งกันเองโดยไม่มีเหตุอันควร แม้แต่พี่น้องร่วมบิดามารดายังรังเกียจที่จะอยู่ร่วมกัน สามีภรรยาบุตรต้องแตกแยกพลัดพรากจากกัน จึงเป็นที่มาแห่งทุกข์จากสังคม
4. กิเลสปิดบังปัญญาทำให้ไม่รู้ประมาณ ไม่รู้จักพอ พร้อมที่จะคดโกงผู้อื่น ขณะประกอบการงานหาเลี้ยงชีพ จึงเป็นที่มาแห่งทุกข์จากการเลี้ยงชีพและอาจลุกลามไปถึงปัญหาเศรษฐกิย ทั้งระดับส่วนตน - ครอบครัว - ประเทศชาติ ปัญหาการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
รัฐบาลแต่ละประเทศทั่วโลก แม้จะได้ระดมสติปัญญาจากท่านผู้รู้ในประเทศของตน ๆ เข้าแก้ไขปัญหาสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง อย่างสุดความรู้ความสามารถแล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้เลย ทั้งนี้เพราะ ผู้คนทั้งโลกมองไม่ออกว่า
1. ปัญหาสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง และอื่น ๆ ต่างเริ่มมาจากความมักมาก มักโกรธ มักง่ายในการจัดการปัญหาทุกข์จากร่างกายของแต่ละคน
2. ทุกข์จากร่างกายแต่ละคน ล้วนเริ่มจากปัญหาทุกข์จากกเลสครอบงำในใจของแต่ละคนให้มืดบอด
3. ทุกข์ของคนทั้งโลก จึงเกิดจากกิเลสของคนทั่วโลกรวมกัน
4. ทุกข์จากกิเลสของแต่ละคนทั้งโลก ต่างต้องให้ผู้นั้นจัดการกำจัดกิเลสด้วยตนเอง ใครจะทำแทนกันไม่ได้ และต้องทำด้วยความเต็มใจ ดังนั้นจึงต้องเริ่มด้วย ทำให้แต่ละคนต่างเห็นทุกข์ 4 ของตนเองให้ชัด แล้วบุคคลรอบข้างเป็นกัลยาณมิตร ช่วยชี้แนะสนับสนุนเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ จึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
5. งานกำจัดกิเลสเป็นงานยืดเยื้อ โดยทั่วไปต้องทำข้ามภพข้ามชาติ แม้หลาย ๆ ภพชาติ ขึ้นกับความเพียร สติปัญญาของแต่ละคน และสิ่งแวดล้อม
6. ขณะที่วังกำจัดกิเลสได้ไม่หมด ก็จำต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นนักโทษรอประหารของวัฏสงสาร และตกอยู่ใต้อำนาจกฎแห่งกรรม ใคร ๆ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมีหลักว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
7. การให้ผลของกรรมแต่ละอย่างทั้งฝ่ายดี - ชั่ว จะอยู่ใน 4 ลักษณะ คือ
- เรามีกรรมเป็นของตน
- เราเป็นทายาทแห่งกรรม
- เรามีกรรมเป็นกำเนิด
- เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
- เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
7.1 เรามีกรรมเป็นของตน ไม่ว่าเรากำกรรมใดไว้ กรรมนั้นต้องเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
- จะยกกรรมของตนให้ใคร ย่อมไม่ได้
- จะรับ - จะแย่งกรรมของใครมาเป็นของตน ย่อมไม่ได้ทั้งสิ้น
7.2 เราเป็นทายาทแห่งกรรม เราทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นจะไม่สูญเปล่า ยังมีผลตามมาอีก ผลที่ตามมานั้น ย่อมติดตามเราเพียงผู้เดียว เราจึงต้องเป็นทายาทรับผลกรรมของตนเองโดยตรง ใคร ๆ จะรับผลกรรมแทนเราไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องเลือกคิด - พูด - ทำเฉพาะสิ่งดีงาม เพื่อตนเองจะได้เป็นทายาทรับแต่ผลกรรมดีเท่านั้น
7.3 เรามีกรรมเป็นกำเนิด ชาติที่แล้ว ๆ เราทำกรรมใดไว้ ก่อนตาย จิตได้รวบรวมเอากรรมที่ทำไว้ด้วยความมักง่าย - ประณีตเหล่านั้น ส่งผลให้มาเกิดชาตินี้ มิใช่ฟ้าดินลิขิต มิใช่ฤทธิ์เทพบันดาล มิใช่ท่านใดประทานมา
ไม่ว่า หน้าตา สวยหล่อ
ขี้ฉ้อ แค่ไหน
รวยสมบัติ ขัดสน จนใจ
เราเอง ทำไว้ ใช่ใครทำ
เพื่อความไม่ประมาท ได้รูปสวย รวย ฉลาด สมปรารถนาในสิ่งที่ดีงามโดยง่ายุทุกภพทุกชาตเบื้องหน้า จะตั้งใจสั่งสมความดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อกำเนิดเกิดดีตลอดไป
7.4 เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ (พี่น้อง) เป็นธรรมดาว่า พี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมยินดีอุปถัมภ์ช่วยเหลือกัน แต่อาจขัดกันด้วยเหตุ
- ระยะทางใกล้ - ไกล
- อยู่ในวิสัย - พ้นวิสัย
- เวลาหลับ - ตื่น กลางวัน - กลางคืน
- สุขภาพดี - ไม่ดี
- ถูกกฎหมาย - ไม่ถูก ฯลฯ
ส่วนพี่น้องที่ไม่เคยมีข้อแม้ และอยู่กับเราตลอดเวลา ทั้งยามหลับ ตื่น ยืน เดิน นั่ง นอน พร้อมจะช่วยเหลืออุปถัมภ์เราทุก ๆ อย่างตลอดชีวิต คือ กรรมของเราเอง กรรมจึงเป็นเผ่าพันธุ์พี่น้องตัวจริงของเรา ฉะนั้น กรรมดีน้อยใหญ๋ ต้องทุ่มทำไว้เป็นเผ่าพันธุ์
7.5 เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมไม่สูญเปล่า ย่อมติดตามให้ได้พึ่งตลอดไป ตามควรแก่กรรมนั้น ๆ
- กรรมดีให้พึ่งด้วยการส่งผลให้ได้รับความสุขความเจริญ แต่กรรมชั่วให้พึ่งด้วยการบีบคั้นให้เป็นทุกข์ตกต่ำ เป็นการเตือนสติให้หลาบจำ ไม่กล้วทำชั่วอีก โดยต่างให้พึ่งตามคราว ให้พึ่งในชาตินี้ก็มี ต้องรอให้พึ่งในชาติหน้าก็มี ให้พึ่งในชาติต่อ ๆ ไปก็มี ได้พึ่งจนกว่าจะหมดฤทธิ์กรรมนั้น ๆ
- ให้พึ่งในการเกิด - การตาย
การใดทำใจให้ผ่องใส กรรมนั้นให้พึ่งไปเกิดในสุคติ
กรรมใดทำใจให้ขุ่นมัว กรรมนั้นบีบครั้นให้ไปเกิดในทุคติ
8. แม่บทปฏิบัติขั้นต้นในการผจญกับทุกข์ 4 คือ การปฏิบัติความดีสากล 5 อย่างเคร่งครัด แต่ก่อนปฏิบัติความดีสากล 5 จะต้องเห็นโทษของความมักง่ายอย่างแจ่มแจ้งก่อน.
จากหนังสือ มองตนให้เป็น หน้า45-55 โดยทตฺตชีโว ภิกขุ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : http://winne.ws/n22088