เรื่องของความรักเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครครับ บางทีแค่พบกันเพียงครั้งเดียวก็อาจจะประทับใจจนเกิดเป็นความรัก หรือบางครั้งต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ กว่าจะรักกัน แต่บางครั้งความรักเองก็มีอุปสรรคที่จะต้องฝ่าฟันกันกว่าจะครองรักกันได้ ซึ่งหลักๆ ก็มักจะเนื่องมาจากความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ รักต่างชนชั้น ระหว่างคนรวยกับคนจน รักต่างศาสนา หรือ รักต่างเชื้อชาติที่ปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ ความรักในเรื่องจะเป็นรักต่างสายพันธุ์ที่มีบางสิ่งบางอย่างมาเชื่อมทั้งสองให้มาอยู่ด้วยกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวดราม่าแฟนตาซี แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าเป็นโรแมนติกดาร์คแฟนตาซีเสียมากกว่า เป็นผลงานกำกับของผู้กำกับสุดแนวชาวเม็กซิกัน กิลเยร์โม เดล โทโร่ ที่เคยสร้างชื่อจาก Pan’s Labyrinth (2006) และ Hellboy I&II นำแสดงโดยดาราสาวมากฝีมือ แซลลี่ ฮอว์กินส์ ร่วมด้วย ไมเคิล แชนนอน ริชาร์ด เจนกินส์ ไมเคิล สตูห์ลบาร์ก และ ออกตาเวีย สเปนเซอร์
หนังบอกเล่าเรื่องราวของเอไลซ่า ( ฮอว์กินส์ ) สาวใบ้ผู้อาศัยอยู่บนโรงหนัง ซึ่งมี ไจลส์ (เจนกินส์) ชายโสดวัยกลางคนเป็นเพื่อนบ้านอยู่ห้องข้างกัน โดยเอไลซ่านั้นมีอาชีพเป็นแม่บ้านทำความสะอาดอยู่ที่ศูนย์วิจัยลับแห่งหนึ่งในบัลติมอร์ เอไลซ่ามีเพื่อนร่วมงานที่สนิทเพียงคนเดียวก็คือ เซลด้า(สเปนเซอร์)ที่แลดูจะเข้าอกเข้าใจเธอที่สุด ซึ่งตลอดมาชีวิตประจำวันของเอลซ่าก็เรียบง่ายและเหมือนเดิมมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้พันสตริกแลนด์ (แชนนอน) เจ้าหน้าที่ของรัฐได้นำสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายครึ่งคนครึ่งปลามาจากทะเลในอเมริกาใต้เพื่อทำการวิจัย โดยเอไลซ่าเองก็ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องวิจัยนั้น เมื่อระยะเวลาผ่านไป เอไลซ่าก็ได้รับรู้อะไรบางอย่างว่า แท้ที่จริงสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งปลานั้นมีความสามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจมนุษย์ได้ ซึ่งเอไลซ่าก็แอบสอนและเอาอาหารมาให้จนเกิดความผูกพัน แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เธอจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นไปให้ได้
