สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 166
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจเลยนะค่ะ รู้สึกแบบว่าเห้ยมาบ่นๆระบายๆ แต่กลับมีคนเข้ามาอ่านมาให้กำลังใจเกินที่คาดไว้ ตอนแรกเครียดเลยอยากบ่นให้ใครสักคนฟัง แต่ไม่อยากให้ใครมารับความรู้สึกแย่ๆ เลยเลือกที่จะพิมพ์เป็นตัวหนังสือเอาดีกว่า แต่มีน้อง เพื่อน พี่ ป้า น้า อา ลุง เข้ามาให้กำลังใจเยอะแยะไปหมด อ่านแล้วทุกความเห็นนะค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ ในส่วนที่กลัวเราเป็นโรคซึมเศร้าบอกเลยห่างไกลคำนั้นเยอะจร้าไม่ต้องกังวนนะ เรายังโอเคร ในส่วนของคนที่พึ่งเจอะราวคล้ายๆกัน เราบอกไว้เลยนะว่า สติสำคัญที่สุด ถ้าไม่รู้จะทำห่าอะไร ไม่รู้จะเรียกสติยังไง ลองกรี้ดเลยจร้ากรี้ดระบายออกมาให้หมด ถ้ากลัวใครได้ยินก็เอาหมอนปิดเสียง ถ้ากรี้อเสร็จอยากร้องก็ร้องค่ะ ร้องดังๆเอาให้หมด พอเสร็จกระบวนการที่ว่ามาก็ลุกไปล้างหน้าค่ะ แล้วคิดหาทางแก้ไขปัญหา รึต่อสู้ไปกับมัน จากเรื่องราวที่เราเจอะมา เราจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าหลังจากที่แม่เสียไปเราเป็นยังไงต่อ เรารับมือกับมันยังไง และเราผ่านวันนั้นมาได้อย่างไร
เริ่มจากแม่เสียยังไงเลยดีกว่า ต่อจากเดิมที่เข้าฉุกเฉิน หมอให้ยากระตุ้นเป็นเข็มที่3 รวมจากโรงพยาบาลแรกที่ไปมา ซึ่งตามการรักษามันคือเข็มสุดท้ายแล้ว ถ้าหัวใจหยุดเต้นอีกก็คือจบ จากคำแนะนำของแพทย์ เราเลือกที่จะฉีดค่ะ รักษาแบบเต็มที่ค่ะ ใส่ท่อช่วยหายใจ มีปาฏิหารย์ค่ะ แม่หัวใจเต้นอยู่ในระดับดี ความดันดีค่ะ ยกเขาออกจากอกเลยค่ะ โล่งเลยสิค่ะ แม่ได้ย้ายมาพักที่ห้องผู้ป่วยรวมค่ะ เรากับน้อง กับอา ก็ไปส่งที่ห้องพัก เซ็นเอกสารและให้เบอร์ตดต่อกับหมอไป ตอนนั้นรู้สึกโล่งไปเลย พอเสร็จธุระจากตรงนั้นอาก็ถามจะนอนบ้านไหม รึจะนอนบ้านอา เราก็บอกนอนบ้าน พรุ่งนี้จะได้ขับรถมาเยี่ยมแม่แต่เช้า ณ ตอนนั้นแม่ก็ยังไม่ฟื้นมานะค่ะ เรากับน้อง และอาก็เดินกลับมาที่รถอาเพื่อจะกลับบ้าน ปิดประตูสตาฟรถ เสียงโทรศัพย์เราก็ดังขึ้น เป็นเบอร์โรงพยาบาลค่ะ
"ฮัลโลน้องลูกคุณป้า...ใช่ไหมตอนนี้อยู่ไหนค่ะ กลับไปรึยัง?
"""ยังค่ะอยู่ที่จอดรถค่ะ""""
"อ่อรีบกลับขึ้นมาที่ตึกเลยค่ะตอนนี้คุณป้าไม่ไหวแล้ว" !!!!!!!!
ตอนนั้นไม่คิดอะไรค่ะ หันไปบอกอาหมอโทรมาให้รีบขึ้นไปแม่ไม่ไหวแล้ว นึกภาพคือผู้หญิงตัวอ้วนๆวิ่งแบบสุดกำลัง ซอยเท้าถี่ยิบ เพื่อขึ้นชัด4ของตึก พอช่วงใกล้จะถึงแม่ สายตาดันเลือบไปเห็นเครื่องที่บอกระดับการเต้นของพวกใจ 69 43 15 5 พอถึง5 เราวิ่งเข้าไปถึงปลายเตียงแม่พอดี ตามมาด้วยน้องวิ่งมาติดๆ
ตี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด พร้อมสัญญาณเส้น _________________________________ ใครเคยดูละครจะเข้าใจในส่วนนี้
หัวเข่ากระแทกลงพื้นอย่างแรง เข่าอ่อน น้ำตาก็มา น้องเข้ามาพยุง บอกพี่ไม่เป็นไรนะป้าไปสบายแล้ว ไปอยู่กับลุงแล้ว ตอนนั้นได้ยินน้องบอกนะ แต่สมองไม่รับฟังค่ะ คิดแค่ว่าเห้ยแมร่งอะไรกันนักหนากับกูว่ะ จะทิ้งกันไปให้หมดเลยรึไง กระซิบข้างหูแม่บอกแม่ตื่นมานะ นอนเฉยๆอย่างเดียวก็ได้ แค่ตื่นมานะ ลำบากแค่ไหนหนูก็จะเลี้ยง หนูจะทน แม่ตื่นเหอะนะ อย่าพึ่งรีบไปอยู่กับพ่อ ทนอยู่กับหนูก่อน แต่แม่ไม่ฟังเราเลยอะ เอาแต่นอนหลับตาไม่สนใจเราเลย ไม่สงสารเราเลย พึ่งลอยอังคารพ่อไม่กี่วันนิชิ่งไปอีกคนอีกละ ผู้ช่วยพยาบาลดันมีอยู่คนเดียวบอกให้เราช่วยถือสำลีอีกต่างหาก เห้ยแม่กูตายแปบเดียวจะยัดสำลีเลยรึไง แล้วมีหน้าให้กูช่วยถืออีก ความรู้สึกตอนนั้นแมร่ง ยืนมองผู้ช่วยพยบาลเอาเครื่องมือเหมือนแหนบปลายแหลม แต่ยาวเกือบคืบ ยัดสำลีเข้าจมูกแม่ ยัดเข้าปาก ยัดหู คือภาพตอนนั้น แม่เราคือ ศพ แบบ100%เลย ของพ่อเรายังมาเจอะในวันรุ่งขึ้น แต่แม่เมื่อกี่ยังเป็นผู้ป่วย ตอนนี้เป็นศพแล้ว ด้วยความที่แม่ได้รับยามาเยอะ และยาที่กินรักษาตัวอีกมาก แม่เราเลยกลายสภาพร่างกายเร็วมาก หลังจากเสร็จการยัดสำลีไม่นานแม่เราก็เขียว ดำไวมากอะ เราเป็นลูกเอ่อยังกลัวเลย แต่ตอนนั้นเสียใจมากกว่า ไม่คิดอะไรละ ยิ่งแม่กลายสภาพร่างกายมากเท่าไหร่ เรายิ่งสะเทือนใจมากกว่าเดิม หลังจากนั้นแผนกที่จัดการก็นำร่างของแม่ไปเก็บในห้องเย็น พยาบาลก็แนะนำขั้นตอนการเอาเอกสารมารับร่างแม่วันพรุ่งนี้ เราไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ เพราะเราพึ่งทำให้พ่อไม่กี่วันเองขั้นตอนเรารู้หมดแหละ อารมณ์ตอนนั้นมีแค่ เศร้า เสียใจ เหงา โลกแตก โลกพัง คือความรู้สึกแย่ๆทุกอย่างมันฝุดขึ้นมา วันงานศพแม่เราก็จัดการตามๆแบบพ่อ วันที่ขับรถไปซื้อของชำร่วยให้แม่ วันนั้นฝนตกพร่ำๆบรรยากาศมันใช่อะ เราก็คิดว่า ทำไมเราต้องมาเป็นคนเจอะเรื่องแบบนี้ด้วยว่ะ ทำไมต้องเป็นแม่เราที่ตาย ทำไมไม่พักให้เราได้ทำใจบ้างสักพัก ให้เรายังมีแม่เป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต ให้แม่ยังอยู่เป็นกำลังใจของเรา เอาจริงๆแค่แม่ฟื้นมานอนป่วยติดเตียงเรายังเลือกเอาแบบนั้นอะ แลกกับการไม่เหลือใครเลยแบบนี้ แต่คิดอีกมุมถ้ามองในมุมที่ปล่อยให้แม่หลุดพ้นความเจ็บปวด มันก็อาจจะเป็นทางที่ดีกว่า การที่แม่จากเราไปมันอาจจะเป็นทางที่ถูกต้องกว่าการอยู่โดยไม่มีพ่อก็เป็นไปได้ มันคือโชคชะตาที่โหดร้ายไปสำหรับเรา แต่มันอาจจะเป็นโชคชะตาที่ดีแล้วของแม่ก็ได้ แต่หลังจากวันที่แม่เสีย เรานอนร้องไห้ทุกคืนเลยคิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ เกือบปีเลยอะที่เป็นแบบนั่น รู้สึกโลกมนๆมัวๆ ไม่สดใสเลย ไปสัมภาษณ์งานก็ถามสาเหตุที่ออกงาน ครั้งแรก ครั้งที่สอง ก็ตอบพ่อ แม่ป่วยเลยออกงานมาดูแล พอฝ่ายบุคคลถามแล้วตอนนี้ละพ่อแม่เป็นไงบ้าง จุกเลยจร้า น้ำตามา กลั้นใจจิกเล็บจนแสบ ตอบไปแบบยิ้มๆเลย เสียแล้วค่ะ คือเราก็เตรียมตัวรับสถานะการณ์กับคำถามนี้มาพอสมควรนะ แต่พอเอาเข้าจริงมันไปไหวเลยจริงๆอะ อารมณ์ ณ จุดนั้นคือ อยากร้องโฮออกมาเลย แต่มันก็ต้องกลั่นไว้ทำอะไรมากกว่ายิ้มไม่ได้แล้ว หลังจากได้งานทำ ไปเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุดเราก็จะเอารูปพ่อกับแม่ไปด้วย ละก็จะบอกว่าเด๋วจะพาไปนั่น ไปนี่นะ คิดละก็เศร้าค่ะ วันที่เค้ามีชีวิตเราก็ไม่มีโอกาสพาเค้าไปเที่ยวไหนต่อไหนมากมาย พอมาวันที่มีเงินพาเค้าไป เค้าก็ไม่อยู่ในเราพาไปแล้ว วันที่เรามีความสามารถในการตอบแทนพระคุณ วันที่เรามีกำลังมีแรงทำงาน มันควรจะเป็นวันที่พวกเค้าหยุดทำงานไม่ต้องเหนื่อย วันๆนั้งๆนอนๆอยู่บ้านกัน2เฒ่า สิ้นเดือนก็รอรับเงินเดือนจากเรา ได้มีโอกาสไปเที่ยวไหนต่อไหน ได้อยู่กันเป็นตา ยาย แต่มันไม่มีโอกาสแบบนั้น ตอนนี้มันเหลือเพียงภาพถ่ายไว้เป็นสิ่งเตือนใจว่า วันนั้นเรามีความสุขแค่ไหน เมื่อบ้านไร้ซึ่งพ่อกับแม่แล้ว ความหมายของคำว่าบ้านสำหรับเรามันก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนบ้านคือทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านหลังเล็กๆ ที่พ่อ แม่ ตั้งใจผ่อนมาหลายปี บ้านที่มีพ่อ แม่อยู่ไม่ต้องใหญ่โตเลย แต่มันมีทุกอย่างอยู่ข้างในนั้นไม่ว่าจะเป็น พระ ครู เพื่อน พี่ ATM คนขี้บ่น คนที่น่าลำคาน ความสุข เสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และกำลังใจ ในบ้านหลังเล็กๆหลังนั้นมีทุกอย่างที่เราต้องการ แต่ก่อนเวลาเหนื่อยจากการเรียน จากการทำงานก็ตีตั๋วนั่งเครื่องกลับบ้านเลยจร้า 1 ชม.ถึงบ้าน ความทุกข์ท่ี่สะสมมามากมายก็หายไป กับคำถามง่ายๆที่ พ่อ แม่เอ่ยปากออกว่า "เป็นอะไรเหนื่อยไหม" "อยากกินอะไร" แค่คำพูดสั้นๆง่ายๆพวกนี้มันทำให้เราหายเหนื่อย มีพลังที่จะสู้ต่อไป เพื่ออนาคตของพ่อแม่ต้องสบาย วันที่เราจะกลับบ้านขอแค่เอ่ยปากบอกอยากกินอะไร ไม่ว่าอะไร พ่อ แม่ ก็จะทำให้กินทุกอย่าง ส่วนมากเมนูโปรดกลับบ้าน ปลาต้มปลาร้าใส่พริกป่น กินกับข้าวสวยร้อนๆ เหอะๆๆชื่นใจจจ
