ตัดสินใจถูกที่ผ่าเอาต่อมอะดีนอยด์ออกจากลูก 2.5 ขวบ

อยากจะมาแชร์เรื่องลูกที่เป็นแก้วตาดวงใจของคุณเป็นพ่อเป็นแม่ค่ะ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกป่วยด้วยแล้วยิ่งต้องห่วงและกังวลมากกว่าอีก ลูกคนที่สองเราเป็นต่อมอะดีนอยด์โต ( เกิดมาเป็นพ่อแม่คนก็พึ่งเคยได้ยินโรคนี้ และก็เกิดความสงสัยจนต้องไปหาข้องมูลว่าทำไมสมัย 20-40 ปีก่อนพ่อแม่เราก็ไม่รู้จัก หรือคนรู้จักไม่มีใครเคยเป็นกันเลย สงสัยกันบ้างกันไหม)

แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องสงสัยนี้ ก็อยากจะเริ่มเล่าเรื่องลูกกันก่อนค่ะ เพราะสำคัญกว่า น่าจะเป็นเรื่องที่สมัยนี้พ่อแม่หลายคนคงเจอและตั้งคำถามว่า จะผ่าหรือไม่ผ่าดี อย่างที่เราถามตัวเองมาหลายเดือน??? ทำไมถึงรู้ว่าลูกเป็นต่อมอะดีนอยด์???

เรื่องมันมีอยู่ว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 10  เดือนที่แล้ว ลูกมีอายุเกือบ 1.5 ขวบแล้วค่ะ ช่วงนั้นน้องเป็นภูมิแพ้แล้วน่าจะติดหวัดจากเด็กข้างบ้านมา น้องมีอาการก็หายใจไม่ค่อยออก ต้องอ้าปากหายใจ และพูดเสียงอู้อี้ มีน้ำมูก เลยพาไปหาหมอ หมอแจ้งว่า ลูกจมูกบวม น่าจะติดเชื้อเพราะต่อมทอลซิลก็บวม คอแดง หมดเลยให้ยามากินเป็นยาแก้อักเสบ ซูโดอีเฟรดลีน เซอร์เทค แก้ไอเอามาเผื่อเลย หมอค่ายาไปเกือบ 2500 บาท ตกใจมากว่าเดี๋ยวนี้ทำไมค่ายาแพงเหลือเกิน แค่เป็นหวัดแค่นี้

คืนนั้น เราเอาลูกเข้านอนเป็นปรกติ คืนหนึ่งที่เรานั่งอ่านหนังสืออยู่แล้วได้ยินเสียงลูกกรนดังมาก และก็ไอขึ้นมาเหมือนคนสำลักน้ำลาย น้องลุกขึ้นมาร้องไห้ ด้วยความง่วงจึงหลับต่อ แล้วก็เป็นแบบนี้อีก 3 รอบ ก็เลยเดินไปบอกพ่อเค้าว่าน้องเป็นอะไรไม่รู้ตื่นมาแล้วร้องไห้ ไอเยอะแยะ เหมือนคนสำลักอะไรสักอย่าง พ่อเค้าก็บอกว่าน่าจะสำลักน้ำลายเพราะหายใจไม่ออกเลยต้องนอนอ้าปากน้ำลายเลยไหลลงคอ แต่ตอนนั้นในใจเราก็แวปขึ้นมาเรื่องเจ้าที่หรือแม่ซื้อ ก็เลยไปไหว้พระบอกเสียหน่อย แต่ตอนนี้ถ้าคนที่เป็นแม่จะเข้าใจดีว่าแม่จะมีความสามารถพิเศษชนิดที่เรียกว่าหูไวต่อเสียงมาาก  แค่ลูกอ้าปาก กรนก็จะได้ยินเสียงแล้ว คืนนั้นผ่านไปก็พยายามคอยสังเกตุง่าลูกมีอาการดีขึ้นไหม ยังเป็นไหม ... ตอน้าลูกก็จะงอแงตื่นสาย ไม่ค่อยอยากจะตื่น พอตื่นมาตาคล้ำเหมือนเพลียนอนหลับไม่สนิท จนคืนที่ 2 3 4 ก็ยังมีอาการแบบเดิมอีก แต่ช่วงนี้เราก็ล้างจมูกน้องเช้าเย็น สงสารน้องมากล้างไปร้องไห้ไป เริ่มจากที่บังคับจับหัวจนเคยชิน เวลาล้างจมูกจะรู้สึกได้ถึงจมูกที่แน่นตันมาก จนน้ำไม่สามารถผ่านมาอีกข้างได้ จนน้องร้องไห้เพราะเจ็บจมูกและสำลักน้ำ ก็เลยต้องหยดอิลิอาดีนก่อนแล้วล้างก็ช่วยได้บ้างให้น้ำมูกเขียวๆหนืดๆออกมา แต่ก็ต้องพ่นยานาโซเนกทุกวันเช้าเย็นครั้งละ 2 หยดต่อข้าง จนเวลาผ่านไป 4 วันน้องก็มีอาการดีขึ้น  ล้างจมูกได้ไม่ตันแต่มีน้ำมูกไหลออกมาบ้างก็แสดงว่าน่าจะหายใจโล่งได้บ้าง