สำหรับการดำเนินเรื่องของหนังนั้น บอกก่อนว่าใครคาดหวังว่าจะเป็นหนังโรแมนติกหวานแหวว หรือจะเป็นแนวความสัมพันธ์ต่างสายพันธุ์อย่าง อี.ที. สำหรับเรื่องนี้นั้นไม่ใช่แนวอย่างหนังที่กล่าวไว้ แต่หนังจะเป็นแนวดาร์กๆ แฟนตาซีๆ หน่อย เป็นการผสมผสานในสิ่งที่ตรงกันข้ามได้อย่างลงตัว ซึ่งในหนังเราจะเห็นฉากเลือดสาดที่มีให้เห็นจะๆ แบบไม่หมกเม็ด ซึ่งมันตัดกับฉากโรแมนติก ซึ่งฉากโรแมนซ์ก็ช่างหวานแหววซะเหลือเกิน โดยในฉากใช้เพลงในยุคซิกตี้เป็นเพลงประกอบ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องขอชมผู้กำกับที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ หรือความคิดของเอไลซ่าที่เป็นใบ้ให้เราได้รับรู้ได้อย่างชาญฉลาด โดยในขณะที่กล้องถ่ายสีหน้าท่าทางของเธอ และสิ่งที่เธอคิดอยู่ข้างใน หนังก็จะใช้เพลงหรือเสียงในรายการทางโทรทัศน์เป็นเสียงแทนคำพูดของเธอ ทำให้เราสามารถรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร ส่วนบรรยากาศในหนัง หนังก็จะให้บรรยากาศในช่วงยุค 1960s ซึ่งในช่วงนั้นสงครามเย็นระหว่างอเมริกากับโซเวียตกำลังเข้มข้นที่ทั้งสองชาติมหาอำนาจกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในเรื่องของอวกาศ ที่แลดูว่าโซเวียตจะนำหน้าอเมริกาไปอยู่หนึ่งก้าว รวมไปถึงอารมณ์ประชาชนในอเมริกาที่แลดูจะกลัวโซเวียตมาแทรกซึมในประเทศเสียเหลือเกิน นอกจากนั้นหนังยังสะท้อนถึงสังคมอเมริกันในยุคนั้นที่ยังไม่ให้การยอมรับความหลากหลายทางเพศ หรือมีการเหยียดสีผิวที่มีให้เราเห็นอย่างชัดเจน ส่วนโทนของหนังเรื่องนี้ที่ใช้ถ่ายทำก็จะใช้โทนมืดๆ เน้นกลางคืนเป็นหลัก อาจไม่ถึงขั้นกับเรียกว่าฟิล์มนัวร์ แต่บรรยากาศบางช่วงก็ทำเรารู้สึกอึดอัดได้พอสมควร สำหรับเสื้อผ้าหน้าผมหนังก็สามารถจัดออกมาได้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างเนียนตา รวมไปถึงตึกรามบานช่องที่ทำออกมาได้ดี
สำหรับการแสดง เริ่มจากแซลลี่ ฮอว์กินส์ในบทของเอไลซ่า สาวใบ้ตัวเอกของเรื่องเลย ผมมองว่าเธอน่าจะถูกโฉลกกับบทประเภทนี้นะ ประมาณผู้หญิงที่อาจจะมีร่างกายบกพร่องที่แลดูอ่อนแอ แต่แท้ที่จริงแข็งแกร่งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ถ้าใครเคยดูเรื่อง Maudie (2016) ที่เธอเล่นคู่กับอีธาน ฮอว์ค จะเป็นประมาณนั้นเลยครับแต่เรื่องนี้เธอจะถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้งกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าต้องเป็นใบ้ด้วย เล่นดี ซึ่งเมื่อเราดูไปเรื่อยๆ เสน่ห์ของเธอจะค่อยๆ ฉายให้เราเห็นทีละนิดๆ ยอมรับว่ายิ้มของเธอนั้นทำให้เธอสวยเลยทีเดียว ส่วนบทของผู้พันสตริกแลนด์โดยไมเคิล แชนนอนนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีย์ Broadwalk Empire ที่แกเล่นเป็นเจ้าหน้าที่เนลสัน แวน อัลเดน เรื่องนี้จะเป็นแบบนั้นเลยครับ จะเป็นคนเคร่งครัดระเบียบจัด ปราศจากอารมณ์ขัน หน้าเครียดตลอดเวลา และเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่รู้ว่าผู้กำกับแกชอบแชนนอนจากบทนั้นรึป่าว เลยเอาคาแรคเตอร์ในเรื่องนั้นมาใส่ในผู้พันสตริกแลนด์ ส่วนเจนกินส์ ในบทของไจลส์ เรื่องนี้ก็เล่นได้ดีนะครับ เขาเล่นเป็นชายกลางคนที่มีหัวในทางศิลปะทุกแขนงซึ่งคอยเล่าคอยคุยกับเอไลซ่า เขามักรำพึงรำพันในโชคชะตาของตนอยู่เสมอ แถมยังเป็นคนตกยุคโดยไม่รู้ตัวเพราะมัวอยู่แต่ในโลกส่วนตัว แต่เมื่อถึงยามคับขัน เขาก็พร้อมเป็นที่พึ่งของเอไลซ่าได้อย่างดี ในบทของเซลด้า เพื่อนสนิทของเอไลซ่า สเปนเซอร์เล่นได้ดีครับ ทำให้เรานึกถึงภาพพนักงานผิวสีที่ขี้บ่นตลอดเวลา เธอแสดงสีหน้าท่าทางได้เนียนตาทีเดียว ส่วนอีกคนที่ต้องพูดถึงครับสำหรับการแสดงของสตูห์ลบาร์กในบทของหัวหน้านักวิจัย ดร.