Part 1 ย้อนกลับไปเริ่มต้นที่มาของทริปนี้กันก่อนนะ--->
https://ppantip.com/topic/37327127
Part 2 ไปเที่ยวกันต่อ --->
https://ppantip.com/topic/37327215
การผจญภัยยังไม่จบ..
มูรมานส์ “MURMANSK”
ล่าแสงเหนือ ขี่กวาง งับหิมะกันไป
10 เม.ย บินลัดฟ้า มอสโก — มูรมานส์
วันนีจริงๆ ไม่มีอะไรมาก เตรียมตัวเก็บของก็หมดไปครึ่งวัน ใช้เวลาเดินทางจาก มอสโกถึงมูรมานส์ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราเลือกไฟล์ท 3 โมง เพื่อให้ถึงที่มูรมานส์เย็นพอดี และตอนเช้าไม่รีบมากนัก
เรานัด Taxi โรงแรมมารับ เพื่อความปลอดภัยและทรัพย์สิน
สนามบินที่ Murmansk ไม่ใหญ่มาก คล้ายๆ สนามบินต่างจังหวัดบ้านเรา พอตรวจต.ม เสร็จก็เดินออกไปสบายๆ และก็เจอชื่อตัวเองอยู่บนป้าย
คนขับ Taxi พูดภาษาอังกฤษป๋อเลย…ในใจตอนนั้น สบายใจมาก อย่างน้อยก็คุยกันรู้เรื่อง และการเดินทางในมูรมานส์ก็ได้คนขับ Taxi นี่แหละ เป็นไกด์ส่วนตัว
เรื่องมีอยู่ว่า….ก่อนหน้าที่เราจะตัดสินใจเที่ยวที่มูรมานส์ต่อจากมอสโก ก็เพราะคุณแฟนตัวดี ที่พยายามบิ้วอารมณ์ว่ารัสเซียมันดีนะเธอ มีกวางให้ขี่ มีฟาร์มฮัสกี้ มีหิมะปุยๆ หนาวๆ เลยนะ เราก็เห็นว่า มันก็แปลกตาไปน่าสนใจดี (หรือยุขึ้นก็ไม่รู้) ก็เลยลองศึกษาว่า ต้องไปอย่างไร สถานที่ ที่คนไปเที่ยวมีที่ไหนบ้าง และต้องติดต่ออย่างไร
ซึ่งเราได้ข้อมูลของไกด์คนหนึ่งในเวบบล๊อคไทยทั่วไป และก็หาข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวที่นี่ เราก็ได้อีเมลล์ของเขามา หลังจากนั้นก็ไม่รอช้า สอบถามทุกอย่างเรียบร้อย แต่ปัญหาคือ…..คุยยากมาก เพราะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ และไม่มีการตกลงจริงจัง (ไม่มีมัดจำ และหลักฐานอะไร) แต่เราก็เชื่อใจเค้านะ คุยกันเรื่องราคาแบบปากเปล่า และนัดแนะว่าเราจะไปถึงที่นั่นวันไหน กี่โมง
เรารู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า และไม่เชื่อมั่นเอาซะเลย
หลังจากที่ Taxi มารับเค้าก็ชวนคุยตามประสาทั่วไปว่ามาทำอะไร เที่ยวเหรอ ไปดูแสงเหนือมั้ย ไปไหนบ้างรึเปล่า เค้าพาไปได้นะ
ตอนนั้นตาลุกวาว เพราะเอาจริงๆ คือยังไม่รู้เลยว่าไกด์ที่เราติดต่อไว้ในตอนแรกจะมารับเราจริงๆ รึเปล่า…และแน่นอนว่ามาที่นี่ต้องไปล่าแสงเหนือ “AURORA HUNTING” เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่มีเขตชายแดนติดกับฟินแลนด์ ทำให้การเห็นแสงเหนือในช่วงฤดูหนาวมีความเป็นไปได้ และเป็นประเทศที่เราไม่ต้องขอวีซ่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกมาล่าแสงเหนือที่นี่
และเราก็อยากไป “SAAMI VILLAGE” จริงๆ สถานที่พวกนี้เปิดหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตทั้งนั้นแหละ และแน่นอนว่าแฟนเราชอบสัตว์ เค้าจึงอยากที่จะไป “HUSKY FARM” และเราก็ได้พูดคุยกับคนขับ Taxi ซึ่งเค้าให้ความช่วยเหลือเราโดยการโทรไปสอบถาม HUSKY FARM และได้ข้อมูลว่า จะต้องทำการจองมาก่อนเท่านั้นถึงจะได้เข้าไป นั่นไง! ไกด์คนแรกที่ติดต่อไว้ไม่ได้บอก จบข่าว อดไปตามระเบียบ เราจึงบอกคนขับ Taxi ว่า แล้วที่ SAAMI VILLAGE หล่ะ เค้าก็โทรสอบถามให้ และให้ข้อมูลเราว่า หากจะไปที่นี่จะมีค่าเข้า 1500 รูเบิล ราคานี้รวม กิจกรรมของหมู่บ้าน นั่งกวางซิ่ง บานาน่าโบ๊ทกลางหิมะ และซุปก่อนกลับ 1 ถ้วย โดยไม่รวมค่าเดินทางประมาณ 6 พันรูเบิล (ไม่รวมทิป) และเราถึงกับหูผึ่ง เพราะค่าใช้จ่ายที่ไกด์คนแรกเรียกเก็บเรา มันโหดกว่านี้อีก 3 เท่าตัว แน่นอนว่าเราตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ไหนๆ ก็ถูกกว่า และเฟรนลี่มาก บวกกับความไม่แน่นอนของไกด์คนแรก ที่ไม่รู้ว่าจะได้เที่ยวหรือเปล่า เราจึงตัดสินใจจ้างเค้าพาเที่ยว โดยคืนแรก ไปล่าแสงเหนือ และวันที่สองไป SAAMI VILLAGE
การเดินทางที่มูรมานส์…สบายมากเพราะเรานั่งรถกับแฟน 2 คน พี่คนขับก็ขับพาไป
เริ่มจากวันแรกที่ “ล่าแสงเหนือ” อ่อ….เราลืมแนะนำชื่อไกด์ พี่แกชื่อ ดีม่า “Dima”
ดีม่านัดเราตอนสี่ทุ่ม และตรงเวลามาก เราเริ่มออกเดินทางไปยังภูเขา โดยใช้เวลาจากที่พักราวๆ 1 ชั่วโมง ตอนนั้นอากาศติดลบลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ ลบห้า หก เจ็ด จนเป็น ลบสิบสาม ซึ่งหนาวขี้หดเลยจริงๆ เพราะขนาดแฟนเราที่ว่าชอบอากาศเย็นๆ ยังแทบไม่ไหว
จุดที่ 1 ดีม่าโชว์รูปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนให้เราดู….เห้ย! สวยมาก เราจะมีบุญกับเค้าไหม? ดีม่าพยายามลั่นชัตเตอร์ดูว่าพอจะมีโอกาสเห็นแสงบ้างหรือเปล่า ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ดีม่าก็กลับเข้ารถ แล้วเอาชาที่เตรียมมา แบ่งเราสองคน เพื่อรอให้ถึงเที่ยงคืน ตามพยากรณ์อากาศบอกว่าฟ้าจะโปร่งกว่านี้ (ต้องบอกว่าที่นี่ สี่ห้าทุ่มฟ้ายังไม่มืดเท่าไหร่ ยิ่งทำให้การล่าแสงเหนือของเราคืนนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก)
จนเที่ยงคืน เราก็ยังไม่เห็นแสงอะไร เพราะเมฆเยอะมาก แต่….พี่ดีม่าของเราไม่ยอมแพ้ พาพวกเราขับไปอีกจุดหนึง ซึ่งขับประมาณครึ่งชั่วโมงได้