ผ่านไปอีก 1 เดือนพาไปเที่ยวห้างก็กลับมาเป็นอีกแล้ว เป็นแบบนี้วนไปอีกหลายครั้งก็ยังมีอาการนอนหลับแล้วสำลักแบบนี้ทั้งๆที่บางทีไม่ได้ติดหวัดใครเลย  พาไปหาหมอหมอให้ยามากินแบบเดิม จนหลายๆรอบที่ไปหมอก็ต้องให้ยาแก้อักเสบแรงขึ้นหรือนานขึ้น แต่หมดก็แค่บอกว่าติดเชื้อ เป็นหวัด โดยไม่ได้บอกว่าอาการเนื่องมาจากภูมิแพ้หรือต่อมอะดียอนด์โตเลย จนผ่านมาหลายเดือนเลยเปลี่ยนหมดไปหาอีก รพ นึงลองไปหาหมอภูมิแพ้ หมอก็บอกได้แค่เบื้องต้นว่าควรเหลียกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หรือให้ทำ สกินเทสจะได้รู้ว่าน้องเป็นอะไร ตอนนนั้นเราเข้าใจมาตลอดว่าน้องแพ้นมวัว พยายามหลีกเลี่ยงนมวัว หรือบางทีก็ให้กินบ้างเพื่ออยากรู้ว่าหายแพ้หรือยังพอกินทีไรอาการก็กลับมา เลยยังเข้าใจแบบนั้นอยู่ว่าแพ้ แต่เราก้ไม่ได้ทำสกินเทสนะคะ อย่างที่บอกเพราะเราเข้าใจไปเองว่าน้องแพ้นมวัว และก็มีโรคภูมิแพ้ที่ได้มาจากพ่อด้วย  คุณหมอภูมิแพ้ฟังเสียงน้องที่หายใจแรงและหายใจทางปากเลยแนะนำให้พบหมอเฉพาะทาง หู คอ จมูกเด็ก เพื่อตรวจดูอีกที