ฮอฟสเตทเลอร์ เล่นดีครับ สตูห์ลบาร์กเล่นบทได้ฉีกแนวตลอดเรียกว่าดาราเจ้าบทบาทก็ว่าได้ครับ ให้จับตาดูครับสำหรับตัวละครตัวนี้
สำหรับเรื่องนี้ผมให้ 8.5 เต็ม 10 ครับ หักตรงที่การใช้โทนสีของหนังมันทำให้รู้สึกอึดอัดไปนิดนึง กับอารมณ์ของหนังที่ผมมองว่ามันยังไม่สุดเท่าไหร่ จะซึ้งก็ซึ้งไม่สุด หรือจะเศร้าก็เศร้าไม่สุด น่าจะเอาให้สุดก็จะแจ่มมากๆ เลยครับ แต่อย่างไรก็ตาม หนังเองก็ได้ให้แง่คิดกับเราหลายๆ อย่างโดยเฉพาะความงดงามของความรัก ที่ความรักมันเกิดขึ้นมาเมื่อใด มันย่อมงดงามเสมอ หรือการตัดสินคนนั้น เราก็ไม่ควรมองแต่เฉพาะเปลือก เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดเช่นนั้นก็ได้ แถมท้ายสุดหนังเรื่องนี้นั้นก็ต่อยอดความคิดให้กับเราได้คิดตามเอง ว่าบทสรุปของหนังนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นก็อยู่ที่มุมมองและความคิดของเรา
การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ
[CR] [Review] The Shape of Water (2017) เดอะ เชพ ออฟ วอเทอร์
เรื่องของความรักเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครครับ บางทีแค่พบกันเพียงครั้งเดียวก็อาจจะประทับใจจนเกิดเป็นความรัก หรือบางครั้งต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ กว่าจะรักกัน แต่บางครั้งความรักเองก็มีอุปสรรคที่จะต้องฝ่าฟันกันกว่าจะครองรักกันได้ ซึ่งหลักๆ ก็มักจะเนื่องมาจากความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ รักต่างชนชั้น ระหว่างคนรวยกับคนจน รักต่างศาสนา หรือ รักต่างเชื้อชาติที่ปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ ความรักในเรื่องจะเป็นรักต่างสายพันธุ์ที่มีบางสิ่งบางอย่างมาเชื่อมทั้งสองให้มาอยู่ด้วยกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวดราม่าแฟนตาซี แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าเป็นโรแมนติกดาร์คแฟนตาซีเสียมากกว่า เป็นผลงานกำกับของผู้กำกับสุดแนวชาวเม็กซิกัน กิลเยร์โม เดล โทโร่ ที่เคยสร้างชื่อจาก Pan’s Labyrinth (2006) และ Hellboy I&II นำแสดงโดยดาราสาวมากฝีมือ แซลลี่ ฮอว์กินส์ ร่วมด้วย ไมเคิล แชนนอน ริชาร์ด เจนกินส์ ไมเคิล สตูห์ลบาร์ก และ ออกตาเวีย สเปนเซอร์