จุดที่ 2 เป็นอีกจุดมีนักท่องเที่ยวที่น่าจะมากับกรุปทัวร์ยืนรออยู่ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ทำให้เราเห็นแสงลิบหรี่ ลิบหรี่จริงๆ แต่ก็มหัศจรรย์ดีนะ เพราะเรามองด้วยตาเปล่ามันคล้ายๆ แสงไฟสีขาวๆ สว่างๆ แต่พอถ่ายภายพออกมากลับออกสีแดงๆ เขียวๆ ในจุดนี้บอกเลยว่าเริ่มมีความหวัง จนผ่านไปครึ่งชั่วโมง เราก็ยังไม่เห็นริ้วแสงอะไรเลย (เริ่มแอบเศร้า เพราะเมฆไม่มีวี่แววจะน้อยลงเลย) และพี่ดีม่าของเรา ด้วยความใจร้อน พี่แกจึงพาเรามุ่งหน้าไปอีกจุดหนึง
จุดที่ 3 จุดนี้เป็นจุดที่ห่างออกมาประมาณ 20 นาทีได้ เป็นที่โล่งๆ เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมจนแยกไม่ออกว่า ถนนอยู่ตรงไหนบ้าง และดีม่าก็โชว์รูปให้เราดูอีกรอบ และบอกว่า ที่นี่ก็เป็นอกจุดที่เราเห็นเมื่อสองอาทิตย์ก่อน (เอิ่ม…แล้ววันนี้หล่ะ)
ผ่านไปประมาณ 15 นาทีเหมือนยืนเป็นชั่วโมงเพราะหนาวเหน็บมาก แฟนเราเริ่มเหนื่อยและเพลียมาก เพราะตอนนั้นน่าจะตีสองได้
และพี่ดีม่าของเราเป็นคนที่มีความอดทน และความพยายามสูงลิบมาก บอกเราว่า จะพาไปเขาอีกลูก เพื่อไปดูว่ามีไหม เพราะในพยากรณ์อากาศบอกว่ามีนะ
เรากับแฟนรีบบอกอย่างไม่รอช้าว่า “ It’s okay , no worry. We understand.
ในใจคิดว่า รอบนี้ไม่มีบุญได้เห็น ต้องกลับมาใหม่ให้ได้รอบหน้า เราจึงหลับตา…
ตื่นมาอีกทีเราเห็นไฟในตัวเมืองลิบๆ คิดว่าอีกไม่นานคงถึงโรงแรม ส่วนแฟนเราก็สลบตลอดทาง
นั่งไปสักพัก เอ…ทำไมไม่เลี้ยวเข้าเมืองสักที
โอ้วแม่เจ้า….ต้องอุทาน! เพราะคุณพี่ดีม่า พาข้ามไปเขาอีกลูก ต้องบอกว่า มูรมานส์ เป็นเมืองที่โอบล้อมด้วยภูเขา จึงสามารถขึ้นภูเขาได้สองทาง และด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด พี่แกพาไป “ล่า” แสงเหนืออีกฝั่งของภูเขา
และจุดสุดท้าย…เราก็ยังไม่มีบุญจริงๆ เราเห็นเพียงฟ้าที่สว่างมากๆ แต่เต็มไปด้วยเมฆ และพระอาทิตย์ก็กำลังจะขึ้นมาทักทายเราอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านาฬิกาบอกเวลา “เกือบตีสี่”
…กลับถึงที่พักก็หลับเป็นตายสำหรับคืนแรก…
11 เม.ย ไปเที่ยวต่อสิรออะไร
เที่ยงตรงหลังจากที่เราหลับเต็มอิ่ม และพักจนหายเหนื่อยจากการล่าแสงเหนือเมื่อคืน ดีม่า ก็มารอรับเราที่โรงแรม และมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านพื้นเมือง SAAMI
2 ชั่วโมงผ่านไป เราก็ถึงจุดมุ่งหมาย (ไกลพอสมควร แต่ก็นั่งดูข้างทางเพลินๆ) ส่วนแฟนเราก็ยังคงหลับเอาแรงในทุกโอกาสที่มี 5555
ที่นี่เป็นหมู่บ้านพื้นเมืองของชาว SAAMI ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่แล้ว บ้างก็ไปอยู่ในเมือง บ้างก็อาศัยอยู่ตามชายเขากับครอบครัว แต่สถานที่แห่งนี้ยังอนุรักษ์ความเป็นชาว SAAMI อยู่ ทั้งการอาศัยอยู่ในโจม ที่จำลองไว้ให้เราชม การทำเครื่องนุ่งห่มจากขนกวาง หรือ รองเท้าหนังกวาง และกิจกรรมยามว่างของชนเผ่าที่นี่ ซึ่งคนที่อธิบายให้ฟังไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ ฉะนั้นถ้าจะไปควรมีคนแปลให้เราฟัง จะได้เข้าใจ…ส่วนเราน่ะเหรอ ได้อานิสงค์จากกรุปอื่นๆ ที่เค้ามีคนแปลให้ (ภาษาอังกฤษนะ) แต่เค้าอธิบายง่ายๆ เราก็เลยพอเข้าใจ