รึจะเป็นน้ำพริกปลากทู หมูทอด ต้มเครื่องในหมู โอ้ยๆๆๆ คิดละหิวววว แค่ได้กลับบ้านไปกินกับข้าวพร้อมหน้าพ่อ กับแม่ แค่นั้นก็ทำให้มีพลังสู้กับทุกเรื่องราว เรากลับบ้านไปด้วยความทุกข์ใจล้านแปด วันกลับเรากลับมาด้วยความสุขแปดล้านเลย พอมานั่งคิดก็คิดถึงเรื่องราววันเก่าๆ ความทรงจำเก่าๆในวันที่ยังมีกันและกัน วันที่มันไม่มีพ่อ ไม่มีแม่อีกแล้ว บ้านของเรา มันกลายเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างชนิดหนึ่งที่เราใช้อยู่อาศัย มีโครงสร้างเป็นเหล็ก หิน ปูน ทราย ก็แค่นั้น ไม่มีแล้วบ้านที่ให้กลับไปเวลาเหนื่อย ไม่มีบ้านแบบเดิมอีกแล้ว ปัจจุบันมีแค่เราและเงาแค่นั้น คำว่าบ้านเป็นคำที่เราใช้เรียกที่พักอาศัยเท่านั้น ความหมายดีๆ ความทรงจำเดิมๆ มันไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หลังจากเราจมอยู่กับความเสียใจมาได้สักระยะหนึ่ง เราก็มีความคิดใหม่ๆขึ้นมาเพื่อ สร้างกำลังใจและแรงพลักดันให้กับตัวเองว่า
"พ่อ แม่ ลำบากส่งเราเรียนมาตั้ง20กว่าปี เค้าส่งเราเรียนเพื่อวันหนึ่งที่ไม่มีเค้า เราจะต้องอยู่ได้ด้วยวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา เราจะต้องอยู่รอดในสังคมที่เค้าได้สร้าง และปูพื้นฐานให้ไว้ " แล้ววันนี้เราจะท้อได้ไง เราจะไม่สู้ได้ไง ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ ความรู้เราก็มี ความสามารถเราก็มี มือ เท้า เราก็ครบ ทำไมเราจะต้องโศกเศร้าเสียใจและจมอยู่กับความเสียใจตลอด ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาแล้วพลักดันตัวเองให้ประสพพความสำเร็จในชีวิตละ ถ้าพ่อ แม่ ได้รับรู้เค้าคงจะมีความสุขมาก ว่าลูกที่เค้าตั้งใจเลี่ยงดูมาเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มีความอดทน สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้
หลังจากความคิดนี้ฝุดขึ้นมา เราก็เอาเรื่องราวความเสียใจที่ผ่านมา มาเป็นแรงพลักดันของตัวเราเอง เราต้องอยู่ได้ เราต้องทำได้ และหลังจากนี้ไม่ว่าจะเจอะปัญหาอะไรเราก็จะผ่านมันไปได้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เหนื่อยได้ ท้อได้ แต่เราจะไม่ถ่อยเด็ดขาด เราต้องสู้!!!
ถ้าสำหรับใครที่กำลังเจอะกับเรื่องราวที่คล้ายกับเรา เชื่อเรานะเธอจะผ่านมันไปได้ เราเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเรายังผ่านมาได้ สำหรับใครที่ยังมีผู้เฒ่ารออยู่บ้าน ใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อเค้านะ อย่ามานั่งร้องไห้ อย่ามานั่งขอโทษ ในวันที่เค้าไม่อยู่ฟัง การบอกรักเป็นสิ่งที่ควรทำไม่เรื่องที่ต้องเขิล ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หยิบโทรศัพย์โทรกลับไปบอกรักพ่อ กับแม่เลยนะ ลองดูสิอาจจะเขิลๆหน่อย (สำหรับคนที่ไม่เคยบอก) ใครที่บอกรัก และกอดพ่อ แม่บ่อยๆ ก็ทำต่อไปนะ มายืนบอกตอนเค้านอนในโลง เค้าไม่รู้หลอก มานั่งคิดถึงในวันที่เค้าไม่อยู่ มันเหงานะ
อย่าพึ่งสรุปว่าชีวิตมันแย่
มันอาจจะเป็นแค่จุดเปลี่ยนของชีวิต
ที่จะทำให้เราเข้มแข็ง และเจอะสิ่งที่ดีกว่า
"""เดี๋ยวมันก็ผ่านไป""""" จำคำนี้ไว้ เพราะมันใช้ได้จริง
เริ่มจากแม่เสียยังไงเลยดีกว่า ต่อจากเดิมที่เข้าฉุกเฉิน หมอให้ยากระตุ้นเป็นเข็มที่3 รวมจากโรงพยาบาลแรกที่ไปมา ซึ่งตามการรักษามันคือเข็มสุดท้ายแล้ว ถ้าหัวใจหยุดเต้นอีกก็คือจบ จากคำแนะนำของแพทย์ เราเลือกที่จะฉีดค่ะ รักษาแบบเต็มที่ค่ะ ใส่ท่อช่วยหายใจ มีปาฏิหารย์ค่ะ แม่หัวใจเต้นอยู่ในระดับดี ความดันดีค่ะ ยกเขาออกจากอกเลยค่ะ โล่งเลยสิค่ะ แม่ได้ย้ายมาพักที่ห้องผู้ป่วยรวมค่ะ เรากับน้อง กับอา ก็ไปส่งที่ห้องพัก เซ็นเอกสารและให้เบอร์ตดต่อกับหมอไป ตอนนั้นรู้สึกโล่งไปเลย พอเสร็จธุระจากตรงนั้นอาก็ถามจะนอนบ้านไหม รึจะนอนบ้านอา เราก็บอกนอนบ้าน พรุ่งนี้จะได้ขับรถมาเยี่ยมแม่แต่เช้า ณ ตอนนั้นแม่ก็ยังไม่ฟื้นมานะค่ะ เรากับน้อง และอาก็เดินกลับมาที่รถอาเพื่อจะกลับบ้าน ปิดประตูสตาฟรถ เสียงโทรศัพย์เราก็ดังขึ้น เป็นเบอร์โรงพยาบาลค่ะ
"ฮัลโลน้องลูกคุณป้า...ใช่ไหมตอนนี้อยู่ไหนค่ะ กลับไปรึยัง?
"""ยังค่ะอยู่ที่จอดรถค่ะ""""
"อ่อรีบกลับขึ้นมาที่ตึกเลยค่ะตอนนี้คุณป้าไม่ไหวแล้ว" !!!!!!!!
