ต่อมอะดีนอยด์โต ภัยร้ายที่คุกคามพัฒนาการของลูกๆของเรา..ลูกใครนอนกรน สมาธิสั้น อะเลิร์ทตลอด เรียกไม่หัน คลิกค่ะ!!!

สวัสดีค่ะ  ตั้งกระทู้วันนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อ 4-5 ปีก่อน เราเคยสงสัยว่า ลูกสาวเราเป็นสมาธิสั้นหรือไม่ สงสัยจนมาตั้งกระทู้ปรึกษา
https://ppantip.com/topic/30682924 (กระทู้เมื่อหลายปีก่อน)

ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว หลังจากที่มาตั้งกระทู้นี้เมื่อหลายปีก่อน เราก็สังเกตพฤติกรรม รวมถึงช่วงนั้นปรึกษาคุณหมอเรื่องลูกนอนกรนอยู่เนืองๆ
กุมารแพทย์ให้รอจนถึง 3 ขวบ เพราะช่วงก่อน  3 ขวบ อาจกรนเพราะยังจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกมาก แต่หลัง  3 ขวบแล้ว ไม่ควรจะกรน
ลูกสาวเรากรนหนักขึ้น หลัง  3 ขวบก็ไม่หายค่ะ กุมารแพทย์จึงส่งตัวไปตรวจกับคุณหมอเฉพาะทาง (หู คอ จมูก)
แล้วก็ตรวจพบว่าลูกสาวเรา ต่อมอะดีนอยด์โต

"ต่อมอะดีนอยด์เป็นต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของโพรงจมูก ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย โดยการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคคออักเสบ โรคโพรงไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือโรคหลอดลมอักเสบ เป็นต้น" (ข้อมูลเพิ่มเติมของต่อมอะดีนอยด์โต สามารถหาไดทั่วไปในกูเกิ้ลค่ะ แต่เดี๋ยวเราจะแปะไว้ในคห. ที่1 อีกที)

ต่อมอะดีนอยด์ มันอยู่หลังโพรงจมูก พอมันโตมากๆ จะปิดกั้นทางเดินเสียง ทำให้ได้ยินไม่ชัดหรือไม่ได้ยิน
ครั้งแรก คุณหมอยังไม่แนะนำให้ผ่าออก ให้รอก่อน เพราะมันยังไม่โตมาก ให้กลับมาตรวจใหม่เรื่อยๆ
จนกระทั่งผ่านไปปีกว่า (เริ่มตรวจ  3 ขวบ ตรวจไปจนถึง 4 ขวบปลายๆ ) มันไม่มีวี่แววว่าจะเล็กลงเลย
หนำซ้ำกลับโตขึ้นเรื่อยๆ สมาธิลูกแย่ลงเรื่อยๆ กรนหนักขึ้นเรื่อยๆ  แล้วก็มีภาวะ แอพเนีย (หยุดหายใจขณะหลับ) หลายครั้งค่ะ เราไม่เคยได้นอนเต็มตาเพราะเป็นห่วง กลัวไหลตายไปเฉยๆ แต่ด้วยความที่ ช่วงที่เริ่มแอพเนีย เราเริ่มล้างจมูกลูกด้วยน้ำเกลือทุกวัน อาการกรนเลยลดน้อยลงไปเยอะ ก็ไม่ได้คิดว่าแอพเนียเพราะต่อมมันโตขึ้น
ช่วงนั้น คุณหมอแนะนำว่า มันโตเกินจะรอแล้วล่ะ ผ่าเถอะ  แต่เราไม่ผ่าค่ะ รอด้วยความหวัง เผื่อมันจะเล็กลงเอง

สุดท้าย ในปีต่อมา (5ขวบ) ลูกสาวเป็นหวัด แล้วปวดหู (ผลข้างเคียงของต่อมอะดีนอยด์โตค่ะ)  เราจึงพาไปหาหมอหูคอจมูก
แต่บังเอิญเป็นวันหยุด หมอประจำหยุดค่ะ เลยพาไปหมอเวร

คุณหมอเวร หู คอ จมูก(คนที่สอง) ตรวจด้วยการส่องหู และ ใช้เครื่องมืออะไรไม่ทราบเป็นเหล็ก เคาะกับข้อเท้าของหมอก่อน ให้เกิดการสั่นสะเทือนนิดๆ แล้วเอาไปจ่อบนหัวลูกเรา คุณหมอเวรบอกว่า ปกติ จะไม่ได้ยินเสียงจากเครื่องมือนั้น แต่ลูกเราได้ยินค่ะ เป็นเสียงอื้อออออ อี๊ดดดด
หมอเลยแนะนำว่าควรผ่าตัดโดยด่วน เพราะมันจะมีปัญหา ปิดกั้นพัฒนาการ เนื่องจากพอ 6-7 ขวบต้องเข้า รร.
หากไม่ได้ยินที่ใครพูด จะแย่มาก เพราะเมื่อได้ยินเสียงไม่ชัด มีผลกับพัฒนาการทางภาษา ซึ่งจำเป็นอย่างมากในเด็กวัยเรียน และสมาธิจะสั้นแบบนี้