…และสิ่งที่เราประทับใจที่สุด ก็คือ กวางซิ่งของคุณลุงที่เป็นคนดูแลที่นี่ เพราะแกพาเรานั่งม้านั่งที่ใช้กวางวิ่ง ซึ่งต้องบอกเลยว่า อย่านั่งด้านหน้านะ ให้นั่งท้ายๆ ไว้ เพราะเราพลาดมาแล้วและไม่อยากให้คนอื่นพลาดเหมือนเรา ทั้งขี้กวาง ทั้งเกล็ดหิมะ ทุกอย่างถาโถมเข้ามาอย่างไม่ยั้ง เต็มหน้าสิ! แถมยังอ้าปากร้องด้วยความมันส์ จนลืมไปว่า นั่นขี้กวางเลยนะ 555 แต่ด้วยอากาศที่เย็น และบวกกับความสนุกก็เลยลืมไปเลย มารู้อีกทีว่าขี้กวางเต็มหน้าก็ตอนจอดเทียบท่าเนี่ยหล่ะ
เวลาที่เรามีความสุข มักผ่านไปเร็วเสมอ ประโยคนี้ยังคงใช้ได้กับทุกทริปจริงๆ
ได้เวลากลับโรงแรม เตรียมเก็บกระเป๋า พรุ่งนี้ก็กลับบ้านแล้วสินะ
12 เม.ย ตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัว เพื่อรอไกด์คนดี พี่ดีม่ามารับตอนแปดโมงเช้า เพราะเราเลือกที่จะบินไฟล์ทสิบโมง เพื่อไปถึงสนามบิน SVO ช่วงเที่ยงๆบ่ายๆ จะได้มีเวลาเหลือๆ แล้วเชื่อไหมว่า เราก็เหลือเวลาจริงๆ เพราะไฟล์ที่กลับเมืองไทยมัน 1 ทุ่มเลยนะ
รอต่อไป….จนกระทั่ง
หนึ่งทุ่มยี่สิบ กลับแล้วนะมอสโก
บินลัดฟ้าต่ออีก 10 ชั่วโมง
สวัสดีประเทศไทย…
สุดท้ายนี้ เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่คิดว่าคนที่หาข้อมูลการเที่ยวรัสเซียอยู่น่าจะได้ประโยชน์มาก
1. การเข้าตรวจ ต.ม ในประเทศรัสเซีย ไม่ว่าจะสนามบินไหนให้เลือกช่องที่เป็นผู้หญิงตรวจ (เชื่อเรา แล้วคุณจะไม่เสียเวลาแน่นอน)
2. ของกินที่รัสเซีย ถ้าเอาประหยัดให้เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตนะ (แต่ต้องไม่ใช่ในห้างสรรพสินค้า)
3. ของฝากราคาถูกสุดในมอสโก คือ ที่ตลาด Izmailovsky
4. Chocolate หน้าเด็กที่ถูกสุดก็อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตนั่นแหละ
5. การดูแผนที่รถไฟฟ้าใต้ดินให้ดูเป็นภาษารัสเซียดีที่สุด
6. แลกเงินจากเมืองไทยให้พอ เพราะที่รัสเซียหาที่แลกเงินในเมืองยาก และได้ราคาน้อยกว่าบ้านเรา (รัสเซียไม่นิยมใช้ดอลล่าร์นอกจากรูเบิล)
ขอให้ทุกท่านเที่ยวให้สนุกนะคะ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า
ทริปรัสเซีย…เมียขอมา [ เรื่องเล่าสัพเพเหระเผื่อไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนกำลังแพลนไปเที่ยวรัสเซีย ] PART3
Part 2 ไปเที่ยวกันต่อ --->https://ppantip.com/topic/37327215
การผจญภัยยังไม่จบ..