ตอนนั้นไม่คิดอะไรค่ะ หันไปบอกอาหมอโทรมาให้รีบขึ้นไปแม่ไม่ไหวแล้ว นึกภาพคือผู้หญิงตัวอ้วนๆวิ่งแบบสุดกำลัง ซอยเท้าถี่ยิบ เพื่อขึ้นชัด4ของตึก พอช่วงใกล้จะถึงแม่ สายตาดันเลือบไปเห็นเครื่องที่บอกระดับการเต้นของพวกใจ 69 43 15 5 พอถึง5 เราวิ่งเข้าไปถึงปลายเตียงแม่พอดี ตามมาด้วยน้องวิ่งมาติดๆ
ตี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด พร้อมสัญญาณเส้น _________________________________ ใครเคยดูละครจะเข้าใจในส่วนนี้
หัวเข่ากระแทกลงพื้นอย่างแรง เข่าอ่อน น้ำตาก็มา น้องเข้ามาพยุง บอกพี่ไม่เป็นไรนะป้าไปสบายแล้ว ไปอยู่กับลุงแล้ว ตอนนั้นได้ยินน้องบอกนะ แต่สมองไม่รับฟังค่ะ คิดแค่ว่าเห้ยแมร่งอะไรกันนักหนากับกูว่ะ จะทิ้งกันไปให้หมดเลยรึไง กระซิบข้างหูแม่บอกแม่ตื่นมานะ นอนเฉยๆอย่างเดียวก็ได้ แค่ตื่นมานะ ลำบากแค่ไหนหนูก็จะเลี้ยง หนูจะทน แม่ตื่นเหอะนะ อย่าพึ่งรีบไปอยู่กับพ่อ ทนอยู่กับหนูก่อน แต่แม่ไม่ฟังเราเลยอะ เอาแต่นอนหลับตาไม่สนใจเราเลย ไม่สงสารเราเลย พึ่งลอยอังคารพ่อไม่กี่วันนิชิ่งไปอีกคนอีกละ ผู้ช่วยพยาบาลดันมีอยู่คนเดียวบอกให้เราช่วยถือสำลีอีกต่างหาก เห้ยแม่กูตายแปบเดียวจะยัดสำลีเลยรึไง แล้วมีหน้าให้กูช่วยถืออีก ความรู้สึกตอนนั้นแมร่ง ยืนมองผู้ช่วยพยบาลเอาเครื่องมือเหมือนแหนบปลายแหลม แต่ยาวเกือบคืบ ยัดสำลีเข้าจมูกแม่ ยัดเข้าปาก ยัดหู คือภาพตอนนั้น แม่เราคือ ศพ แบบ100%เลย ของพ่อเรายังมาเจอะในวันรุ่งขึ้น แต่แม่เมื่อกี่ยังเป็นผู้ป่วย ตอนนี้เป็นศพแล้ว ด้วยความที่แม่ได้รับยามาเยอะ และยาที่กินรักษาตัวอีกมาก แม่เราเลยกลายสภาพร่างกายเร็วมาก หลังจากเสร็จการยัดสำลีไม่นานแม่เราก็เขียว ดำไวมากอะ เราเป็นลูกเอ่อยังกลัวเลย แต่ตอนนั้นเสียใจมากกว่า ไม่คิดอะไรละ ยิ่งแม่กลายสภาพร่างกายมากเท่าไหร่ เรายิ่งสะเทือนใจมากกว่าเดิม หลังจากนั้นแผนกที่จัดการก็นำร่างของแม่ไปเก็บในห้องเย็น พยาบาลก็แนะนำขั้นตอนการเอาเอกสารมารับร่างแม่วันพรุ่งนี้ เราไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ เพราะเราพึ่งทำให้พ่อไม่กี่วันเองขั้นตอนเรารู้หมดแหละ อารมณ์ตอนนั้นมีแค่ เศร้า เสียใจ เหงา โลกแตก โลกพัง คือความรู้สึกแย่ๆทุกอย่างมันฝุดขึ้นมา วันงานศพแม่เราก็จัดการตามๆแบบพ่อ วันที่ขับรถไปซื้อของชำร่วยให้แม่ วันนั้นฝนตกพร่ำๆบรรยากาศมันใช่อะ เราก็คิดว่า ทำไมเราต้องมาเป็นคนเจอะเรื่องแบบนี้ด้วยว่ะ ทำไมต้องเป็นแม่เราที่ตาย ทำไมไม่พักให้เราได้ทำใจบ้างสักพัก ให้เรายังมีแม่เป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต ให้แม่ยังอยู่เป็นกำลังใจของเรา เอาจริงๆแค่แม่ฟื้นมานอนป่วยติดเตียงเรายังเลือกเอาแบบนั้นอะ แลกกับการไม่เหลือใครเลยแบบนี้ แต่คิดอีกมุมถ้ามองในมุมที่ปล่อยให้แม่หลุดพ้นความเจ็บปวด มันก็อาจจะเป็นทางที่ดีกว่า การที่แม่จากเราไปมันอาจจะเป็นทางที่ถูกต้องกว่าการอยู่โดยไม่มีพ่อก็เป็นไปได้ มันคือโชคชะตาที่โหดร้ายไปสำหรับเรา แต่มันอาจจะเป็นโชคชะตาที่ดีแล้วของแม่ก็ได้ แต่หลังจากวันที่แม่เสีย เรานอนร้องไห้ทุกคืนเลยคิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ เกือบปีเลยอะที่เป็นแบบนั่น รู้สึกโลกมนๆมัวๆ ไม่สดใสเลย ไปสัมภาษณ์งานก็ถามสาเหตุที่ออกงาน ครั้งแรก ครั้งที่สอง ก็ตอบพ่อ แม่ป่วยเลยออกงานมาดูแล พอฝ่ายบุคคลถามแล้วตอนนี้ละพ่อแม่เป็นไงบ้าง จุกเลยจร้า น้ำตามา กลั้นใจจิกเล็บจนแสบ ตอบไปแบบยิ้มๆเลย เสียแล้วค่ะ คือเราก็เตรียมตัวรับสถานะการณ์กับคำถามนี้มาพอสมควรนะ แต่พอเอาเข้าจริงมันไปไหวเลยจริงๆอะ อารมณ์ ณ จุดนั้นคือ อยากร้องโฮออกมาเลย แต่มันก็ต้องกลั่นไว้ทำอะไรมากกว่ายิ้มไม่ได้แล้ว หลังจากได้งานทำ ไปเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุดเราก็จะเอารูปพ่อกับแม่ไปด้วย ละก็จะบอกว่าเด๋วจะพาไปนั่น ไปนี่นะ คิดละก็เศร้าค่ะ วันที่เค้ามีชีวิตเราก็ไม่มีโอกาสพาเค้าไปเที่ยวไหนต่อไหนมากมาย พอมาวันที่มีเงินพาเค้าไป เค้าก็ไม่อยู่ในเราพาไปแล้ว วันที่เรามีความสามารถในการตอบแทนพระคุณ วันที่เรามีกำลังมีแรงทำงาน มันควรจะเป็นวันที่พวกเค้าหยุดทำงานไม่ต้องเหนื่อย วันๆนั้งๆนอนๆอยู่บ้านกัน2เฒ่า สิ้นเดือนก็รอรับเงินเดือนจากเรา ได้มีโอกาสไปเที่ยวไหนต่อไหน ได้อยู่กันเป็นตา ยาย แต่มันไม่มีโอกาสแบบนั้น ตอนนี้มันเหลือเพียงภาพถ่ายไว้เป็นสิ่งเตือนใจว่า วันนั้นเรามีความสุขแค่ไหน เมื่อบ้านไร้ซึ่งพ่อกับแม่แล้ว ความหมายของคำว่าบ้านสำหรับเรามันก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนบ้านคือทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านหลังเล็กๆ ที่พ่อ แม่ ตั้งใจผ่อนมาหลายปี บ้านที่มีพ่อ แม่อยู่ไม่ต้องใหญ่โตเลย แต่มันมีทุกอย่างอยู่ข้างในนั้นไม่ว่าจะเป็น พระ ครู เพื่อน พี่ ATM คนขี้บ่น คนที่น่าลำคาน ความสุข เสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และกำลังใจ ในบ้านหลังเล็กๆหลังนั้นมีทุกอย่างที่เราต้องการ แต่ก่อนเวลาเหนื่อยจากการเรียน จากการทำงานก็ตีตั๋วนั่งเครื่องกลับบ้านเลยจร้า 1 ชม.ถึงบ้าน ความทุกข์ท่ี่สะสมมามากมายก็หายไป กับคำถามง่ายๆที่ พ่อ แม่เอ่ยปากออกว่า "เป็นอะไรเหนื่อยไหม" "อยากกินอะไร" แค่คำพูดสั้นๆง่ายๆพวกนี้มันทำให้เราหายเหนื่อย มีพลังที่จะสู้ต่อไป เพื่ออนาคตของพ่อแม่ต้องสบาย วันที่เราจะกลับบ้านขอแค่เอ่ยปากบอกอยากกินอะไร ไม่ว่าอะไร พ่อ แม่ ก็จะทำให้กินทุกอย่าง ส่วนมากเมนูโปรดกลับบ้าน ปลาต้มปลาร้าใส่พริกป่น กินกับข้าวสวยร้อนๆ เหอะๆๆชื่นใจจจ
รึจะเป็นน้ำพริกปลากทู หมูทอด ต้มเครื่องในหมู โอ้ยๆๆๆ คิดละหิวววว แค่ได้กลับบ้านไปกินกับข้าวพร้อมหน้าพ่อ กับแม่ แค่นั้นก็ทำให้มีพลังสู้กับทุกเรื่องราว เรากลับบ้านไปด้วยความทุกข์ใจล้านแปด วันกลับเรากลับมาด้วยความสุขแปดล้านเลย พอมานั่งคิดก็คิดถึงเรื่องราววันเก่าๆ ความทรงจำเก่าๆในวันที่ยังมีกันและกัน วันที่มันไม่มีพ่อ ไม่มีแม่อีกแล้ว บ้านของเรา มันกลายเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างชนิดหนึ่งที่เราใช้อยู่อาศัย มีโครงสร้างเป็นเหล็ก หิน ปูน ทราย ก็แค่นั้น ไม่มีแล้วบ้านที่ให้กลับไปเวลาเหนื่อย ไม่มีบ้านแบบเดิมอีกแล้ว ปัจจุบันมีแค่เราและเงาแค่นั้น คำว่าบ้านเป็นคำที่เราใช้เรียกที่พักอาศัยเท่านั้น ความหมายดีๆ ความทรงจำเดิมๆ มันไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หลังจากเราจมอยู่กับความเสียใจมาได้สักระยะหนึ่ง เราก็มีความคิดใหม่ๆขึ้นมาเพื่อ สร้างกำลังใจและแรงพลักดันให้กับตัวเองว่า
"พ่อ แม่ ลำบากส่งเราเรียนมาตั้ง20กว่าปี เค้าส่งเราเรียนเพื่อวันหนึ่งที่ไม่มีเค้า เราจะต้องอยู่ได้ด้วยวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา เราจะต้องอยู่รอดในสังคมที่เค้าได้สร้าง และปูพื้นฐานให้ไว้ " แล้ววันนี้เราจะท้อได้ไง เราจะไม่สู้ได้ไง ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ ความรู้เราก็มี ความสามารถเราก็มี มือ เท้า เราก็ครบ ทำไมเราจะต้องโศกเศร้าเสียใจและจมอยู่กับความเสียใจตลอด ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาแล้วพลักดันตัวเองให้ประสพพความสำเร็จในชีวิตละ ถ้าพ่อ แม่ ได้รับรู้เค้าคงจะมีความสุขมาก ว่าลูกที่เค้าตั้งใจเลี่ยงดูมาเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มีความอดทน สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้
หลังจากความคิดนี้ฝุดขึ้นมา เราก็เอาเรื่องราวความเสียใจที่ผ่านมา มาเป็นแรงพลักดันของตัวเราเอง เราต้องอยู่ได้ เราต้องทำได้ และหลังจากนี้ไม่ว่าจะเจอะปัญหาอะไรเราก็จะผ่านมันไปได้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เหนื่อยได้ ท้อได้ แต่เราจะไม่ถ่อยเด็ดขาด เราต้องสู้!!!
