ภาพจากอินเตอร์เน็ต
บัญชาเดินผ่านประตูออฟฟิศก่อนที่จะเข้ามานั่งยังโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าที่บึ้งบูด หัวหน้าแผนกเดินผ่านมาพอดีเมื่อเห็นใบหน้านั้นจึ่งเอ่ยถามลูกน้อง
“เป็นอะไรมา ยังไม่ได้เริ่มงานก็เครียดแล้วเหรอ” หัวหน้าพูด
บัญชาพยายามปั้นหน้าหันมาทางหัวหน้า “ไม่ใช่เรื่องงานหรอกครับหัวหน้า ผมเครียดเรื่องลูก เมื่อเช้านี้มันร้องไห้งอแงไม่อยากไปโรงเรียน เอาแต่ตะโกนว่า ‘หนูไม่อยากไปโรงเรียน’ จนผมต้องใช้กำลังขู่เข็ญให้ไปแต่งตัวและลากมันขึ้นรถไปส่งโรงเรียน”
หัวหน้าแผนกแสดงสีหน้าตกอกตกใจกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน “อย่าไปใช้ความรุนแรงกับเด็กน่า มันไม่มีประโยชน์หรอก” ผู้พูดพยายามทำเสียงให้นุ่มนวลหวังทำให้ผู้ฟังอารมณ์เย็นลง “ว่าแต่ลูกคุณเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วนะ”
“อยู่ปอ 4 ครับ”
เมื่อผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่าเห็นท่าทีของบัญชาเริ่มสงบลงบ้างแล้ว เขาจึงพูดต่อ “ใจเย็น ๆ ก่อน บางทีแล้วเด็กไม่อยากไปโรงเรียนเพราะอาจมีเหตุผลที่ไม่อยากบอกผู้ใหญ่ก็ได้”
“มันขี้เกียจน่ะสิครับ” บัญชากระแทกเสียงด้วยอารมณ์ แต่เมื่อรู้สึกตัวจึงผ่อนเสียงลงในท้ายประโยค
หัวหน้าพูดต่อ “ถึงผมเนี่ยจะไม่มีลูก แต่ผมก็พอรู้เรื่องเด็กมาบ้างเหมือนกันนะ เพราะเคยได้ยินเพื่อน ๆ ที่มีลูกเขาคุยกัน สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คืออย่ารวบการไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กคนหนึ่งไปกับความขี้เกียจ เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าเด็กขี้เกียจจริง ๆ หรือถ้าเด็กขี้เกียจจริง ๆ เราก็ต้องพยายามหาสาเหตุว่าทำไมเด็กถึงขี้เกียจ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ตามแก้กันไป คุณไปแก้ปัญหาด้วยการบอกว่าอย่าขี้เกียจ ๆ เด็กจะไม่ฟังหรอก”
บัญชาทำสีหน้าครุ่นคิดเมื่อฟังสิ่งที่หัวหน้าแนะนำ
“บางครั้งเด็กอาจจะมีปัญหาจากโรงเรียน เช่น ถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนในโรงเรียนบ้าง เรียนไม่ทันเพื่อน ๆ ในชั้น เข้าสังคมไม่ได้ เข้ากับครูในโรงเรียนไม่ได้หรืออาจะมีปัญหาเรื่องอารมณ์ ว่าแต่คุณได้ให้เวลากับลูกเพียงพอหรือเปล่า” หัวหน้าทิ้งท้ายด้วยประโยคคำถาม
“น้อยมากครับ ตื่นนอนมาก็ได้แค่นั่งกินข้าวด้วยกันไม่ถึงสิบนาที ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนอีกสามสิบนาที ตอนเย็นนั่งรถกลับอีกสามสิบนาที มื้อเย็นกินข้าวเสร็จก็ตัวใครตัวมัน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็อยู่บ้านพักผ่อนไม่ได้ไปไหน”
“เอาอย่างนี้สิ ถ้าลูกคุณบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน วันนี้คุณรีบเคลียร์งานบนโต๊ะให้เสร็จ พรุ่งนี้ผมจะให้คุณลาหยุดหนึ่งวันเพื่อที่จะพาลูกไปเที่ยว แล้วก็พยายามพูดคุยถึงปัญหา เผื่อจะได้รีบแก้ไขก่อนที่จะสายไป”
บัญชาซาบซึ้งไปกับความหวังดีของหน้าจนแสดงออกมาทางแววตา “ขอบคุณมากครับ ทำไมหัวหน้าถึงมีน้ำใจมากมายขนาดนี้”
ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าตบมือลงบนบ่าของบัญชาเบา ๆ หนึ่งที “ไม่หรอก ผมต้องดูแลลูกน้องฝีมือดีอย่างคุณ หากจิตใจของคนทำงานไม่มีสมาธิเกี่ยวกับเรื่องงาน ก็คงจะทำให้งานออกมาเสีย เมื่องานในแผนกของผมผิดพลาดอาจจะโดนผู้ใหญ่ตำหนิมาได้ ผมห่วงเรื่องนี้มากกว่า”
บัญชาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของหัวหน้า ความสดใสและมีความหวังเริ่มกลับมาครอบครองพื้นที่บนใบหน้าของคนอมทุกข์ก่อนหน้านี้แล้ว แม้แต่หัวหน้าแผนกเองก็รู้สึกผ่อนคลายไปด้วยเมื่อเห็นลูกน้องแสดงท่าทีผ่อนคลาย
เสียงนาฬิกาปลุกดังเหมือนในทุก ๆ วันทำงาน แต่วันนี้บัญชาไม่รีบร้อนลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเหมือนวันอื่น ๆ เขาลุกเดินไปยังห้องนอนของลูกชาย เมื่อไปถึงก็เห็นลูกชายกำลังค่อย ๆ แต่งตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียนอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผู้เป็นพ่อจึงรีบพูดขึ้นว่า
“วันนี้เป็นวันหยุดพักร้อนของพ่อ เมื่อวานเห็นลูกบ่นว่าไม่อยากไปโรงเรียน พ่อเลยคิดว่าจะพาลูกไปเที่ยวสวนสนุกกันดีมั้ย”
ภาพของเด็กที่กำลังห่อเหี่ยวหลังจากได้ยินคำพูดของพ่อ ก็เหมือนมีเชื้อไฟมาเรียกร้อยยิ้มได้นิดนึง แต่หลังจากนั้นผู้เป็นลูกทำท่าถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“เอายังไง ลูกจะไปโรงเรียนหรือไปสวนสนุก” บัญชาถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ไปสวนสนุก” ลูกตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง
“โอเค งั้นเราไปกันเลย”
ในช่วงเช้าทั้งคู่ไปออกไปหาอะไรกินมื้อเช้านอกบ้าน บัญชาพยายามทำตัวให้ดูสดใสร่าเริง เพื่อหวังว่าลูกชายของเขาจะรู้สึกสดชื่นตาม แต่ทว่าแววตาและสีหน้านั้นก็ยังดูเศร้าหมอง
“พอดีพ่อเห็นเพื่อนในที่ทำงานเขาไปรับไปส่งลูกเรียนกวดวิชาตอนเย็นทุกวันเลย ลูกสนใจอยากไปเรียนบ้างมั้ย” บัญชาเอ่ยถามลูกชาย
“ไม่ล่ะพ่อ เรียนในห้องเรียนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร กลับมาบ้านก็มาทบทวนทุกวันอยู่แล้ว” เด็กตอบ
“อืม... ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ” บัญชาพูดเบา ๆ ในลำคอเพื่อไม่ให้คู่สนทนาได้ยิน
เมื่อขับรถออกจากร้านอาหาร บัญชาเปิดวิทยุฟังข่าวเพื่อทำลายความเงียบในรถ สักพักวิทยุก็รายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องแนวทางการแก้ปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษา คนขับรถแอบชำเลืองไปยังคนนั่งข้างที่ดูไม่ได้ใส่ใจกับเนื้อหาในข่าว สักพักบัญชาก็พูดขึ้น
“เด็กที่ชอบรังแกคนอื่นมักจะมีปมด้อย ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ ลูกคิดว่าแบบนั้นมั้ย”
ฝ่ายลูกตอบในทันทีทั้ง ๆ ที่สายตายังจ้องมองออกไปหน้ารถที่กำลังวิ่งบนถนน “คงจะอย่างนั้นมั้งครับ โชคดีที่โรงเรียนผมไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้”