มูรมานส์ “MURMANSK”
ล่าแสงเหนือ ขี่กวาง งับหิมะกันไป
10 เม.ย บินลัดฟ้า มอสโก — มูรมานส์
วันนีจริงๆ ไม่มีอะไรมาก เตรียมตัวเก็บของก็หมดไปครึ่งวัน ใช้เวลาเดินทางจาก มอสโกถึงมูรมานส์ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราเลือกไฟล์ท 3 โมง เพื่อให้ถึงที่มูรมานส์เย็นพอดี และตอนเช้าไม่รีบมากนัก
เรานัด Taxi โรงแรมมารับ เพื่อความปลอดภัยและทรัพย์สิน
สนามบินที่ Murmansk ไม่ใหญ่มาก คล้ายๆ สนามบินต่างจังหวัดบ้านเรา พอตรวจต.ม เสร็จก็เดินออกไปสบายๆ และก็เจอชื่อตัวเองอยู่บนป้าย
คนขับ Taxi พูดภาษาอังกฤษป๋อเลย…ในใจตอนนั้น สบายใจมาก อย่างน้อยก็คุยกันรู้เรื่อง และการเดินทางในมูรมานส์ก็ได้คนขับ Taxi นี่แหละ เป็นไกด์ส่วนตัว
เรื่องมีอยู่ว่า….ก่อนหน้าที่เราจะตัดสินใจเที่ยวที่มูรมานส์ต่อจากมอสโก ก็เพราะคุณแฟนตัวดี ที่พยายามบิ้วอารมณ์ว่ารัสเซียมันดีนะเธอ มีกวางให้ขี่ มีฟาร์มฮัสกี้ มีหิมะปุยๆ หนาวๆ เลยนะ เราก็เห็นว่า มันก็แปลกตาไปน่าสนใจดี (หรือยุขึ้นก็ไม่รู้) ก็เลยลองศึกษาว่า ต้องไปอย่างไร สถานที่ ที่คนไปเที่ยวมีที่ไหนบ้าง และต้องติดต่ออย่างไร
ซึ่งเราได้ข้อมูลของไกด์คนหนึ่งในเวบบล๊อคไทยทั่วไป และก็หาข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวที่นี่ เราก็ได้อีเมลล์ของเขามา หลังจากนั้นก็ไม่รอช้า สอบถามทุกอย่างเรียบร้อย แต่ปัญหาคือ…..คุยยากมาก เพราะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ และไม่มีการตกลงจริงจัง (ไม่มีมัดจำ และหลักฐานอะไร) แต่เราก็เชื่อใจเค้านะ คุยกันเรื่องราคาแบบปากเปล่า และนัดแนะว่าเราจะไปถึงที่นั่นวันไหน กี่โมง
เรารู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า และไม่เชื่อมั่นเอาซะเลย
หลังจากที่ Taxi มารับเค้าก็ชวนคุยตามประสาทั่วไปว่ามาทำอะไร เที่ยวเหรอ ไปดูแสงเหนือมั้ย ไปไหนบ้างรึเปล่า เค้าพาไปได้นะ
ตอนนั้นตาลุกวาว เพราะเอาจริงๆ คือยังไม่รู้เลยว่าไกด์ที่เราติดต่อไว้ในตอนแรกจะมารับเราจริงๆ รึเปล่า…และแน่นอนว่ามาที่นี่ต้องไปล่าแสงเหนือ “AURORA HUNTING” เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่มีเขตชายแดนติดกับฟินแลนด์ ทำให้การเห็นแสงเหนือในช่วงฤดูหนาวมีความเป็นไปได้ และเป็นประเทศที่เราไม่ต้องขอวีซ่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกมาล่าแสงเหนือที่นี่