พอพบหมอเฉพาะทาง หู คอ จมูกเด็กแล้ว หมอสักรายละเอียดแล้วให้ไปทำเอ็กซเรย์ที่จมูกเลย ผลที่ได้คือ น้องเป็นต่อมอะดีนอยด์โต ภาพที่เห็นในฟิมล์คือ ด้านหลังจมูกคือโพรงจมูกเป็นเหมือนทางแคบๆๆ ที่มีต่อมๆหนึ่งบวมมาปิดกั้นทางเดินอากาศจนอากาศแทบผ่านเข้าไม่ได้ ตอนนั้นพ่อแม่ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกว่ามันคืออะไร ทำไมถึงเป็นได้ คุณหมออธิบายว่า " เด็กเล็กๆมีต่อมนี้ทุกคน ต่อมนี้เป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่หลังโพรงจมูก มีหน้าที่ดักจับเชื้อโรคในเด็กเล็ก แต่พอโตขึ้นมาต่อมนี้จะหมดความสำคัญและยุบไปเอง แต่ที่มันบวมเยอะ ขึ้นอยู่ว่าน้องเป็นภูมิแพ้ และได้รับการติดเชื้อทำให้อักเสบขึ้นมาบ่อยๆเข้าจนบวมมากขึ้น โดยปรกติอากาศจะผ่านเข้าออกได้ 100% พอต่อมนี้บวมขึ้นมาจนปิดกั้นอากาศ ให้ผ่านได้แค่ 20 - 50% เท่านั้นเลยทำให้น้องต้องหายใจทางปาก และเกิดอาการหยุดหายใจตอนกลางคืน" ดังนั้นอากาการสำลักที่เราคิดว่ามาจากสิ่งลี้ลับมานาม แต่แท้จริงแล้วมันคืออาการหยุดหายใจ โอ้ๆๆๆๆๆลูกเราหยุดหายใจ!!!!!!  โดยส่วนมากระดับของอาการมี 3 ระดับ ลูกเราอยู่ที่ระดับ 2 หมดแนะนำให้ผ่าออก เราก็เกิดอาการกังวลว่าลูกเกือบ 2 ขวบต้องผ่าตัดแล้วหรอ เราก็กลัวว่าลูกจะป่วยบ่อย กลัวไปต่างๆนาๆ คุณหมอเลยบอกว่า ต่อมน้ำเหลือในร่างกายมีหลายพันต่อม แค่ในจมูกก็มีเป็นหลักร้อยแล้ว ก็เปรียบได้กับทหารที่รักษาดินแดน หากทหารคนหนึ่งไม่สบายก็ยังมีทหารอีกหลายคนยังคุ้มกันดินแดนได้อยู่แต่ต้องเอาหทารที่ป่วยนี้ออกไปก่อน หากไม่กำจัดออกหทารคนอื่นก็จะเข้ามาทำหน้าที่ได้เต็มที่  เราก็ถามไปว่าหากยังไม่ผ่าหล่ะคะ ต้องทำอย่างไร หมอเลยบอกให้ทานยาไปก่อน 3-6 เดือนแล้วดูอาการว่าดีขึ้นไหม ถ้าดีขึ้นก็ดีไป หากไม่ดีขึ้นควรจะพิจารณาอีกที เราก็เลือกทางแรกที่กินยายาวๆๆไป


ช่วง 3-6 เดือนที่กินยาวนไป อาการดีขึ้นบ้าง กลับมาติดหวัดบ้าง ส่วนใหญ่ที่มีอาการก็จะมาจากติดหวัดกับเพื่อนข้างบ้าน หรือไปข้างนอก หรือติดจากเนอสเซอรรี่ แต่เราก็ไม่กักตัวให้ลูกอยู่แต่ในบ้านนะคะ เพราะเด็กยังต้องเรียนรู้ ยังต้องเล่น เพื่อสร้างพัฒนาการ ก็เลยต้องใช้ยาแก้ ล้างจมูก และ พ่นนาโซเนกตลอด ถ้าพูดถึงเรื่องล้างจมูกเราชอบใช้ขวดสีฟ้ามันเหมาะมือมากกว่าใช่ไซลิ้งค์ค่ะ เพราะน้ำได้ปริมาณเยอะ ไม่ต้องเติมบ่อย แล้วไม่แรงเกินไป หรือแล้วแต่ใครถนัดนะคะ แล้วก็หาวิธีที่มาช่วยกำจัดภูมิแพ้ต่างๆ เช่น เครื่องดูดไรฝุ่น หรือไม่เอาดอกไม้เข้าบ้าน เอาตุ๊กตาออกไปให้หมด เก็บพรม เก็บหนังสือออกจากห้องนอน ล้างแอร์ ลูกเราเลยดีขึ้นจากภูมิแพ้ แต่ยังช่วยไม่ได้เรื่องติดหวัดจากข้างนอกอยู่ดี ทุกคั้งเวลาที่เป็นหวัดแล้วนอนกลางคืนลูกเราจะตื่นมาร้องกลางดึกทุกคืน แล้วมีอกาการสำลักที่ว่า เราเคยถามหมอๆบอกว่านั้นคืออาการหยุดหายใจ แต่เราก็ยังไปพบหมดต่อเนื่องคอยดูอาการแต่ทุกทีที่ไปหมอก็จะแจ้งว่าให้ผ่าออกดีไหมเพื่อพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น นอนหลับสนิท แล้วการที่เด็กอ้าปากหายใจนานไปทำให้โครงหน้าโดยเฉพาะช่วงกรามยื่นออกมามากกว่าปกติ