“อืม... ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ” บัญชาพูดเบา ๆ ในลำคอเพื่อไม่ให้คู่สนทนาได้ยิน
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังยืนต่อแถวเพื่อซื้อบัตรเข้าสวนสนุก สีหน้าของบัญชายังไม่คลายความกังวลเกี่ยวกัลูกชาย เขาพูดออกมาเหมือนจะเปรย ๆ ไม่ได้จริงจังอะไรนัก
“ลูกไม่ไปทำรายงานบ้านเพื่อนบ้างเหรอช่วงนี้ เพื่อนชื่ออะไรนะที่ลูกชอบไปบ่อย ๆ”
ลูกชายหันหน้ามาทางพ่อพร้อมตอบ “บ้านตั้มน่ะเหรอครับ ช่วงปลายเทอมเราจะไปทำรายงานประจำวิชา และเพื่อน ๆ อีกหลายคนจะไปช่วยกันติวข้อสอบที่บ้านของตั้มกัน”
“นัดกันไปทั้งห้องเลยเหรอ”
“ก็มีหลายกลุ่มครับ กลุ่มของมมีกันอยู่แปดคนเอง”
บัญชาทำสีหน้าโล่งใจโดยหันมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น จากนั้นเมื่อทั้งคู่ได้ตั๋วเล่นเครื่องเล่นสวนสนุกแบบเหมาจ่าย เล่นได้ทุกเครื่องเล่น ผู้เป็นพ่อพยายามใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้กับลูกรักอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาแม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
ในตอนนี้ผู้เป็นลูกเริ่มมีรอยยิ้มสนุกสนานเหมือนจะลืมความทุกข์โศกจากก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น ผู้เป็นพ่อคลายความกังวลไปได้เยอะแต่ยังรอจังหวะถามอีกหนึ่งคำถามที่คาใจอยู่ และเมื่อทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ในกระเช้าลอยฟ้าที่กำลังลอยขึ้นสูงเหนือพื้นดิน บัญชาเอ่ยขึ้นทันที
“ช่วงนี้ลูกเครียดเรื่องเรียนบ้างหรือเปล่า วิตกกังวลเกี่ยวการสอบมั้ยหรือซึมเศร้าเรื่องคะแนนสอบ”
ลูกชายหันหน้ามาพร้อม ๆ กับแววตาที่งง ๆ กับคำถาม “ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นนี่”
บัญชาฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อยแต่ความกังวลใจก็ยังไม่หายไปจากสีหน้าทั้งหมด สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่พยายามทำให้ลูกชายรู้สึกสนุกสนานลืมความทุกข์ไปหมดสิ้น
ในร้านอาหารสำหรับครอบครัวแห่งหนึ่ง บัญชาพาลูกชายมากินอาหารเย็น ในร้านเต็มไปด้วยแขกที่มากันแบบครอบครัวทำให้บรรยากาศดูสดชื่นคึกคักเป็นพิเศษกว่าหลาย ๆ คืนสำหรับตัวบัญชาและลูกชาย ในขณะที่เจ้าตัวเล็กกำลังเลือกรายการอาหารจากเมนู พ่อเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“ลูกจะดื่มน้ำอัดลมมั้ย”
ลูกชายเงยหน้ามาสบตาพ่อ “ผมกินได้เหรอ ปกติพ่อจะไม่ให้กินนี่”
“เอาน่า นาน ๆ ทีไม่เป็นไรหรอก ลูกก็รู้ว่ากินเยอะ ๆ ไม่ดี”
“งั้นผมสั่งโค้กละกัน”
ทั้งคู่สั่งรายการอาหารกับพนักงานจากทางร้านเรียบร้อยแล้ว ไม่นานพนักงานคนเดิมก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ลูกชายทำท่าดีใจที่ได้ดื่มน้ำสีดำรสชาติหวานในแก้วที่เย็นจัด แก้วน้ำอัดลมทรงสูงค่อย ๆ ถูกยกขึ้นจิบทีละนิด
บัญชาจ้องมองที่ลูกชาย สักพักเขาก็พูดอะไรออกมา
“พ่อขอถามลูกตรง ๆ ได้มั้ยว่า ทำไมลูกถึงไม่อยากไปโรงเรียน”