และเราก็อยากไป “SAAMI VILLAGE” จริงๆ สถานที่พวกนี้เปิดหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตทั้งนั้นแหละ และแน่นอนว่าแฟนเราชอบสัตว์ เค้าจึงอยากที่จะไป “HUSKY FARM” และเราก็ได้พูดคุยกับคนขับ Taxi ซึ่งเค้าให้ความช่วยเหลือเราโดยการโทรไปสอบถาม HUSKY FARM และได้ข้อมูลว่า จะต้องทำการจองมาก่อนเท่านั้นถึงจะได้เข้าไป นั่นไง! ไกด์คนแรกที่ติดต่อไว้ไม่ได้บอก จบข่าว อดไปตามระเบียบ เราจึงบอกคนขับ Taxi ว่า แล้วที่ SAAMI VILLAGE หล่ะ เค้าก็โทรสอบถามให้ และให้ข้อมูลเราว่า หากจะไปที่นี่จะมีค่าเข้า 1500 รูเบิล ราคานี้รวม กิจกรรมของหมู่บ้าน นั่งกวางซิ่ง บานาน่าโบ๊ทกลางหิมะ และซุปก่อนกลับ 1 ถ้วย โดยไม่รวมค่าเดินทางประมาณ 6 พันรูเบิล (ไม่รวมทิป) และเราถึงกับหูผึ่ง เพราะค่าใช้จ่ายที่ไกด์คนแรกเรียกเก็บเรา มันโหดกว่านี้อีก 3 เท่าตัว แน่นอนว่าเราตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ไหนๆ ก็ถูกกว่า และเฟรนลี่มาก บวกกับความไม่แน่นอนของไกด์คนแรก ที่ไม่รู้ว่าจะได้เที่ยวหรือเปล่า เราจึงตัดสินใจจ้างเค้าพาเที่ยว โดยคืนแรก ไปล่าแสงเหนือ และวันที่สองไป SAAMI VILLAGE
การเดินทางที่มูรมานส์…สบายมากเพราะเรานั่งรถกับแฟน 2 คน พี่คนขับก็ขับพาไป
เริ่มจากวันแรกที่ “ล่าแสงเหนือ” อ่อ….เราลืมแนะนำชื่อไกด์ พี่แกชื่อ ดีม่า “Dima”
ดีม่านัดเราตอนสี่ทุ่ม และตรงเวลามาก เราเริ่มออกเดินทางไปยังภูเขา โดยใช้เวลาจากที่พักราวๆ 1 ชั่วโมง ตอนนั้นอากาศติดลบลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ ลบห้า หก เจ็ด จนเป็น ลบสิบสาม ซึ่งหนาวขี้หดเลยจริงๆ เพราะขนาดแฟนเราที่ว่าชอบอากาศเย็นๆ ยังแทบไม่ไหว
จุดที่ 1 ดีม่าโชว์รูปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนให้เราดู….เห้ย! สวยมาก เราจะมีบุญกับเค้าไหม? ดีม่าพยายามลั่นชัตเตอร์ดูว่าพอจะมีโอกาสเห็นแสงบ้างหรือเปล่า ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ดีม่าก็กลับเข้ารถ แล้วเอาชาที่เตรียมมา แบ่งเราสองคน เพื่อรอให้ถึงเที่ยงคืน ตามพยากรณ์อากาศบอกว่าฟ้าจะโปร่งกว่านี้ (ต้องบอกว่าที่นี่ สี่ห้าทุ่มฟ้ายังไม่มืดเท่าไหร่ ยิ่งทำให้การล่าแสงเหนือของเราคืนนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก)
จนเที่ยงคืน เราก็ยังไม่เห็นแสงอะไร เพราะเมฆเยอะมาก แต่….พี่ดีม่าของเราไม่ยอมแพ้ พาพวกเราขับไปอีกจุดหนึง ซึ่งขับประมาณครึ่งชั่วโมงได้