จนเวลาผ่านไป 8 เดือนที่ทำทุกอย่างแล้วก็เลยตัดสินใจไปผ่าออกดีกว่า เพราะไม่อยากให้ลูกนอนทรมาน หายใจไม่ออก ถึงขั้นหยุดหายใจบ่อยๆ หากถ้าลูกหลับึกไปมากกว่านี้แล้วหยุดหายใจนานหลายนาที จะทำอย่างไรไม่คุ้มกันเลย และเวลาเค้าวิ่งเล่นต้องอ้าปากหายใจหายใจไม่ทัน นอนหลับไม่สนิททั้งคืนเป็นมากช่วงที่ติดเชื้อจมูกตัน และที่สำคัญน้องกินยามาตลอด 8 เดือนแต่ต่อมเจ้าปัญหาก็ไม่มีทางจะยุบลงได้เป็นศูนย์เหมือนเดิม คือยุบลงแค่ 50% แล้วเมื่อติดเชื้อก็บวมขึ้นมาใหม่  เลยทำให้รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของลูกเราแย่ลงอยากจะเล่นมากๆก็ไม่ได้เดี๋ยวหายใจไม่ทัน  เป็นหวัดแทบทุกเดือน กินเยอะแต่ก็ยังผอม ตื่นมาก็งองแงเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม อยากว่ายน้ำก็ไม่สามารถเพราะติดเชื้อง่ายและจมูกจะบวมง่าย ถึงวันที่นัดผ่าก็ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากเลยค่ะ ที่สำคัญน้องอยากไปผ่ามาก หลายครั้งที่น้องร้องอยากไปหาหมอ ถามว่าเมื่อไหร่จะเอาออก เพราะเราคอยเล่าอาการและบอกน้องทุกครั้งว่าที่หายใจไใ่ออกเพราะอะไร จะแก้อย่างไร น้องก็ให้ความร่วมมือดีมากเลยค่ะ

การผ่าต่อมอะดีนอยด์ออก บางคนอาจจะไปทำ Sleep test เพื่อเช็คหารหยุดหายใจและจำนวนออกซิเจนเข้าร่างกาย แต่ของเราข้างจุดนั้นไปเลยค่ะ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกชั้นหยุดหายใจ การผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดเล็กค่ะ นอนค้าง รพ 1 คืน และกลับไปพักต่อที่บ้าน เราทำการผ่าตอนเช้าโดยการวางยา ผ่านไป 1 ชั่วโมงคุณหมอผ่าตัดเสร็จแล้วน้องก็ไปอยู่ห้องพักฟื้อนเพื่อดูอาการจากการวางยา พอเสร็จก็ขึ้นมาห้องพักโดยเป็นเวลาร่วมๆ ประมาณ 3 ชั่วโมง แต่น้องจะเจ็บที่คอด้วยนะคะ ลืมบอกไปว่าการผ่าตัดเอาต่อมอะดีนอยด์ออก คุณหมอจะผ่าเอาต่อมทอลซิลออกไปด้วยเพราะไม่ประประโยชน์เลยค่ะ ช่วงนี้คุณหมอจะให้ทางแต่ของเย็นๆ เช่น ไอศครีม น้ำแข็งเล็กๆ น้ำเย็น นมเย็น แต่งดของแข็ง งดของร้อน อาหาร และน้ำผลไม้ต่างๆ แต่ลูกเราก็ไม่ทานนะคะ และวันรุ่งขึ้นหมอถึงจะให้ทานโจ๊กแช่เย็น ย้ำว่าต้องของออ่นและเย็นในช่วง 2 อาทิตย์แรก หลังจากนั้นก็ทานได้ปรกติ