เด็กชายถอนริมฝีปากออกจากขอบแก้ว จากนั้นค่อย ๆ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า ผู้เป็นพ่อจ้องมองมาที่แววตาที่ดูเศร้านั้น ไม่นานสายน้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาเป็นทางให้บัญชาเห็น
ผู้เป็นพ่อทำอะไรไม่ถูก จิตใจเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่เพราะไม่รู้ว่าสาเหตุไหนกันแน่ที่ทำให้ลูกชายเศร้าใจได้เพียงนี้ หน้าของลูกชายฟุบลงกับโต๊ะพร้อมปล่อยโฮดังลั่น บัญชาตกใจรีบหันซ้ายแลขวามองโต๊ะอื่นเพราะเกรงใจ เขารีบโอบลูกชายพร้อมตบไปที่หลังเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ ไม่นานเด็กชายร้องไห้เบาลงจนเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเผยให้เห็นคราบน้ำตาเต็มใบหน้า และเจ้าของคราบน้ำตาก็ค่อย ๆ พูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“ผมไม่มีหน้าที่จะโผล่ไปที่โรงเรียนได้อีกต่อไปแล้วครับ”
บัญชาใจจดใจจ่อรอฟังเหตุผลของลูกชายโดยที่เขาไม่อยากคาดคั้นอะไร ได้แต่รอให้คำพูดนั้นกลั่นออกมาเองจากปากของลูก
“ส้มจี๊ดห้องสี่ทับสามเธอไม่ยอมรับรักผมครับ ผมซื้อดอกกุหลาบไปให้เธอแต่เธอโยนทิ้งต่อหน้าผมอย่างไม่ไยดี เธอเลือกจะไปคบกับนักเรียนลูกครึ่งฝรั่งหน้าตาดีที่อยู่ห้องคิงแทน” หนุ่มน้อยร้องไห้ฟูมฟายหนักขึ้นเมื่อได้เผยความในใจ
บัญชาสติแตกเงื้อฝามือขึ้นเหนือหัวลูกชาย แต่เมื่อคิดได้เพียงเสี้ยววินาที เขาฟาดฝ่ามือลงมาที่หน้าผากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางนวดขมับทั้งสองข้างเบา
เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียน
บัญชาเดินผ่านประตูออฟฟิศก่อนที่จะเข้ามานั่งยังโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าที่บึ้งบูด หัวหน้าแผนกเดินผ่านมาพอดีเมื่อเห็นใบหน้านั้นจึ่งเอ่ยถามลูกน้อง
“เป็นอะไรมา ยังไม่ได้เริ่มงานก็เครียดแล้วเหรอ” หัวหน้าพูด
บัญชาพยายามปั้นหน้าหันมาทางหัวหน้า “ไม่ใช่เรื่องงานหรอกครับหัวหน้า ผมเครียดเรื่องลูก เมื่อเช้านี้มันร้องไห้งอแงไม่อยากไปโรงเรียน เอาแต่ตะโกนว่า ‘หนูไม่อยากไปโรงเรียน’ จนผมต้องใช้กำลังขู่เข็ญให้ไปแต่งตัวและลากมันขึ้นรถไปส่งโรงเรียน”
หัวหน้าแผนกแสดงสีหน้าตกอกตกใจกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน “อย่าไปใช้ความรุนแรงกับเด็กน่า มันไม่มีประโยชน์หรอก” ผู้พูดพยายามทำเสียงให้นุ่มนวลหวังทำให้ผู้ฟังอารมณ์เย็นลง “ว่าแต่ลูกคุณเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วนะ”
“อยู่ปอ 4 ครับ”
เมื่อผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่าเห็นท่าทีของบัญชาเริ่มสงบลงบ้างแล้ว เขาจึงพูดต่อ “ใจเย็น ๆ ก่อน บางทีแล้วเด็กไม่อยากไปโรงเรียนเพราะอาจมีเหตุผลที่ไม่อยากบอกผู้ใหญ่ก็ได้”
“มันขี้เกียจน่ะสิครับ” บัญชากระแทกเสียงด้วยอารมณ์ แต่เมื่อรู้สึกตัวจึงผ่อนเสียงลงในท้ายประโยค
