เมื่อเราพูดถึงหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวละครหลักๆ ของหนังมักไม่พ้นบรรดาผู้นำของฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอักษะที่มักจะมีตัวเอกอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมันนาซี หรือ เบนิโต้ มุสโสลินี ผู้นำฟาสซิสม์ของอิตาลี ส่วนในฟากฝ่ายสัมพันธมิตรที่มักจะรับบทพระเอกในหนังต่างๆ เนื่องจากที่ตนเป็นผู้ชนะสงคราม ก็มักจะมีตัวเอกอย่าง แฟรงคลิน ดี.รูสเวลท์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ และตัวเอกที่สำคัญที่เป็นสีสันในภาพยนตร์ต่างๆ มาไม่ต่ำกว่า 70 เรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล บุรุษเหล็กแมวเก้าชีวิต นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นช่วงนาทีวิกฤตที่เขาได้รับตำแหน่งสำคัญดังกล่าว โดยผู้ที่มารับบทเป็นรัฐบุรุษแห่งอังกฤษผู้นี้ ก็ได้แก่ดารามากฝีมือ แกรี่ โอลด์แมน ร่วมด้วย คริสติน สก็อต โทมัส , ลิลลี่ เจมส์ จาก Baby Driver (2017) ,โรนัลด์ พิคอัพ ,สตีเฟ่น ดิลเลน และ เบน เมนเดิลสัน โดยเป็นผลงานกำกับของ โจ ไรท์ผู้กำกับหนุ่มสัญชาติอังกฤษ
หนังบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคมปี1940 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเนวิลล์ แชมเบอร์เลน ( พิคอัพ ) ได้ถูกรัฐสภาของอังกฤษกดดันให้ลาออก เนื่องมาจากสาเหตุที่เขานั้นไม่สามารถยับยั้งการรุกรานประเทศต่างๆ ทั่วภาคพื้นยุโรปจากกองทัพเยอรมันนาซี เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ( โอลด์แมน ) นักการเมืองผู้คร่ำหวอดและอดีตรัฐมนตรีหลายสมัยผู้เป็นแกะดำแห่งพรรคอนุรักษ์นิยมจึงก้าวขึ้นมารับไม้ต่อจากแชมเบอร์เลนในช่วงวิกฤตนี้ ท่ามกลางความแคลงใจของพระเจ้าจอร์จที่หก( เมนเดิลสัน ) กษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร ที่มองว่าเชอร์ชิลเป็นคนที่ไม่เคยทำงานอะไรสำเร็จเลยสักอย่างแล้วเขาจะพาอังกฤษรอดพ้นจากการรุกรานไปได้อย่างไร อีกทั้งเชอร์ชิลยังต้องต่อสู้กับคณะรัฐมนตรีสงครามที่ล้วนมีความเห็นตรงกันข้ามกับเขา โดยเฉพาะลอร์ดฮาลิแฟกซ์ ( ดิลเลน ) ที่คอยกดดันเชอร์ชิลให้เปิดโต๊ะเจรจาสงบศึกกับฝ่ายอักษะซึ่งเป็นความเห็นที่ตรงข้ามกับความปรารถนาของเชอร์ชิลที่ต้องการต่อสู้จนถึงที่สุด ในขณะที่กองทัพอังกฤษถูกกองทัพเยอรมันรุกหนักเข้าตีจวนจะตกทะเลจนมารวมตัวกันที่ชายหาดดันเคิร์ก กองทัพเยอรมันล้อมทหารอังกฤษที่ตกค้างจำนวนกว่า 300,000 นาย เชอร์ชิลก็ตกที่นั่งลำบากว่าเขาจะเลือกหนทางไหนดีระหว่างการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน หรือต่อสู้จนเลือดหยดสุดท้ายหลั่งลงแผ่นดิน ทำให้เขาต้องออกไปข้างนอกสภาเพื่อฟังเสียงประชาชนและบรรดาเหล่าสมาชิกสภาว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความปรารถนาเช่นใด
แม้หนังจะจัดอยู่ในประเภทหนังสงครามแต่ก็ต้องบอกก่อนครับว่าฉากการสู้รบในหนังจะไม่ได้มีเยอะหรืออาจพูดได้ว่าแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากหนังเน้นในเรื่องบรรยากาศของการต่อสู้อุดมการณ์กันในคณะรัฐมนตรีเสียมากกว่า แต่ถึงจะไม่ได้เน้นฉากสงครามสักเท่าใดนัก หนังก็ยังสามารถพาเราซึมซับบรรยากาศอึมครึมในช่วงสงครามได้เป็นอย่างดี ผ่านสีหน้าแววตาและความหวาดหวั่นของตัวละครทุกตัวที่ปรากฏบนจอ สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังก็คือการถ่ายภาพที่มีการจัดแสงสีองค์ประกอบได้อย่างสวยงามราวกับภาพวาดยุคคลาสสิคที่เราเคยเห็นโดยเฉพาะฉากที่เป็นการพบกันระหว่างพระเจ้าจอร์จที่หก และเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลในตอนรับตำแหน่งที่ทำออกมาได้ดีมากๆ และสิ่งที่หลายๆ คนคิดว่าน่าจะเป็นงานหนักที่จะเนรมิตแกรี่ โอลด์แมนให้กลายเป็นเชอร์ชิลนายกรัฐมนตรีแห่งเกาะอังกฤษได้ กลับกลายเป็นว่าทีมเมคอัพสามารถทำได้อย่างเนียนกริบมากๆ ราวกับว่านี่คือ วินสตัน เชอร์ชิลตัวเป็นๆ มาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย รวมไปถึงเรื่องคอสตูมเสื้อผ้าหน้าผมทำได้เหมือนกับการแต่งกายของคนในยุคคุณปู่คุณย่ายังเด็กเลยก็ว่าได้ ในส่วนของฉากสถานที่ต่างๆ ก็สามารถเลือกออกมาได้เหมาะสมและจัดฉากได้สมจริงมากให้บรรยากาศของประเทศอังกฤษในช่วงที่ต้องเผชิญกับสงครามโลก ส่วนเพลงประกอบในหนังเรื่องนี้ก็สามารถเร้าอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ร่วมไปกับวินสตัน เชอร์ชิลได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ตื่นเต้น ฮึกเหิม หรือแม้กระทั่งอารมณ์เศร้าก็ตาม
พูดถึงเรื่องการแสดงกันบ้าง ต้องพูดเลยครับว่าถ้าหากแกรี่ โอลด์แมนจะได้รางวัลออสการ์ดารานำชายสักครั้งนึง หนังเรื่องนี้อาจจะทำให้เขาได้ถึงฝั่งฝันก็เป็นได้ เล่นดีมากๆๆๆๆ เขาทำให้เราได้เห็นว่าเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลตัวเป็นๆ นั้นเป็นอย่างไร เราจะได้เห็นชายวัยหกสิบกว่าเกือบเจ็ดสิบที่มีพลังเหลือเฟือมีความกระตือรือร้นในการทำงานอย่างแรงกล้าที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหลังจากที่เคยทำผิดพลาดแล้วมานับไม่ถ้วน ส่วนในด้านปุถุชนธรรมดาเราก็จะเห็นชายแก่ที่ขี้โมโหหงุดหงิดไปเสียทุกเรื่อง แถมยังขี้เมาดื่มเหล้าเป็นน้ำ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันและสิ่งนั้นเองทำให้ชายแก่คนนี้มีสเน่ห์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ รวมไปถึงความเด็ดขาดที่มีอยู่ในท่าทาง การพูดจา และแววตาของเขา ในส่วนการแสดงของคริสติน สก็อต โทมัส ในบทของเคลเมนไทน์ เชอร์ชิล คู่ชีวิตของนายกก็ทำได้ดีมากๆ ทำให้เราได้สัมผัสกับความรู้สึกของภรรยาของผู้นำประเทศว่าจะต้องมีความอดทนขนาดไหน