ถ้าสำหรับใครที่กำลังเจอะกับเรื่องราวที่คล้ายกับเรา เชื่อเรานะเธอจะผ่านมันไปได้ เราเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเรายังผ่านมาได้ สำหรับใครที่ยังมีผู้เฒ่ารออยู่บ้าน ใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อเค้านะ อย่ามานั่งร้องไห้ อย่ามานั่งขอโทษ ในวันที่เค้าไม่อยู่ฟัง การบอกรักเป็นสิ่งที่ควรทำไม่เรื่องที่ต้องเขิล ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หยิบโทรศัพย์โทรกลับไปบอกรักพ่อ กับแม่เลยนะ ลองดูสิอาจจะเขิลๆหน่อย (สำหรับคนที่ไม่เคยบอก) ใครที่บอกรัก และกอดพ่อ แม่บ่อยๆ ก็ทำต่อไปนะ มายืนบอกตอนเค้านอนในโลง เค้าไม่รู้หลอก มานั่งคิดถึงในวันที่เค้าไม่อยู่ มันเหงานะ
อย่าพึ่งสรุปว่าชีวิตมันแย่
มันอาจจะเป็นแค่จุดเปลี่ยนของชีวิต
ที่จะทำให้เราเข้มแข็ง และเจอะสิ่งที่ดีกว่า
"""เดี๋ยวมันก็ผ่านไป""""" จำคำนี้ไว้ เพราะมันใช้ได้จริง
แสดงความคิดเห็น
ถ้าคิดว่าชีวิตตอนนี้แย่แล้ว เข้ามาอ่านเรื่องของเราสิ 1
เป็นลูกคนเดียว อายุ 25 ตอนนี้มีงานทำแต่กำลังจะหมดสัญญาจ้าง(เราเป็นจ้างรายปีแค่1ปี) ตอนนี้ก็กำลังจะหางานใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตมันต้องดิ้นรนเพราะเราเป็นคนยังต้องกินข้าว
ถึงตอนที่มีสาระสัมพันธ์กับหัวข้อแล้ว เริ่มเลยนะ ว่าด้วยเมื่อปี 2558 ตอนนั้นเราเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย มีงานทำงานค่อนข้างที่จะมั่นคง เป็นซัฟของบริษัทมีชื่อของเมื่อไทยเลยก็ว่าได้ แต่มีเหตุอันต้องลาออกจากงานเนื่องด้วยช่วงนั้นแม่ป่วยบ่อย พ่อก็ขายของคนเดียวเห็นว่าจะไม่ไหว เลยลาออกกลับบ้านไปช่วยพ่อขายของ ลืมบอกไปบ้านเราพ่อ แม่ ขายอาหารตามสั่ง ที่ริมทางไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ พอช่วงพ่อสักระยะแม่ก็ดีขึ้น เราก็กลับมา กทม. เพื่อหางาน หลายคนคงมีคำถามว่า ทำไมไม่หางานทำแถวบ้านละ เพราะว่าหลายเหตุผล 1อยากออกมาอยู่ด้วยตัวเองอยากใช้ชีวิตด้วยตัวเอง 2อยากพิสูญจ์ให้พ่อแม่เห็นว่าเราอยู่ได้ เราเก่งนะ เราสามารถหาเงินมาเลี้ยงตัวเองได้และส่งกลับบ้านให้พ่อแม่ได้นะ (เราทำงานกี่เดือนเราส่งให้พ่อ แม่ทุกเดือนๆละ5พัน เปิดบัญชีเป็นชื่อพ่อไว้ เพราะพ่อไม่เคยมีบัญชี พอมีนะตื่นเต้นเลย เราโอนไปวันไหน นางก็รีบไปธนาคารที่ห้างไปอัพบุ๊คเช็คยอดนั้นเอง) บางเดือนได้โอทีเยอะก็ส่งให้6-7พัน เราจ่ายค่าหอเอง ค่ากินอยู่รับผิดชอบชีวิตตัวเองทุกอย่าง และมันก็ดำเนินไปได้ด้วยดี มีติดขัดบ้าง แต่ไม่เคยรบกวนพ่อแม่เลย จนมาถึงช่วงปลายปี59 เราได้รับข่าวไม่ดีมาคือพ่อปวดท้องมากต้องผ่าตัด เหมือนว่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี พอผ่าหมอพบว่าเนื้อไม่ค่อยปกติเลยส่งชิ้นเนื้อไปตรวจสอบว่าเป็นเนื้อร้ายไหม (มะเร็ง) ผลสรุปออกมาว่า พ่อเป็นมะเร็งระยะที่ 3 ชิปหายไหมละ ระยะ3 ตามที่เรารู้จัก3มันก็คือเตรียมตัวตายไหมว่ะ 4ก็ตายเลย แต่ทำไงได้ละ หาทุกวิธีเลยที่ช่วยในการรักษา ทั้งยาสมุนไพรไหนดี น้องสาวพ่อ(อา)ก็ปั่นน้ำรักษามะเร็งสูตรฟ้าหญิงมาให้พ่อกินทุกเช้า เราก็หายาที่เค้าวิจัยแล้วว่าดีมาให้พ่อกิน เป็นกำลังใจให้พ่อ หาข้อมูลอัตราเรื่องต่างๆของมะเร็ง ทุกอย่างที่กูเกิลมีผ่านตาเรามาหมดแล้วทั้งนั้น ที่สำคัญคือคอยโทรหาพ่อตลอด เป็นกำลังใจให้พ่อตลอด บอกพ่อเสมอว่าแค่มะเร็งระยะ3เอง ยังมีสิทธิหายละพ่อก็เป็นไม่มาก พ่อไปหาหมอตามนัดเสมอ แต่ทางครอบครัวเราคุยกันแล้วว่าจะไม่รักษาทางเคมี (การทำคีโม) เพราะย่าก็เป็นมะเร็งรักษาแปบเดียวตายเลย เราเลยใช้การดำรงชีวิตด้วยยาสมุนไพรที่มีผลการวิจัยที่น่าเชื่อถือ และน้ำผักของอา และที่สำคัญคือกำลังใจจากทุกคน แต่แล้วช่วงระยะเวลาหนึ่งพ่อก็ป่วยหนักด้วยโรคเก่าที่รุมเร้า ทั้งเบาหวาน เราเลยต้องกลับบ้านและลาออกจากงานอีกครั้ง กลับมาบ้านครั้งนี้เป็นจุดพลิกครั้งใหญ่ของชีวิต คือ จากลูกคนหนึ่ง ต้องกลายมาเป็นที่หยึดเหนียวของพ่อและแม่ เป็นหมอคอยเจาะเลือดพ่อแม่ (ลืมบอกไปแม่ก็เป็นโรคสารพัดชนิดเช่นกันเป็นมาตั้งแต่เราจำความได้ แต่นางสู้ชีวิตค่ะ) คอยเป็นเภสัชจัดยาให้กินทุกมื้ออาหาร เป็นแม่ครัวที่ต้องทำอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และโรคไต