ไม่อยากเป็น ๒๖ ม.ค.๖๑

บันทึกของคนเดินเท้า

ไม่อยากเป็น

เทพารักษ์

หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้น ที่ดินเป็นของทางราชการ แต่ได้ให้ชาวบ้านมาเช่าทำสวน ปลูกกล้วยอ้อยฝรั่งมะม่วง หรือทำสวนผักไปตามเรื่อง มาตั้งแต่โบราณกาล พอถึง พ.ศ.๒๔๘๐ ทางราชการเวนคืนที่ดินสองฝั่งถนนราชดำเนิน เพื่อขยายออกให้เป็นถนนที่กว้างใหญ่งามสง่าสำหรับพระนคร เช่นเดียวกับถนนที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส จึงตัดแบ่งที่สวนดังกล่าว ซึ่งอยู่แถวชานพระนคร ให้ชาวบ้านที่ถูกเวนคืนมาเช่าปลูกบ้านอยู่ตามอัธยาศัย

บรรพบุรุษของผมตั้งบ้านเรือนอยู่ในตรอก ข้างโรงเรียนนายร้อยทหารบก ถนนราชดำเนินนอก ตรงข้ามกับสถานที่ซึ่งต่อมาได้สร้างเป็นสนามมวยมาตรฐานแห่งแรก ที่มีอัฒจรรย์คอนกรีตรูปวงกลมเหมือนกระทะ ไม่มีหลังคาอยู่นานหลายปี จึงเก็บเงินพอสร้างหลังคาคอนกรีตได้สำเร็จ

บ้านที่ว่านั้นความจริงอยู่ลึกกว่าที่ทางการเวนคืน แต่เพื่อความปลอดภัย ไม่ทราบว่าเมื่อเขาขยายถนนและสร้างอาคาร แบบเดียวกับที่ถนนราชดำเนินกลางแล้วบ้านเราจะเป็นอย่างไร จึงต้องรีบย้ายออกมาเสียก่อน

แต่สุดท้ายการก่อสร้างตึกเช่นที่ว่านั้น ก็ไม่ได้เลยมาถึงถนนราชดำเนินนอก ยังคงอยู่อย่างเดิมจนถึงบัดนี้

ท่านจึงได้มาเช่าที่ซึ่งเดิมเป็นสวนดังกล่าว เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ ขณะนั้นมีผู้มาเช่าที่ปลูกบ้านกันหลายสิบหลังคาเรือนแล้ว ในสมัยปัจจุบัน หมู่บ้านที่ว่านี้กลายเป็นที่ซึ่งอยู่เกือบกลาง พระนคร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ถนนซอยเรียบร้อย ท่อระบายน้ำไม่อุดตัน น้ำไม่ท่วม เสาไฟฟ้ามีหลอดไฟให้แสงสว่างทั่วทุกซอย น้ำประปาไหลแรงตลอดเวลา

ตู้โทรศัพท์สาธารณะเกลื่อนกลาด ขยะมูลฝอยไม่มีค้าง เพราะมีรถมาขนทุกวัน การจัดหาบเร่แผงลอยเป็นระเบียบไม่เกะกะ อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีตั้งแต่ร้านข้าวแกงข้าวต้ม ข้าวผัดต่าง ๆ ตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยวสารพัดชนิด จนถึงระดับห้องอาหารของสมาคม และภัตตาคาร ร้านค้าที่เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๓ ร้าน มีโรงพักอยู่ชิดติดใกล้ไม่เกิน ๕๐๐ เมตร โรงพยาบาลขนาดใหญ่ของรัฐอยู่แค่ข้ามถนน

โรงเรียนหลวง โรงเรียนราษฎร์ที่มีชื่อเสียงอยู่รอบด้าน แถมศูนย์เยาวชน และมหาวิทยาลัยอีก ๒ สถาบัน มีวัดให้ทำบุญใกล้บ้าน ๓ - ๔ วัด เว้นแต่ไม่มีเมรุเผาศพ ต้องไปไกลอีกหน่อย ธนาคารเปิดสาขาให้ ๓ ราย กับตู้ เอทีเอ็ม ๕ - ๖ ตู้

มีถนนสายหลักที่รถประจำทางวิ่งผ่านทั้ง ๔ ด้านนับสายไม่ถ้วน และมีสถานีรถดับเพลิงอยู่ไม่ห่าง แค่หลังโรงพยาบาลเท่านั้น จะเรียกว่าเป็นหมู่บ้านที่พัฒนาแล้วก็ยังได้

ทุกวันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปี เมื่อมีการทำบุญประจำปี กลุ่มผู้จัดงานซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกัน ๓ - ๔ ร้าน ก็ขออนุญาตสถานีตำรวจปิดซอยกลางเป็นที่กางเต๊นท์ จัดงาน โดยไม่ได้เกะกะกีดขวางทางจราจร เพราะมีซอยอื่นลดเลี้ยวหลีกไปได้สะดวก วันที่ ๔ พฤษภาคม มีพระภิกษุมาสวดมนต์เย็น กลางคืนมีภาพยนต์ ๑ จอ เช้าวันที่ ๕ พฤษภาคม มีการเชิญชวนชาวบ้านมาร่วมตักบาตร และเลี้ยงพระจำนวนเท่ากับเลขท้ายของ พ.ศ.นั้น

สิ่งของที่ใส่บาตรส่วนใหญ่จะเป็นของแห้งและมีมากมาย จนต้องใส่เข่งเอาไปบริจาคให้กับสถานสงเคราะห์เด็ก ทั้งพิการและไม่พิการหลายแห่ง มีผู้มาร่วมงานมากมายทุกปี

ต่อมาก็มีพรรคการเมืองที่ครองกรุงเทพมหานคร ผลัดเปลี่ยนกันมาให้ความช่วยเหลือ โดยจัดหาเครื่องขยายเสียง โต๊ะเก้าอี้สนามมามอบให้บ้าง ช่วยราดยางซ่อมถนนที่ชำรุดบ้าง ปูกระเบื้องพื้นทางเท้าบ้าง คะแนนเสียงที่เคยเทให้เป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็แตกกระจายไปตามกระแสสังคม โดยไม่ต้องมีผู้ใดมาชี้นำ เรียกว่าเลือกได้ตามใจชอบ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

ตัวผมเองก็อาศัยอยู่กับบรรพสตรีที่ย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ตั้งแต่อายุได้ ๑๐ ขวบ จนบัดนี้อีกไม่ถึง ๓๐ ปีก็จะครบร้อย ด้วยความสุขสบายที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป เรียนหนังสือโรงเรียนรัฐบาลก็เดินไปกลับหรือโหนรถรางแล้วแอบโดดลงกลางทางโดยไม่ยอมเสียสตางค์ เพราะไม่มีจะเสีย ก็ล้มลุกคลุกคลาน ถลอกปอกเปิก จนมีความชำนาญในการโดดพอสมควร

เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ทำงานก็อยู่แถวท่าน้ำเกียกกาย แล้วก็ย้ายมาทางสะพานแดงบางซื่อ ได้อาศัย รถรางสายบางกระบือ ต่อด้วยสายบางซื่อ จนเลิกราหมดสมัยไป เมื่อประมาณหลังปีกึ่งพุทธกาลไม่นาน

จากตำแหน่งงานที่ต่ำที่สุดของหน่วยแรก จนถึงตำแหน่งงานที่สูงที่สุดของหน่วยหลัง เท่าที่พลทหารจะเลื่อนไปได้ถึง แล้วก็เกษียณอายุราชการ รับบำนาญพอเลี้ยงตัวและครอบครัวไปได้ ไม่ขัดสน

ใช้เวลาว่างเขียนหนังสือส่งไปลงพิมพ์ ตามหน้าวารสารของทหารหน่วยต่าง ๆ พอให้สมองได้ใช้งาน ไม่ฝ่อไปก่อนเวลาอันควร เวลาที่เหลือก็เดินไปอ่านหนังสือ หาความรู้เพิ่มเติมที่หอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี หาเรื่องโบราณมาเขียนให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้

ถึงวันดีคืนดีก็ไปทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรม ตามวัดที่ศรัทธาทั้งใกล้และไกล ตามสมควรแก่ฐานะ

ผมอยู่อย่างสงบสุขหลังเกษียณอายุราชการมาได้ ๔ - ๕ ปี หมู่บ้านของผม ก็เกิดอยากจะจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านขึ้นให้เป็นหลักฐาน เพื่อติดต่อกับทางราชการในเรื่องต่าง ๆ กลุ่มที่เคยช่วยกันจัดงานประจำปี หลายคนก็เพ่งมองมาที่ผม ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบไปสุงสิงกับชาวบ้าน

มีผู้มาทาบทามว่าอยากจะเชิญไปร่วมเป็นกรรมการจะขัดข้องหรือไม่ ผมก็สงสัยว่าที่ทำกันอยู่ก็ดีแล้ว จะมาเอาผมเข้าไปยุ่งด้วยทำไม เขาก็ว่าอยากจะได้ผู้ที่มีประสบการณ์ในทางราชการ หรือเคยบริหารงานราชการมาก่อน เรียกว่าจะได้อาศัยความรู้ในด้านหนังสือหนังหาที่จะติดต่อราชการได้สะดวก ผมก็คิดว่าน่าจะมีผู้อื่นอีกที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ ส่วนตัวผมเองนั้นได้ทำ งานจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว อยากจะพักผ่อนให้สบายอกสบายใจเสียที ไม่ต้องแบกภารกิจอะไรอีก