จุดที่ 2 เป็นอีกจุดมีนักท่องเที่ยวที่น่าจะมากับกรุปทัวร์ยืนรออยู่ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ทำให้เราเห็นแสงลิบหรี่ ลิบหรี่จริงๆ แต่ก็มหัศจรรย์ดีนะ เพราะเรามองด้วยตาเปล่ามันคล้ายๆ แสงไฟสีขาวๆ สว่างๆ แต่พอถ่ายภายพออกมากลับออกสีแดงๆ เขียวๆ ในจุดนี้บอกเลยว่าเริ่มมีความหวัง จนผ่านไปครึ่งชั่วโมง เราก็ยังไม่เห็นริ้วแสงอะไรเลย (เริ่มแอบเศร้า เพราะเมฆไม่มีวี่แววจะน้อยลงเลย) และพี่ดีม่าของเรา ด้วยความใจร้อน พี่แกจึงพาเรามุ่งหน้าไปอีกจุดหนึง
จุดที่ 3 จุดนี้เป็นจุดที่ห่างออกมาประมาณ 20 นาทีได้ เป็นที่โล่งๆ เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมจนแยกไม่ออกว่า ถนนอยู่ตรงไหนบ้าง และดีม่าก็โชว์รูปให้เราดูอีกรอบ และบอกว่า ที่นี่ก็เป็นอกจุดที่เราเห็นเมื่อสองอาทิตย์ก่อน (เอิ่ม…แล้ววันนี้หล่ะ)
ผ่านไปประมาณ 15 นาทีเหมือนยืนเป็นชั่วโมงเพราะหนาวเหน็บมาก แฟนเราเริ่มเหนื่อยและเพลียมาก เพราะตอนนั้นน่าจะตีสองได้
และพี่ดีม่าของเราเป็นคนที่มีความอดทน และความพยายามสูงลิบมาก บอกเราว่า จะพาไปเขาอีกลูก เพื่อไปดูว่ามีไหม เพราะในพยากรณ์อากาศบอกว่ามีนะ
เรากับแฟนรีบบอกอย่างไม่รอช้าว่า “ It’s okay , no worry. We understand.
ในใจคิดว่า รอบนี้ไม่มีบุญได้เห็น ต้องกลับมาใหม่ให้ได้รอบหน้า เราจึงหลับตา…
ตื่นมาอีกทีเราเห็นไฟในตัวเมืองลิบๆ คิดว่าอีกไม่นานคงถึงโรงแรม ส่วนแฟนเราก็สลบตลอดทาง
นั่งไปสักพัก เอ…ทำไมไม่เลี้ยวเข้าเมืองสักที
โอ้วแม่เจ้า….ต้องอุทาน! เพราะคุณพี่ดีม่า พาข้ามไปเขาอีกลูก ต้องบอกว่า มูรมานส์ เป็นเมืองที่โอบล้อมด้วยภูเขา จึงสามารถขึ้นภูเขาได้สองทาง และด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด พี่แกพาไป “ล่า” แสงเหนืออีกฝั่งของภูเขา
และจุดสุดท้าย…เราก็ยังไม่มีบุญจริงๆ เราเห็นเพียงฟ้าที่สว่างมากๆ แต่เต็มไปด้วยเมฆ และพระอาทิตย์ก็กำลังจะขึ้นมาทักทายเราอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านาฬิกาบอกเวลา “เกือบตีสี่”
…กลับถึงที่พักก็หลับเป็นตายสำหรับคืนแรก…
11 เม.ย ไปเที่ยวต่อสิรออะไร
เที่ยงตรงหลังจากที่เราหลับเต็มอิ่ม และพักจนหายเหนื่อยจากการล่าแสงเหนือเมื่อคืน ดีม่า ก็มารอรับเราที่โรงแรม และมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านพื้นเมือง SAAMI
2 ชั่วโมงผ่านไป เราก็ถึงจุดมุ่งหมาย (ไกลพอสมควร แต่ก็นั่งดูข้างทางเพลินๆ) ส่วนแฟนเราก็ยังคงหลับเอาแรงในทุกโอกาสที่มี 5555