เราก็จากคนกินอาหารรสจัดก็มากินจืดเลย เจอะพริกนิดเดียวน้ำตาซึม เรากลายเป็นเสาหลักครอบครัวเป็นคนไปขายของแทนพ่อ แม่ ให้พ่อ แม่นอนพักอยู่บ้าน ชีวิตเราแต่ละวันเริ่มต้นด้วย หกโมงเช้าไปแม็คโครซื้อของสด หมู ไก่ กุ้ง หมึก มาเตรียมหัน แกะ ล้าง และเตรียมอาหารเช้า สายๆไปตลาดเพื่อซื้อผักสด กลับมาบ้าน11โมง มาเตรียมอาหารเที่ยงให้พ่อแม่ ช่วงบ่ายแก่ๆก็หุ้งข้าว(ด้วยเตาแก๊สคร้ามีความลุ้นข้าวสุก ข้าวดิบมา) แต่พ่อยังมาช่วยดูไฟ ช่วยดูน้ำ เตรียมของขึ้นรถกระบะ ทอดหหมูกรอบ ตกเย็นก็ขับรถมาตั้งร้าน (ร้านเป็นรถเข็น) กางเต้นกันฝน ตั้งแก๊สเตรียมจัดของ จัดโต๊ะ เก้าอี้ เห็นร้านตามสั่งเป็นแบบไหน เราอะทำทุกอย่างคนเดียวหมด ช่วงแรกๆยังมีอา พี่ มาช่วย แต่วันไหนไม่มีใครว่างก็ทำเองทั้งหมด เยอะละสิที่คิดภาพ แล้วประมาณ5โมงเราก็เดินไปตลาดเพื่อซื้อเครื่องปรุงและส่วนที่ขาด ขายเอง ทำเอง เก็บโต๊ะเอง เก็บร้าน ล้างของเองทุกอย่าง ช่วงนี้พ่อยังขี่มอไซไหว พ่อจะขี่มาเอากับข้าวกลับไปกินที่บ้าน เหนื่อยนะแต่พอเห็นเงินนั่นคือสิ่งที่ทำให้หายเหนื่อย แต่ละวันเฉลี่ยเวลาแล้วจะเสร็จประมาณ เที่ยงคืน ตี1 ใช้ชีวิตแบบนี้ เงินค่ะ เงินมาเป็นบึกๆ แต่ยอมรับเลยว่าเหนื่อยมาก คิดว่าที่ผ่านมาเป็นสิบยี่สิบปี พ่อ แม่ จะต้องเหนื่อยแค่ไหน เราเลยมีแรงสู้ นี่มันแค่จุดเริ่มต้น หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง ทั้งพ่อ และแม่ก็สุขภาพแย่ลงตามสภาพกาล กลายเป็นคนแก่ๆตัวซูบผอม กินอะไรไม่ค่อยจะได้ ท้องบวมเต็มไปด้วยน้ำ ท้องพ่อโตเหมือนคนท้องแก่ ต้องไปเจาะเอาน้ำออก เนื่องจากระบบภายในไม่ค่อยทำงาน พ่อก็ต้องเข้าโรงบาบผ่าตัดเป็นครั้งที่2 แม่ก็ไตกำเริบเข้าโรงบาล จากที่เราขายของก็หยุดขายชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ตื่นเช้ามาไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลในตัวเมือง แม่บ่ายๆไปเยี่ยมแม่โรงพยาบาลนอกเมือง ที่ส่งไปต่างโรงพยาบาลเพราะไปตามสิทธิบัตรทอง และตามประวัติการรักษา ค่ำๆหมดเวลาเยี่ยมก็กลับบ้านมานอนพัก การไปอยู่โรงพยาบาลทั้งวันมันเหนื่อยกว่าการขายของซะอีก เพราะเราต้องเห็นทั้งภาพที่หลายคนไม่อยากเห็น เห็นสภาพผู้ป่วยหลายท่าน บางท่านก็เกินที่จะจ้องมองได้ เสียงร้องโอ๊ดโอย หลังจากนั้นประมาณ2อาทิตย์ พ่อ แม่ก็ได้กลับมาอยู่บ้าน ด้วยสถานะที่เพิ่มเติมคือ ผู้ป่วย เราต้องคอยเปลี่ยนแพมเพิดให้พ่อ คอยเช็ดตัว ดูแล ส่วนแม่ก็เดินไม่ค่อยจะได้ ต้องคอยพยุงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ ทั้งสองเริ่มไม่ค่อยทานข้าว กินได้แต่อาหวารอ่อนมาก แบบข้าวต้มใส่เกลือ นม กินวันๆเหมือนดม
จนเวลาผ่านมาไม่นาน ในคืนกลางดึกของวันที่ 30 กรกฎาคม 2559 เราตื่นมาเข้าห้องน้ำ เห็นว่าผ้าห่มพ่อหลุดเลยเข้าไปห่มให้ แต่เมื่อมือไปโดนพ่อ ตัวของพ่อเย็นเฉียบ ใช้คำว่าเย็บเหมือนน้ำแข็งเลยก็ว่าได้ เรารีบเปิดไฟเอาที่เจาะน้ำตาลมาเจาะ พ่อมีน้ำตาลในเลือดอยู่แค่18จากคนปกติที่อยู่80 ตอนนี้คือพ่อช๊อคเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำมาก เรารีบเอาน้ำหวาน มากรอกให้พ่อ พยายามปลุกพ่อให้ตื่น โทรแจ้งรถพยาบาลชุมชนที่อยู่ใกล้ ผ่านไป4-5นาที ระดับน้ำตาลพ่ออยู่ที่ 20กว่าๆ และขึ้นมา30กว่าๆ ตามลำดับ รถพยาบาลมาถึงพาพ่อไปโรงพยาบาลนอกเมืองที่ไวที่สุด เราก็ด้วยความชินก็รีบเอาเอกสารสมุดน้ำตาลพ่อ และยาที่พ่อกินทุกชนิดไป เราขับรถตามไปด้วยความกลัว กลัวว่าพ่อจะตาย วันนั้นขับรถเร็วแค่ไหนไม่รู้ เป็นการขับรถที่เต็มไปด้วยน้ำตา สมองสั่งการเพียงแค่ ต้องระวังให้มากที่สุดและต้องไว้ให้มากที่สุด พ่อพ่อถึงหมอ สักพักญาติพ่อก็มาช่วยกันดูแลพ่อ หมอก็ให้ยา ให้เรานั่งเฝ้า เพราะคืนนั้นคนป่วยเยอะมากในห้องฉุกเฉิน