หนังบอกเล่าเรื่องราวของเอไลซ่า ( ฮอว์กินส์ ) สาวใบ้ผู้อาศัยอยู่บนโรงหนัง ซึ่งมี ไจลส์ (เจนกินส์) ชายโสดวัยกลางคนเป็นเพื่อนบ้านอยู่ห้องข้างกัน โดยเอไลซ่านั้นมีอาชีพเป็นแม่บ้านทำความสะอาดอยู่ที่ศูนย์วิจัยลับแห่งหนึ่งในบัลติมอร์ เอไลซ่ามีเพื่อนร่วมงานที่สนิทเพียงคนเดียวก็คือ เซลด้า(สเปนเซอร์)ที่แลดูจะเข้าอกเข้าใจเธอที่สุด ซึ่งตลอดมาชีวิตประจำวันของเอลซ่าก็เรียบง่ายและเหมือนเดิมมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้พันสตริกแลนด์ (แชนนอน) เจ้าหน้าที่ของรัฐได้นำสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายครึ่งคนครึ่งปลามาจากทะเลในอเมริกาใต้เพื่อทำการวิจัย โดยเอไลซ่าเองก็ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องวิจัยนั้น เมื่อระยะเวลาผ่านไป เอไลซ่าก็ได้รับรู้อะไรบางอย่างว่า แท้ที่จริงสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งปลานั้นมีความสามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจมนุษย์ได้ ซึ่งเอไลซ่าก็แอบสอนและเอาอาหารมาให้จนเกิดความผูกพัน แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เธอจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นไปให้ได้
สำหรับการดำเนินเรื่องของหนังนั้น บอกก่อนว่าใครคาดหวังว่าจะเป็นหนังโรแมนติกหวานแหวว หรือจะเป็นแนวความสัมพันธ์ต่างสายพันธุ์อย่าง อี.ที. สำหรับเรื่องนี้นั้นไม่ใช่แนวอย่างหนังที่กล่าวไว้ แต่หนังจะเป็นแนวดาร์กๆ แฟนตาซีๆ หน่อย เป็นการผสมผสานในสิ่งที่ตรงกันข้ามได้อย่างลงตัว ซึ่งในหนังเราจะเห็นฉากเลือดสาดที่มีให้เห็นจะๆ แบบไม่หมกเม็ด ซึ่งมันตัดกับฉากโรแมนติก ซึ่งฉากโรแมนซ์ก็ช่างหวานแหววซะเหลือเกิน โดยในฉากใช้เพลงในยุคซิกตี้เป็นเพลงประกอบ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องขอชมผู้กำกับที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ หรือความคิดของเอไลซ่าที่เป็นใบ้ให้เราได้รับรู้ได้อย่างชาญฉลาด โดยในขณะที่กล้องถ่ายสีหน้าท่าทางของเธอ และสิ่งที่เธอคิดอยู่ข้างใน หนังก็จะใช้เพลงหรือเสียงในรายการทางโทรทัศน์เป็นเสียงแทนคำพูดของเธอ ทำให้เราสามารถรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร ส่วนบรรยากาศในหนัง หนังก็จะให้บรรยากาศในช่วงยุค 1960s ซึ่งในช่วงนั้นสงครามเย็นระหว่างอเมริกากับโซเวียตกำลังเข้มข้นที่ทั้งสองชาติมหาอำนาจกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในเรื่องของอวกาศ ที่แลดูว่าโซเวียตจะนำหน้าอเมริกาไปอยู่หนึ่งก้าว รวมไปถึงอารมณ์ประชาชนในอเมริกาที่แลดูจะกลัวโซเวียตมาแทรกซึมในประเทศเสียเหลือเกิน นอกจากนั้นหนังยังสะท้อนถึงสังคมอเมริกันในยุคนั้นที่ยังไม่ให้การยอมรับความหลากหลายทางเพศ หรือมีการเหยียดสีผิวที่มีให้เราเห็นอย่างชัดเจน ส่วนโทนของหนังเรื่องนี้ที่ใช้ถ่ายทำก็จะใช้โทนมืดๆ เน้นกลางคืนเป็นหลัก อาจไม่ถึงขั้นกับเรียกว่าฟิล์มนัวร์ แต่บรรยากาศบางช่วงก็ทำเรารู้สึกอึดอัดได้พอสมควร สำหรับเสื้อผ้าหน้าผมหนังก็สามารถจัดออกมาได้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างเนียนตา รวมไปถึงตึกรามบานช่องที่ทำออกมาได้ดี