หัวหน้าพูดต่อ “ถึงผมเนี่ยจะไม่มีลูก แต่ผมก็พอรู้เรื่องเด็กมาบ้างเหมือนกันนะ เพราะเคยได้ยินเพื่อน ๆ ที่มีลูกเขาคุยกัน สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คืออย่ารวบการไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กคนหนึ่งไปกับความขี้เกียจ เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าเด็กขี้เกียจจริง ๆ หรือถ้าเด็กขี้เกียจจริง ๆ เราก็ต้องพยายามหาสาเหตุว่าทำไมเด็กถึงขี้เกียจ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ตามแก้กันไป คุณไปแก้ปัญหาด้วยการบอกว่าอย่าขี้เกียจ ๆ เด็กจะไม่ฟังหรอก”
บัญชาทำสีหน้าครุ่นคิดเมื่อฟังสิ่งที่หัวหน้าแนะนำ
“บางครั้งเด็กอาจจะมีปัญหาจากโรงเรียน เช่น ถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนในโรงเรียนบ้าง เรียนไม่ทันเพื่อน ๆ ในชั้น เข้าสังคมไม่ได้ เข้ากับครูในโรงเรียนไม่ได้หรืออาจะมีปัญหาเรื่องอารมณ์ ว่าแต่คุณได้ให้เวลากับลูกเพียงพอหรือเปล่า” หัวหน้าทิ้งท้ายด้วยประโยคคำถาม
“น้อยมากครับ ตื่นนอนมาก็ได้แค่นั่งกินข้าวด้วยกันไม่ถึงสิบนาที ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนอีกสามสิบนาที ตอนเย็นนั่งรถกลับอีกสามสิบนาที มื้อเย็นกินข้าวเสร็จก็ตัวใครตัวมัน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็อยู่บ้านพักผ่อนไม่ได้ไปไหน”
“เอาอย่างนี้สิ ถ้าลูกคุณบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน วันนี้คุณรีบเคลียร์งานบนโต๊ะให้เสร็จ พรุ่งนี้ผมจะให้คุณลาหยุดหนึ่งวันเพื่อที่จะพาลูกไปเที่ยว แล้วก็พยายามพูดคุยถึงปัญหา เผื่อจะได้รีบแก้ไขก่อนที่จะสายไป”
บัญชาซาบซึ้งไปกับความหวังดีของหน้าจนแสดงออกมาทางแววตา “ขอบคุณมากครับ ทำไมหัวหน้าถึงมีน้ำใจมากมายขนาดนี้”
ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าตบมือลงบนบ่าของบัญชาเบา ๆ หนึ่งที “ไม่หรอก ผมต้องดูแลลูกน้องฝีมือดีอย่างคุณ หากจิตใจของคนทำงานไม่มีสมาธิเกี่ยวกับเรื่องงาน ก็คงจะทำให้งานออกมาเสีย เมื่องานในแผนกของผมผิดพลาดอาจจะโดนผู้ใหญ่ตำหนิมาได้ ผมห่วงเรื่องนี้มากกว่า”
บัญชาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของหัวหน้า ความสดใสและมีความหวังเริ่มกลับมาครอบครองพื้นที่บนใบหน้าของคนอมทุกข์ก่อนหน้านี้แล้ว แม้แต่หัวหน้าแผนกเองก็รู้สึกผ่อนคลายไปด้วยเมื่อเห็นลูกน้องแสดงท่าทีผ่อนคลาย
เสียงนาฬิกาปลุกดังเหมือนในทุก ๆ วันทำงาน แต่วันนี้บัญชาไม่รีบร้อนลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเหมือนวันอื่น ๆ เขาลุกเดินไปยังห้องนอนของลูกชาย เมื่อไปถึงก็เห็นลูกชายกำลังค่อย ๆ แต่งตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียนอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผู้เป็นพ่อจึงรีบพูดขึ้นว่า
“วันนี้เป็นวันหยุดพักร้อนของพ่อ เมื่อวานเห็นลูกบ่นว่าไม่อยากไปโรงเรียน พ่อเลยคิดว่าจะพาลูกไปเที่ยวสวนสนุกกันดีมั้ย”
ภาพของเด็กที่กำลังห่อเหี่ยวหลังจากได้ยินคำพูดของพ่อ ก็เหมือนมีเชื้อไฟมาเรียกร้อยยิ้มได้นิดนึง แต่หลังจากนั้นผู้เป็นลูกทำท่าถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“เอายังไง ลูกจะไปโรงเรียนหรือไปสวนสนุก” บัญชาถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ไปสวนสนุก” ลูกตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง
“โอเค งั้นเราไปกันเลย”
ในช่วงเช้าทั้งคู่ไปออกไปหาอะไรกินมื้อเช้านอกบ้าน บัญชาพยายามทำตัวให้ดูสดใสร่าเริง เพื่อหวังว่าลูกชายของเขาจะรู้สึกสดชื่นตาม แต่ทว่าแววตาและสีหน้านั้นก็ยังดูเศร้าหมอง
“พอดีพ่อเห็นเพื่อนในที่ทำงานเขาไปรับไปส่งลูกเรียนกวดวิชาตอนเย็นทุกวันเลย ลูกสนใจอยากไปเรียนบ้างมั้ย” บัญชาเอ่ยถามลูกชาย
“ไม่ล่ะพ่อ เรียนในห้องเรียนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร กลับมาบ้านก็มาทบทวนทุกวันอยู่แล้ว” เด็กตอบ
“อืม... ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ” บัญชาพูดเบา ๆ ในลำคอเพื่อไม่ให้คู่สนทนาได้ยิน
เมื่อขับรถออกจากร้านอาหาร บัญชาเปิดวิทยุฟังข่าวเพื่อทำลายความเงียบในรถ สักพักวิทยุก็รายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องแนวทางการแก้ปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษา คนขับรถแอบชำเลืองไปยังคนนั่งข้างที่ดูไม่ได้ใส่ใจกับเนื้อหาในข่าว สักพักบัญชาก็พูดขึ้น
“เด็กที่ชอบรังแกคนอื่นมักจะมีปมด้อย ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ ลูกคิดว่าแบบนั้นมั้ย”
ฝ่ายลูกตอบในทันทีทั้ง ๆ ที่สายตายังจ้องมองออกไปหน้ารถที่กำลังวิ่งบนถนน “คงจะอย่างนั้นมั้งครับ โชคดีที่โรงเรียนผมไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้”
“อืม... ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ” บัญชาพูดเบา ๆ ในลำคอเพื่อไม่ให้คู่สนทนาได้ยิน
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังยืนต่อแถวเพื่อซื้อบัตรเข้าสวนสนุก สีหน้าของบัญชายังไม่คลายความกังวลเกี่ยวกัลูกชาย เขาพูดออกมาเหมือนจะเปรย ๆ ไม่ได้จริงจังอะไรนัก
“ลูกไม่ไปทำรายงานบ้านเพื่อนบ้างเหรอช่วงนี้ เพื่อนชื่ออะไรนะที่ลูกชอบไปบ่อย ๆ”
ลูกชายหันหน้ามาทางพ่อพร้อมตอบ “บ้านตั้มน่ะเหรอครับ ช่วงปลายเทอมเราจะไปทำรายงานประจำวิชา และเพื่อน ๆ อีกหลายคนจะไปช่วยกันติวข้อสอบที่บ้านของตั้มกัน”
“นัดกันไปทั้งห้องเลยเหรอ”
“ก็มีหลายกลุ่มครับ กลุ่มของมมีกันอยู่แปดคนเอง”
บัญชาทำสีหน้าโล่งใจโดยหันมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น จากนั้นเมื่อทั้งคู่ได้ตั๋วเล่นเครื่องเล่นสวนสนุกแบบเหมาจ่าย เล่นได้ทุกเครื่องเล่น ผู้เป็นพ่อพยายามใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้กับลูกรักอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาแม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
ในตอนนี้ผู้เป็นลูกเริ่มมีรอยยิ้มสนุกสนานเหมือนจะลืมความทุกข์โศกจากก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น ผู้เป็นพ่อคลายความกังวลไปได้เยอะแต่ยังรอจังหวะถามอีกหนึ่งคำถามที่คาใจอยู่ และเมื่อทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ในกระเช้าลอยฟ้าที่กำลังลอยขึ้นสูงเหนือพื้นดิน บัญชาเอ่ยขึ้นทันที