หลังการผ่าตัดที่ไม่ได้ดูน่ากลัวเลย มีแต่พ่อแม่แบบเราที่กังวลไปเองจนเกือบจะทำให้ลูกพัฒนาการไม่ดีเพราะต่อมเจ้าปัญหา คืนแรกที่ลูกนอนหลับกลางคืนการหายใจไม่มีเสียงดังกรนอย่างที่ผ่านมา หายใจไม่ดังเลย จนถึงวันนี้ที่การผ่าตัดผ่านไปได้หลายเดือนแล้วน้องนอนหายใจดีขึ้นมาก โล่ง ไม่มีการหายใจทางปาก แล้วเรารู้สึกว่าป่วยน้อยลง ที่สำคัญไม่ต้องกินยาทุกวันแล้ว แล้เรารู้สึกว่าน้องนอนเต็มอิ่มไม่ตื่นกลางดึกและอ้วนขึ้นด้วยค่ะ  พอช่จากวงที่เป็นหวัดรู้สึกได้ตอนล้างจมูกที่เมื่อก่อนจมูกจะตันมากๆล้างไม่ออก แต่ตอนนี้น้ำล้างจมูกไหลปรื๊ดๆๆๆออกมาอีกข้าง ถึงเป็นหวัดนอนก็ไม่กรนอีกค่ะ และที่สำคัญคุณแม่นอนหลับสนิทไม่ตื่นมากัวลเรื่องลูกหยุดหายใจอีกต่อไป


จากเรื่องนี้ได้ที่ได้ข้อคิดว่า

พ่อแม่เลือกที่สิ่งทีดีหรือกังวลเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยรวมถึงการผ่าตัด โดยให้สังเกตุอาการของลูกเป็นประจำ เพราะคุณหมอเด็กทั่วไปเค้าจะไม่แนะนำเรื่องต่อมอะดีนอยด์นี้เลยเราจะต้องถามเองมากกว่าหรือไปหาหมอภูมิแพ้ คุณหมอเด็กทั่วไปมีแต่จะให้ยาแก้อักเสบ ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก รักษาไปตามอาการ หรือบางทีที่เคยเจอหมอคือ ใช้ประกันได้ไหม วงเงินยังมีเหลือเยอะ เอายาเพิ่มไหม ซึ่งจัดมาเต็มที่เลย

พ่อแม่คิดไปเองว่าการผ่าตัดน่ากลัวแต่ลืมคิดไปถึงผลหลังจากการผ่าว่าจะทำให้ลูกหายใจได้ปกรกติ ไม่นอนกรน จมูกไม่ตัน เหมือนอย่างเราช่วงแรกๆที่ไม่อยากให้เด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบผ่าตัด เพราะความกลัวของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายหรือคนอื่นๆ แต่เราลืมคิดถึงผลระยะยาวที่จะเกิดกับลูก เช่นพัฒนาการ หรือการหยุดหายใจ เพราะสมมุติว่าเราเป็นแบบลูกต้องอ้าปากหายใจตลอดเวลา เราคงรำคาญแน่ๆ แต่ลูกเราเป็นแบบนี้มาแรมปีคงจะไม่สนุกเท่าไหร่ และการผ่าตัดนี้เป็นแบบผ่าตัดเล็ก คุณหมอต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญและผ่ามาเป็นร้อยๆเคสอยู่แล้วดังนั้นก็แนะนำให้เลือกคุณหมอที่เป็นผู้เชี่ยวชาญค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่