พอพ่อได้สติสิ่งแรกที่พ่อพูดคือกลับบ้านนะไม่อยากนอนโรงบาล แต่หมอดูอาการของพ่อแล้วคือต้องนอนโรงบาล พ่ออยู่โรงพยาบาลได้ไม่กี่วันเราก็รับรู้จากพยาบาลและแพทย์ผู้รักษาว่า ควรจะต้องทำใจ เตรียมใจไว้บ้างนะ ญาติพ่อที่ต่างจังหวัดก็พากันมาเยี่ยม ถ้าให้พูดตรงๆก็มาดูใจเป็นครั้งสุดท้ายนั่นแหละ วันที่ 10 สิงหาเป็นวันเกิดของพ่อ แต่วันนี้พ่อดูไม่มีชีวิตชีวาเลย เหมือนมีเพียงร่างเปล่าไร้ซึ่งวิญาณสิ่งสถิต เราก็ได้แต่บอกพ่อว่า กลับบ้านนะพ่อ กลับไปอยู่บ้านนะ เย็นวันนั้นเองก็มีน้ำสีดำๆพุ่งออกจากปากพ่อ เยอะมาก ถ้าชาวบ้านคงเรียกว่าธาตุแตก วันนั้นหลังจากหมดเวลาเยี่ยม เรากลับมาบ้านด้วยใจที่ไม่อยู่กับตัว จ้องมองแต่โทรศัพย์ว่าจะมีเบอร์โรงพยาบาลโทรมาไหม ถ้าโทรมาคงจะต้องเป็นข่าวร้ายแน่ๆ ไม่เกินคืนนั้นเอง โรงพยาบาลก็โทรมา เรานั่งถือโทรศัพย์ไม่กล้าที่จะรับสายเลย เราก็ลุกไปเตรียมชุดที่หล่อที่สุดสำหรับพ่อ เราซื้อให้พ่อไว้ตอนวันพ่อ เอามาซักรีด นั่งเช็ดรองเท้าให้พ่อจนวิป เราก็โรงกลับไปโรงพยาบาล เราก็ได้รับข่าวร้ายที่เราคิดเอาไว้แล้วว่าพ่อเสียแล้ว ทางพยาบาลก็ชี้แจงเอกสารและขั้นตอนการมารับศพ เอาจริงไหม วินาทีนั้นบอกมาเหอะ ไม่รู้เรื่องหรอกรู้แต่ว่า พ่อกูตายแล้วหรอว่ะ จริงหรอว่ะ มันใช่หรอว่ะ และสิ่งที่ลำบากใจมากที่สุดคือ การที่จะบอกแม่ยังไงว่าพ่อไม่อยู่กับเราแล้ว แม่ก็ป่วยหนักพอตัว สภาพจิตใจของแม่ก็แย่มากอยู่แล้ว ตัดสินใจอยู่พักใหญ่ เดินมาหาแม่เราคิดว่าแม่คงรู้แล้ว และคงทำใจแล้ว เรานั่งร้องไห้อย่างกับคนบ้าอยู่ในห้อง พอจะออกมาหาแม่เราต้องเช็ดน้ำตาและเราคิดว่าเราต้องเข้มแข็งกว่าแม่ให้ได้ เราต้องเป็นคนดูแลจิตใจของแม่เราจะไม่ร้องให้แม่เห็นเด็ดขาด เราเดินไปหาแม่ซึ่งยังไม่นอนและบอกกับแม่ว่า "แม่พ่อตายแล้วนะ" แม่พยักหน้าเบา แล้วล้มตัวลงนอนหลับตาไป เราเดินมาหน้าบ้านนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่จนเกือบเช้า ก็ไปหาอาไปเอาเงินไปร้านโล่งศพไปซื้อโลง เจ้าของร้านก็รู้จักกับพ่อ เลยไม่อยากในการเลือกขนาดโลง พอเอาโลงใส่ท้ายรถ ก็ขับไปที่โรงพยาบาลพร้อมญาติอีก3คัน ไปถึงโรงพยาบาลก็ไปแจ้งตายเอาเอกสารนั้นนี่ จ่ายตั้งนั่นนี่ รับศพมาวัดเป็นวันที่ 11 ก็บ่ายกว่าๆ เราก็ด้วยความที่บ้านยังไม่เคยมีใครตาย ตามประเพณีทางภาคเหนือเราก็ไม่รู้ แต่พี่ลุงที่คอยจัดการช่วยแนะนำว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง เราก็ขับรถไปตลาดในเมืองไปหาซื้อ เปิดกูเกิลเพื่อหาร้านสั่งของที่ต้องใช้ วันงานก็มีผู้ใหญ่และคนแถวนั้นในชุมชนช่วยแนะนำช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนงานผ่านถึงวันเผาศพ ทุกวันที่เราเอาข้าวไปให้พ่อ เราจะแอบเปิดตู้โลงเย็นดูตลอด ดูว่าพ่อเป็นไง เรียกพ่อกินข้าว เรียกพ่อตื่น เอามือล้วงไปเขย่าขาพ่อ บอกพ่อตื่นๆๆๆ มันเป็นความรู้สึกที่โคตรแย่โคตรหดหู่อะ จนวันเผาผ่านไป เวลาแห่งความทุกข์ผ่านไปโลกแห่งความจริงก็กลับมา เราพักดูแลแม่เกือบสิบวันแม่ก็อาการดีขึ้น เดินได้ ขี่มอไซได้ สติ จิตใจกลับมาดีขึ้น เราก็ไปขายของ แม่ก็อยู่บ้านช่วยตัวเองได้แล้วเราก็เบาใจ เวลาผ่านมา50วันหลังจากพ่อตาย วันนั้นเราไม่ได้ขายของด้วยอะไรดลใจรึด้วยความขี้เกียจ ทั้งๆที่เราเตรียมของขายพร้อมแล้วนะ วันนั้นแม่บอกอยากกินผัดมาม่าเผ็ดๆซึ่งปกติแม่ไม่กินเผ็ด แต่ไม่ค่อยจะร้องกินอะไรที่แห้งๆเพราะแม่ใส่ท่อช่วยหายใจหลายครั้งจนคอเจ็บระบมไปหมด เราก็ทำให้แม่กิน เรานั่งกินในบ้านดูทีวี แม่นั่งกินหน้าบ้าน เราก็ตะโกนคุยเรียกแม่ไป แต่แม่เงียบ เราลุกไปดูเห็นแม่นอนอยู่บนเก้าอี้(แบบเก้าอี้ชายหาด) เราเรียก3ครั้งแม่ไม่ตื่น เราใจหายแล้วไปเขย่าตัวแม่ เอามืออังจมูกแม่ไม่หายใจแล้ว เรารีบอุ้มแม่นอนพื้นเอาหมอนมาหนุนขาเท้าให้สูงกว่าหัวให้เลือดไหลมาหัวตามที่หมอเคยบอกถ้าเกิดเหตุแบบนี้ เราเอามือล้วงปาากแม่ส่องดูว่ามีเศษอาหารติดไหมและให้เพื่อนบ้านมาช่วยดูเราก็รีบขี่มอไซไปเรียกหมอชุมชนไม่ไกลบ้านมากนัก หมอ พยาบาลมาถึงก็ช่วยกันปั้มหัวใจแม่ ตอนนั้นอาขี่รถมาบ้านพอดี เราคิดอย่างเดียวว่า ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเอาแม่เราไปเลย ถ้าแม่ไม่เป็นอะไรเราจะยอมโกนหัวบวชชีให้เลยจะบวชให้เป็นเดือนเลย พอรถพยาบาลไปถึงโรงพยาบาลแรกก็ช่วยชีวิตให้ชีพจรแม่เต้นอีกครั้ง แต่เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลไม่ตามสิทธิพอแม่ดีขึ้นหน่อยต้องส่งตัวมาโรงบาลตามสิทธิ เราบอกกับหมอว่า "พ่อหนูพึ่งตายเดือนก่อนอย่าให้แม่หนูตายเลยนะค่ะ" เสียอะไรเท่าไหร่เพิ่มเติมยอมทุกอย่าง และไม่กี่ชัวโมงหลังจากนั้นแม่ก็เสียทิ้งเราไป วินาทีที่เห็นแม่ตาย คือทุกอย่างของเราไม่เหลืออะไรแล้ว เราไม่เหลือที่พึ่งอะไรเลย