หลังจากการผ่าตัด ใช้เวลาสักพัก ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่จะค่อยๆเปลี่ยนนะคะ ไม่ใช่ว่าผ่าแล้วสมาธิดีขึ้นทันที
เพราะเราปล่อยให้เขาชินกับการอยู่ไม่นิ่ง เนื่องจากได้ยินเสียงภายนอกไม่ชัดเจน มานาน เลยต้องใช้เวลาปรับตัว
แต่สุดท้ายเขาก็ดีขึ้น สมาธิดีขึ้นมากค่ะ และนอนไม่กรนแล้ว
นานๆจะกรนสักที สองปีกรนครั้งนึง แค่เวลาไม่สบาย เป็นหวัดหรือมีน้ำมูก แต่ไม่ดังเป็นรถไฟเหมือนสมัยก่อน
ซึ่งนอนกรนเพราะเป็นหวัด ถือเป็นเรื่องปกติ พอหายหวัด ก็ไม่กรน อันนี้ไม่ต้องกังวลค่ะ

คุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ลูกนอนกรนเป็นนิจสิน กรนเหมือนเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาแต่เกิด และรู้สึกเหมือนจะสมาธิสั้น ก็อย่าลืมนึกถึงเรื่องต่อมอะดีนอยด์นะคะ สมัยนี้เป็นกันเยอะ    เวลาตรวจ คุณหมอจะให้อ้าปากค่ะ ตรวจทางปากธรรมดาๆ ไม่น่ากลัว

มีน้องคนหนึ่งพาลูกไปตรวจกับหมอเด็ก ซึ่งไม่ใช่หมอเฉพาะทางของโรคนี้ คุณหมอสั่งเอ็กซ์เรย์  
ซึ่งหมอเฉพาะทางบอกว่าจริงๆไม่จำเป็น  (พอน้องย้ายมาที่สวิตฯ น้องพาไปตรวจอีกครั้ง น้องเล่าให้หมอเฉพาะทางฟังว่า เคยเอ็กซ์เรย์ดูแล้ว
หมอถามว่าเอ็กซ์เรย์ทำไม ปกติตรวจทางปากก็เห็นแล้วว่าโตหรือไม่โต)

ลูกสาวเราก็ตรวจทางช่องปากเช่นกันค่ะ

นอกจากนี้ บางคนเห็นว่า ลูกเคยนอนกรน พาไปตรวจ เจอต่อมอะดีนอยด์โต แต่ไม่อยากให้ผ่าตัด ใช้วิธีล้างจมูกด้วยน้ำเกลือทุกวัน จนลูกไม่กรน จึงคิดว่าลูกหายแล้วเลยชะล่าใจปล่อยไป ขอย้ำตรงนี้เลยค่ะ ว่า ถึงแม้ว่าการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกได้
แต่ไม่สามารถทำให้ต่อมอะดีนอยด์เล็กลงได้
การที่ลูกคุณจะหายจากต่อมอะดีนอยด์โตได้ ต้องให้คุณหมอเป็นคนแจ้ง
เพราะคนใกล้ตัวเรา รวมถึงตัวเราด้วย ก็ลองวิธีล้างน้ำเกลือมาเยอะแล้ว และลูกหายกรนจริง แต่ตรวจออกมาทีไร ต่อมอะดีนอยด์ก็ไม่ได้เล็กลงค่ะ
หนำซ้ำใหญ่ขึ้น และมีผลกระทบหนักขึ้น อีกต่างหาก  (ไม่ได้แย่ลงเพราะน้ำเกลือนะคะ แย่ลงเพราะเราคิดว่าลูกหายแล้ว เลยไม่ยอมผ่าตัด ทำให้การรักษาล่าช้า)

สุดท้าย ก็ต้องยอมผ่าตัด ตอนลูก 5 ขวบ (ทั้งๆที่ควรจะผ่าตั้งแต่ 3-4 ขวบ ที่คุณหมอแนะนำครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ)

การผ่าตัดไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ คุณหมอผ่าเข้าทางปาก เป็นผ่าตัดเล็ก
แต่ต้องวางยาสลบ เนื่องจากเด็กจะไม่ยอมให้ฉีดยาชา และไม่สามารถอ้าปากได้นาน

ดังนั้น ก่อนผ่าตัด จึงจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหาร งดทุกอย่าง เป็นเวลาอย่างน้อย  8 ชม.  ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
สำคัญมากนะคะ หากไม่งดน้ำงดอาหาร ระหว่างผ่าตัด น้ำและอาหารที่ค้างในทางเดินอาหาร จะขย้อนขึ้นมาปิดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้เสียชีวิตได้ค่ะ

หลังผ่าตัด คุณหมอแนะนำให้ทานไอศกรีม หรืออะไรก็ได้เย็นๆ อมน้ำแข็งก็ได้ค่ะ เด็กๆชอบกันเลยทีเดียว  

และหากคุณหมอแนะนำให้ผ่า ควรผ่าให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยไว้นานนะคะ มีผลกับพัฒนาการของน้องมากๆ

อาการของโรคนี้ สาเหตุ และผลกระทบ เราแปะไว้ที่คห. 1 นะคะ เลื่อนลงไปดูได้

ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่