เขาก็ว่าต้องการจะให้ช่วยออกความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่ควรทำเท่านั้น ผมก็บ่ายเบี่ยงว่าถ้าเช่นนั้น ก็ควรจะเชิญไปร่วมปรึกษาหารือเป็นครั้งคราวจะดีกว่า ความคิดความเห็นของผมนั้น จะรับเอาไปใช้ก็ได้ ไม่เอาก็ได้ไม่ต้องลำบากใจ อย่าให้ต้องรับผิดชอบในฐานะกรรมการเลย เขาผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไป

เรื่องก็เงียบไปประมาณ ๒ อาทิตย์ คราวนี้เธออีกผู้หนึ่งก็มาทาบทาม ว่ามีผู้จะทำหนังสือเชิญให้ผมไปเป็นประธานกรรมการหมู่บ้าน จะรับหรือไม่ ผมก็ตอบโดยไม่ต้องคิดว่ารับ ไม่ได้แน่ เธอก็เกลี้ยกล่อมว่าที่ประชุมอยากจะได้อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่เคยมียศ หรือตำแหน่งสูงมาเป็นประธาน เพื่อจะได้สะดวกในการติดต่อกับทางราชการ

ผมก็ยังยืนยันว่าผมรับไม่ได้ เพราะผมอยู่ในระหว่างพักฟื้น จากโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งต้องไปนอนโรงพยาบาลมาแล้ว

การเป็นประธานหมู่บ้านไม่ใช่เป็นแต่ชื่อ จะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความเจริญหรือความเสื่อมของหมู่บ้าน จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำทั้งปวง ตามภาษาทหารที่ว่าทั้งที่ได้กระทำและมิได้กระทำ และในฐานะเช่นนั้น ผมจะต้องเป็นตัวแทนของชาวบ้านทุกคน บ้านใดมีทุกข์ร้อนก็ต้องมาแจ้งให้ผมขจัดปัดเป่า

ผมก็จะเกิดความเครียด อันจะเป็นเหตุให้แผลในกระเพาะของผม ไม่ทุเลา หรืออาจจะลุกลามออกไปอีก จนเป็นอันตรายแก่ชีวิตของผมได้เร็วกว่าที่ควรก็ได้ ดังนั้นจึงต้องขอความกรุณา อย่าให้ผมต้องได้รับเคราะห์กรรม อันแสนจะหนักหนานี้เลย เธอผู้นั้นก็แสดงความเข้าใจ และเห็นใจในความทุกข์ของผมเป็นอย่างดี เรื่องนี้จึงเงียบสงบลงไปได้อีกครั้งหนึ่ง

ความจริงผมยังมีเหตุผลอื่นอีกหลายประการ นอกจากที่ได้อ้างไปแล้ว ในการที่จะไม่ขอรับตำแหน่งอันมีเกียรตินั้น ประการหนึ่งก็ดังที่ผมได้เล่ามาแล้วว่าหมู่บ้านของเรา ได้พัฒนามาจนเกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว อยู่เป็นสุขสบายพอสมควรแล้ว ยังมีหมู่บ้านอื่นอีกมากมายก่ายกอง ที่ด้อยกว่าหมู่บ้านของเรา ที่ทางราชการควรจะทุ่มงบประมาณเข้าไปโอบอุ้ม หรือช่วยเหลือให้มีความเป็นอยู่ เท่าเทียมกับหมู่บ้านของเรา แล้วเรายังจะต้องการสิ่งใดอีก

ในภาวะความเป็นอยู่อย่างปัจจุบัน ที่ความลำบากยากจนได้เข้ามาเยือนถึงทุกบ้านทุกครัวเรือนเช่นนี้ หมู่บ้านของเราไม่ทำให้ทางราชการต้องเป็นห่วงเป็นกังวลในเรื่อง อาชญากรรม โจรกรรม และสิ่งเป็นพิษ เป็นภัยอันตรายทั้งหลาย โดยไม่ต้องมีคณะกรรมการหมู่บ้านให้ยุ่งยาก ก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวดแล้ว

และเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ ผมชอบคติที่ว่า เรื่องการเมืองไม่ยุ่ง เรื่องการมุ้งไม่เกี่ยว มาเป็นเวลานานแล้ว และสบายใจดีแล้ว จะไปหาเหามาใส่หัวอีกทำไม

ใครจะเป็นก็เป็นไปเถิด ผมคนหนึ่งละที่ไม่ยอมเป็น เพราะไม่อยากให้การเมือง ทั้งระดับมหานคร และระดับชาติ เข้ามาเกี่ยวข้องกับผม

ก็ผมไม่อยากเป็นหัวคะแนนนี่ครับ.

##########
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่