“ช่วงนี้ลูกเครียดเรื่องเรียนบ้างหรือเปล่า วิตกกังวลเกี่ยวการสอบมั้ยหรือซึมเศร้าเรื่องคะแนนสอบ”
ลูกชายหันหน้ามาพร้อม ๆ กับแววตาที่งง ๆ กับคำถาม “ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นนี่”
บัญชาฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อยแต่ความกังวลใจก็ยังไม่หายไปจากสีหน้าทั้งหมด สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่พยายามทำให้ลูกชายรู้สึกสนุกสนานลืมความทุกข์ไปหมดสิ้น
ในร้านอาหารสำหรับครอบครัวแห่งหนึ่ง บัญชาพาลูกชายมากินอาหารเย็น ในร้านเต็มไปด้วยแขกที่มากันแบบครอบครัวทำให้บรรยากาศดูสดชื่นคึกคักเป็นพิเศษกว่าหลาย ๆ คืนสำหรับตัวบัญชาและลูกชาย ในขณะที่เจ้าตัวเล็กกำลังเลือกรายการอาหารจากเมนู พ่อเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“ลูกจะดื่มน้ำอัดลมมั้ย”
ลูกชายเงยหน้ามาสบตาพ่อ “ผมกินได้เหรอ ปกติพ่อจะไม่ให้กินนี่”
“เอาน่า นาน ๆ ทีไม่เป็นไรหรอก ลูกก็รู้ว่ากินเยอะ ๆ ไม่ดี”
“งั้นผมสั่งโค้กละกัน”
ทั้งคู่สั่งรายการอาหารกับพนักงานจากทางร้านเรียบร้อยแล้ว ไม่นานพนักงานคนเดิมก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ลูกชายทำท่าดีใจที่ได้ดื่มน้ำสีดำรสชาติหวานในแก้วที่เย็นจัด แก้วน้ำอัดลมทรงสูงค่อย ๆ ถูกยกขึ้นจิบทีละนิด
บัญชาจ้องมองที่ลูกชาย สักพักเขาก็พูดอะไรออกมา
“พ่อขอถามลูกตรง ๆ ได้มั้ยว่า ทำไมลูกถึงไม่อยากไปโรงเรียน”
เด็กชายถอนริมฝีปากออกจากขอบแก้ว จากนั้นค่อย ๆ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า ผู้เป็นพ่อจ้องมองมาที่แววตาที่ดูเศร้านั้น ไม่นานสายน้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาเป็นทางให้บัญชาเห็น
ผู้เป็นพ่อทำอะไรไม่ถูก จิตใจเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่เพราะไม่รู้ว่าสาเหตุไหนกันแน่ที่ทำให้ลูกชายเศร้าใจได้เพียงนี้ หน้าของลูกชายฟุบลงกับโต๊ะพร้อมปล่อยโฮดังลั่น บัญชาตกใจรีบหันซ้ายแลขวามองโต๊ะอื่นเพราะเกรงใจ เขารีบโอบลูกชายพร้อมตบไปที่หลังเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ ไม่นานเด็กชายร้องไห้เบาลงจนเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเผยให้เห็นคราบน้ำตาเต็มใบหน้า และเจ้าของคราบน้ำตาก็ค่อย ๆ พูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“ผมไม่มีหน้าที่จะโผล่ไปที่โรงเรียนได้อีกต่อไปแล้วครับ”
บัญชาใจจดใจจ่อรอฟังเหตุผลของลูกชายโดยที่เขาไม่อยากคาดคั้นอะไร ได้แต่รอให้คำพูดนั้นกลั่นออกมาเองจากปากของลูก
“ส้มจี๊ดห้องสี่ทับสามเธอไม่ยอมรับรักผมครับ ผมซื้อดอกกุหลาบไปให้เธอแต่เธอโยนทิ้งต่อหน้าผมอย่างไม่ไยดี เธอเลือกจะไปคบกับนักเรียนลูกครึ่งฝรั่งหน้าตาดีที่อยู่ห้องคิงแทน” หนุ่มน้อยร้องไห้ฟูมฟายหนักขึ้นเมื่อได้เผยความในใจ
บัญชาสติแตกเงื้อฝามือขึ้นเหนือหัวลูกชาย แต่เมื่อคิดได้เพียงเสี้ยววินาที เขาฟาดฝ่ามือลงมาที่หน้าผากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางนวดขมับทั้งสองข้างเบา