Darkest Hour (Joe Wright, 2017) คะแนน B
By Form Corleone
"รัฐบุรุษผู้เดียวดายในชั่วโมงแห่งความมืดมิด" อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษผู้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ความเป็นประชาธิปไตย 'วินสตัน เชอร์ชิล' ถูกหยิบมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างเป็นผลงานในโลกภาพยนตร์มาอย่างยาวนาน และในครั้งนี้ถือเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จในด้านการแสดงเป็นอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง เพราะ 'แกรี โอลด์แมน' สวมบทบาทได้ดีตลอดทั้งเรื่องและถือเป็นคุณงามความดีของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะการแสดงของเขานั้นช่วยทำให้ตัวหนังทรงพลังได้เกือบทุกฉาก ทั้งคำพูด+สำนวนที่ออกจากปาก สีหน้าแววตา อารมณ์ บุคลิกลักษณะท่าทาง ทั้งหมดถ่ายทอดออกมาเสมือนการขายร่างกายให้วิญญาณของ 'วินสตัน เชอร์ชิล' เข้ามาสวมจริงๆ พร้อมทั้งการเมคอัพร่างกายให้ดูอ้วนและแก่ชราจนเข้าใกล้รูปร่างตัวจริงมากที่สุด ทั้งหมดของ 'Darkest Hour' จึงทำให้เรารู้สึกว่ากำลังนั่งดูชีวิตของชายปากร้าย อารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจ หัวรั้น ไม่ยอมแพ้ ต่อสู้กับภัยสงครามจากนอกและในประเทศ รวมถึงบอกเล่าการเมืองที่เข้มข้นของประเทศอังกฤษในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากการแสดงของ 'แกรี โอลด์แมน' ที่ยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราซึมซับความตึงเครียดภายในเรื่องได้ดีนั้นคืองานภาพ ที่ตัวหนังมักเลือกใช้โทนทึบแสงและอาศัยลำแสงเพียงเล็กน้อยสอดผ่านหน้าต่างบ้าง มุมแคบบ้าง ทำให้ช่วงเวลาของภาพยนตร์ดูเคร่งขรึมในภาวการณ์ที่ตัวละครกำลังพบเจอ รวมไปถึงมุมกล้องที่ให้มุมสูงและความกว้างในแต่ละสถานที่ทำให้เรามองเห็นกิริยาอาการของตัวละครชัดเจน จนไปถึงการโคลสอัพใบด้านนักแสดงเพื่อให้เห็นช่วงอารมณ์แจ่มชัดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เวลาเงียบของหนังเราจะได้ยินเสียงการขยับตัวของตัวละครไปพร้อมกันอีกด้วย ความละเอียดในงานภาพและการแสดงจึงสอดประสานกันอย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม การกำกับของ 'โจ ไรต์' ดูจะจงใจอาศัยงานภาพและการแสดงมากจนเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่าตัวหนังไม่มีความต่อเนื่องและขาดความลื่นไหล เสมือนเอาภาพเคลื่อนไหวมาแปะต่อๆกันทั้งเรื่อง จุดที่ไม่ชอบมากๆคือการเซ็ตติ้งฉากที่รับรู้ได้ถึงความไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเอามารวมและต่อกันเป็นเรื่องราว ตัวประกอบแวดล้อมที่ดูไม่น่าเชื่อถือ(บางฉากเหมือนคนเสียสติมารวมตัวกัน) มันจึงทำให้เราไม่อินหรือคล้อยตามได้ตลอดรอดฝั่ง
ท้ายสุด 'Darkest Hour' ถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เรื่องราวในประวัติศาสตร์มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง 'แกรี โอลด์แมน' ทำให้ 'วินสตัน เชอร์ชิล' มีชีวิตมีมิติในความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ และให้การแสดงที่สุดยอดมากๆ ความสนุกสนานของภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ใช่ฉากรบในสงคราม แต่เป็นเบื้องหลังของสงคราม ที่มีคนหนึ่งคนแบกชะตากรรมของโลกเอาไว้ ทุกวินาทีของการตัดสินใจคืออนาคตของประเทศ เราจึงได้สัมผัสและมองเห็นแง่มุมของผู้นำท่านนี้ผ่านการแสดงทั้งหมดในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังถึงทางตัน คำพูดและวาทศิลป์คืออาวุธอย่างหนึ่งในภาวะสงคราม สำหรับใครที่ชอบภาพยนตร์แนวอิงประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะสนองและส่งมอบความสนุกสนานในรูปแบบของไดอะล็อกตอบโต้ผ่านบทสนทนาอย่างเมามันส์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่า ถ้าเราเอาแต่ละซีนมาประกอบกันแล้วงานนี้จะขาดความไหลลื่นอยู่ก็ตาม...เราจึงไม่อินเท่าภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องอื่น...