สำหรับการแสดง เริ่มจากแซลลี่ ฮอว์กินส์ในบทของเอไลซ่า สาวใบ้ตัวเอกของเรื่องเลย ผมมองว่าเธอน่าจะถูกโฉลกกับบทประเภทนี้นะ ประมาณผู้หญิงที่อาจจะมีร่างกายบกพร่องที่แลดูอ่อนแอ แต่แท้ที่จริงแข็งแกร่งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ถ้าใครเคยดูเรื่อง Maudie (2016) ที่เธอเล่นคู่กับอีธาน ฮอว์ค จะเป็นประมาณนั้นเลยครับแต่เรื่องนี้เธอจะถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้งกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าต้องเป็นใบ้ด้วย เล่นดี ซึ่งเมื่อเราดูไปเรื่อยๆ เสน่ห์ของเธอจะค่อยๆ ฉายให้เราเห็นทีละนิดๆ ยอมรับว่ายิ้มของเธอนั้นทำให้เธอสวยเลยทีเดียว ส่วนบทของผู้พันสตริกแลนด์โดยไมเคิล แชนนอนนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีย์ Broadwalk Empire ที่แกเล่นเป็นเจ้าหน้าที่เนลสัน แวน อัลเดน เรื่องนี้จะเป็นแบบนั้นเลยครับ จะเป็นคนเคร่งครัดระเบียบจัด ปราศจากอารมณ์ขัน หน้าเครียดตลอดเวลา และเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่รู้ว่าผู้กำกับแกชอบแชนนอนจากบทนั้นรึป่าว เลยเอาคาแรคเตอร์ในเรื่องนั้นมาใส่ในผู้พันสตริกแลนด์ ส่วนเจนกินส์ ในบทของไจลส์ เรื่องนี้ก็เล่นได้ดีนะครับ เขาเล่นเป็นชายกลางคนที่มีหัวในทางศิลปะทุกแขนงซึ่งคอยเล่าคอยคุยกับเอไลซ่า เขามักรำพึงรำพันในโชคชะตาของตนอยู่เสมอ แถมยังเป็นคนตกยุคโดยไม่รู้ตัวเพราะมัวอยู่แต่ในโลกส่วนตัว แต่เมื่อถึงยามคับขัน เขาก็พร้อมเป็นที่พึ่งของเอไลซ่าได้อย่างดี ในบทของเซลด้า เพื่อนสนิทของเอไลซ่า สเปนเซอร์เล่นได้ดีครับ ทำให้เรานึกถึงภาพพนักงานผิวสีที่ขี้บ่นตลอดเวลา เธอแสดงสีหน้าท่าทางได้เนียนตาทีเดียว ส่วนอีกคนที่ต้องพูดถึงครับสำหรับการแสดงของสตูห์ลบาร์กในบทของหัวหน้านักวิจัย ดร.ฮอฟสเตทเลอร์ เล่นดีครับ สตูห์ลบาร์กเล่นบทได้ฉีกแนวตลอดเรียกว่าดาราเจ้าบทบาทก็ว่าได้ครับ ให้จับตาดูครับสำหรับตัวละครตัวนี้
สำหรับเรื่องนี้ผมให้ 8.5 เต็ม 10 ครับ หักตรงที่การใช้โทนสีของหนังมันทำให้รู้สึกอึดอัดไปนิดนึง กับอารมณ์ของหนังที่ผมมองว่ามันยังไม่สุดเท่าไหร่ จะซึ้งก็ซึ้งไม่สุด หรือจะเศร้าก็เศร้าไม่สุด น่าจะเอาให้สุดก็จะแจ่มมากๆ เลยครับ แต่อย่างไรก็ตาม หนังเองก็ได้ให้แง่คิดกับเราหลายๆ อย่างโดยเฉพาะความงดงามของความรัก ที่ความรักมันเกิดขึ้นมาเมื่อใด มันย่อมงดงามเสมอ หรือการตัดสินคนนั้น เราก็ไม่ควรมองแต่เฉพาะเปลือก เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดเช่นนั้นก็ได้ แถมท้ายสุดหนังเรื่องนี้นั้นก็ต่อยอดความคิดให้กับเราได้คิดตามเอง ว่าบทสรุปของหนังนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นก็อยู่ที่มุมมองและความคิดของเรา
การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