ที่นี่เป็นหมู่บ้านพื้นเมืองของชาว SAAMI ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่แล้ว บ้างก็ไปอยู่ในเมือง บ้างก็อาศัยอยู่ตามชายเขากับครอบครัว แต่สถานที่แห่งนี้ยังอนุรักษ์ความเป็นชาว SAAMI อยู่ ทั้งการอาศัยอยู่ในโจม ที่จำลองไว้ให้เราชม การทำเครื่องนุ่งห่มจากขนกวาง หรือ รองเท้าหนังกวาง และกิจกรรมยามว่างของชนเผ่าที่นี่ ซึ่งคนที่อธิบายให้ฟังไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ ฉะนั้นถ้าจะไปควรมีคนแปลให้เราฟัง จะได้เข้าใจ…ส่วนเราน่ะเหรอ ได้อานิสงค์จากกรุปอื่นๆ ที่เค้ามีคนแปลให้ (ภาษาอังกฤษนะ) แต่เค้าอธิบายง่ายๆ เราก็เลยพอเข้าใจ
…และสิ่งที่เราประทับใจที่สุด ก็คือ กวางซิ่งของคุณลุงที่เป็นคนดูแลที่นี่ เพราะแกพาเรานั่งม้านั่งที่ใช้กวางวิ่ง ซึ่งต้องบอกเลยว่า อย่านั่งด้านหน้านะ ให้นั่งท้ายๆ ไว้ เพราะเราพลาดมาแล้วและไม่อยากให้คนอื่นพลาดเหมือนเรา ทั้งขี้กวาง ทั้งเกล็ดหิมะ ทุกอย่างถาโถมเข้ามาอย่างไม่ยั้ง เต็มหน้าสิ! แถมยังอ้าปากร้องด้วยความมันส์ จนลืมไปว่า นั่นขี้กวางเลยนะ 555 แต่ด้วยอากาศที่เย็น และบวกกับความสนุกก็เลยลืมไปเลย มารู้อีกทีว่าขี้กวางเต็มหน้าก็ตอนจอดเทียบท่าเนี่ยหล่ะ
เวลาที่เรามีความสุข มักผ่านไปเร็วเสมอ ประโยคนี้ยังคงใช้ได้กับทุกทริปจริงๆ
ได้เวลากลับโรงแรม เตรียมเก็บกระเป๋า พรุ่งนี้ก็กลับบ้านแล้วสินะ
12 เม.ย ตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัว เพื่อรอไกด์คนดี พี่ดีม่ามารับตอนแปดโมงเช้า เพราะเราเลือกที่จะบินไฟล์ทสิบโมง เพื่อไปถึงสนามบิน SVO ช่วงเที่ยงๆบ่ายๆ จะได้มีเวลาเหลือๆ แล้วเชื่อไหมว่า เราก็เหลือเวลาจริงๆ เพราะไฟล์ที่กลับเมืองไทยมัน 1 ทุ่มเลยนะ
รอต่อไป….จนกระทั่ง
หนึ่งทุ่มยี่สิบ กลับแล้วนะมอสโก
บินลัดฟ้าต่ออีก 10 ชั่วโมง
สวัสดีประเทศไทย…
สุดท้ายนี้ เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่คิดว่าคนที่หาข้อมูลการเที่ยวรัสเซียอยู่น่าจะได้ประโยชน์มาก
1. การเข้าตรวจ ต.ม ในประเทศรัสเซีย ไม่ว่าจะสนามบินไหนให้เลือกช่องที่เป็นผู้หญิงตรวจ (เชื่อเรา แล้วคุณจะไม่เสียเวลาแน่นอน)
2. ของกินที่รัสเซีย ถ้าเอาประหยัดให้เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตนะ (แต่ต้องไม่ใช่ในห้างสรรพสินค้า)
3. ของฝากราคาถูกสุดในมอสโก คือ ที่ตลาด Izmailovsky
4. Chocolate หน้าเด็กที่ถูกสุดก็อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตนั่นแหละ
5. การดูแผนที่รถไฟฟ้าใต้ดินให้ดูเป็นภาษารัสเซียดีที่สุด
6. แลกเงินจากเมืองไทยให้พอ เพราะที่รัสเซียหาที่แลกเงินในเมืองยาก และได้ราคาน้อยกว่าบ้านเรา (รัสเซียไม่นิยมใช้ดอลล่าร์นอกจากรูเบิล)
ขอให้ทุกท่านเที่ยวให้สนุกนะคะ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า