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Darkest Hour (Joe Wright, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"รัฐบุรุษผู้เดียวดายในชั่วโมงแห่งความมืดมิด" อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษผู้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ความเป็นประชาธิปไตย 'วินสตัน เชอร์ชิล' ถูกหยิบมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างเป็นผลงานในโลกภาพยนตร์มาอย่างยาวนาน และในครั้งนี้ถือเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จในด้านการแสดงเป็นอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง เพราะ 'แกรี โอลด์แมน' สวมบทบาทได้ดีตลอดทั้งเรื่องและถือเป็นคุณงามความดีของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะการแสดงของเขานั้นช่วยทำให้ตัวหนังทรงพลังได้เกือบทุกฉาก ทั้งคำพูด+สำนวนที่ออกจากปาก สีหน้าแววตา อารมณ์ บุคลิกลักษณะท่าทาง ทั้งหมดถ่ายทอดออกมาเสมือนการขายร่างกายให้วิญญาณของ 'วินสตัน เชอร์ชิล' เข้ามาสวมจริงๆ พร้อมทั้งการเมคอัพร่างกายให้ดูอ้วนและแก่ชราจนเข้าใกล้รูปร่างตัวจริงมากที่สุด ทั้งหมดของ 'Darkest Hour' จึงทำให้เรารู้สึกว่ากำลังนั่งดูชีวิตของชายปากร้าย อารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจ หัวรั้น ไม่ยอมแพ้ ต่อสู้กับภัยสงครามจากนอกและในประเทศ รวมถึงบอกเล่าการเมืองที่เข้มข้นของประเทศอังกฤษในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากการแสดงของ 'แกรี โอลด์แมน' ที่ยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราซึมซับความตึงเครียดภายในเรื่องได้ดีนั้นคืองานภาพ ที่ตัวหนังมักเลือกใช้โทนทึบแสงและอาศัยลำแสงเพียงเล็กน้อยสอดผ่านหน้าต่างบ้าง มุมแคบบ้าง ทำให้ช่วงเวลาของภาพยนตร์ดูเคร่งขรึมในภาวการณ์ที่ตัวละครกำลังพบเจอ รวมไปถึงมุมกล้องที่ให้มุมสูงและความกว้างในแต่ละสถานที่ทำให้เรามองเห็นกิริยาอาการของตัวละครชัดเจน จนไปถึงการโคลสอัพใบด้านนักแสดงเพื่อให้เห็นช่วงอารมณ์แจ่มชัดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เวลาเงียบของหนังเราจะได้ยินเสียงการขยับตัวของตัวละครไปพร้อมกันอีกด้วย ความละเอียดในงานภาพและการแสดงจึงสอดประสานกันอย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม การกำกับของ 'โจ ไรต์' ดูจะจงใจอาศัยงานภาพและการแสดงมากจนเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่าตัวหนังไม่มีความต่อเนื่องและขาดความลื่นไหล เสมือนเอาภาพเคลื่อนไหวมาแปะต่อๆกันทั้งเรื่อง จุดที่ไม่ชอบมากๆคือการเซ็ตติ้งฉากที่รับรู้ได้ถึงความไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเอามารวมและต่อกันเป็นเรื่องราว ตัวประกอบแวดล้อมที่ดูไม่น่าเชื่อถือ(บางฉากเหมือนคนเสียสติมารวมตัวกัน) มันจึงทำให้เราไม่อินหรือคล้อยตามได้ตลอดรอดฝั่ง
ท้ายสุด 'Darkest Hour' ถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เรื่องราวในประวัติศาสตร์มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง 'แกรี โอลด์แมน' ทำให้ 'วินสตัน เชอร์ชิล' มีชีวิตมีมิติในความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ และให้การแสดงที่สุดยอดมากๆ ความสนุกสนานของภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ใช่ฉากรบในสงคราม แต่เป็นเบื้องหลังของสงคราม ที่มีคนหนึ่งคนแบกชะตากรรมของโลกเอาไว้ ทุกวินาทีของการตัดสินใจคืออนาคตของประเทศ เราจึงได้สัมผัสและมองเห็นแง่มุมของผู้นำท่านนี้ผ่านการแสดงทั้งหมดในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังถึงทางตัน คำพูดและวาทศิลป์คืออาวุธอย่างหนึ่งในภาวะสงคราม สำหรับใครที่ชอบภาพยนตร์แนวอิงประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะสนองและส่งมอบความสนุกสนานในรูปแบบของไดอะล็อกตอบโต้ผ่านบทสนทนาอย่างเมามันส์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่า ถ้าเราเอาแต่ละซีนมาประกอบกันแล้วงานนี้จะขาดความไหลลื่นอยู่ก็ตาม...เราจึงไม่อินเท่าภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องอื่น...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/