และต้องคอยสนับสนุนเป็นกำลังใจให้สามีไม่ต้องพะวงกับหลังบ้าน เพื่อที่จะได้สามารถรับใช้ชาติได้อย่างเต็มที่ แถมยังเต็มใจที่จะยอมเป็นความสำคัญลำดับสองของสามีต่อจากประเทศชาติ ส่วนในบทบาทตัวร้ายของเรื่องอย่างลอร์ดฮาลิแฟกซ์ ที่จริงๆ แล้วจะเรียกตัวร้ายก็ไม่เชิงเพราะตัวร้ายต้องเป็นนาซี แต่เนื่องจากไม่ได้มีบทบาทของนาซีเลย ท่านลอร์ดจึงต้องรับบทเป็นตัวร้ายแทน ที่แสดงโดยสตีเฟ่น ดิลเลน ก็ต้องบอกว่าแสดงดีมากๆ เราจะไม่ได้เห็นตัวร้ายที่มีอารมณ์ร้อนแรงโมโหโทโส เกรี้ยวกราดไปทุกอย่าง ตรงกันข้ามเราจะเห็นตัวร้ายที่เป็นผู้ดีที่ใช้แต่คำพูดเชือดเฉือนในการกดดันตัวเอกของเรื่อง แถมยังเต็มไปด้วยแผนการและกลยุทธ์ที่เดินเกมอย่างสุขุมเยือกเย็น ที่กลับกลายเป็นว่าตัวเอกของเราเป็นฝ่ายเกรี้ยวกราดเสียเอง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำตัวหนึ่งของเรื่องเลยทีเดียว ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็เล่นได้ดีตามมาตรฐานครับ
สำหรับเรื่องนี้แค่ดูการแสดงของแกรี่ โอลด์แมนคนเดียวก็คุ้มแล้วครับ เล่นได้ดีมากๆ ทำให้เราลืมภาพสายลับรุ่นลายครามจอร์จ สไมลี่ย์ในเรื่อง Tinker Tailor Soldier Spy ไปอย่างสนิทเลย หนังเรื่องนี้ต้องบอกก่อนครับว่าอาจจะไม่ได้ถูกใจสำหรับทุกคนเพราะหนังเป็นแนวซีเรียสเครียดพอสมควร แต่ก็เป็นหนังที่นักดูหนังควรที่จะดูเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการแสดงที่เอกอุของดารานำ อย่างไรก็ตามในความเห็นของผมมองว่าหนังมีจุดบกพร่องเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการที่ตัดตอนมาเริ่มตอนที่เนวิล แชมเบอร์เลนถูกกดดันให้ลาออกทั้งๆ ที่น่าจะปูเรื่องมาเพื่อให้คนดูมีความเข้าใจในความเป็นมาสักหน่อย หรือในตอนจบที่น่าจะเพิ่มฉากหรือฟุตเทจจริงๆ แทนที่จะจบด้วยการบรรยายด้วยตัวอักษรจะทำให้สมบูรณ์มากขึ้น ผมให้คะแนน 8.5 เต็ม 10 ครับสำหรับเรื่องนี้ สุดท้ายนี้หนังยังให้ข้อคิดกับเราว่า ถ้าเราเชื่อมั่นว่าความคิดของเราเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จงอย่าไขว้เขวไปกับความคิดของคนอื่น จงมุ่งมั่นและเดินไปให้สุด เพราะนั่นอาจจะเป็นหนทางที่นำไปความสำเร็จก็เป็นได้ และ “คุณไม่สามารถใช้เหตุผลกับเสือได้ เมื่อหัวของคุณอยู่ในปากของมัน”
การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ
[CR] [Review] Darkest Hour (2018) ชั่วโมงพลิกโลก
เมื่อเราพูดถึงหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวละครหลักๆ ของหนังมักไม่พ้นบรรดาผู้นำของฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอักษะที่มักจะมีตัวเอกอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมันนาซี หรือ เบนิโต้ มุสโสลินี ผู้นำฟาสซิสม์ของอิตาลี ส่วนในฟากฝ่ายสัมพันธมิตรที่มักจะรับบทพระเอกในหนังต่างๆ เนื่องจากที่ตนเป็นผู้ชนะสงคราม ก็มักจะมีตัวเอกอย่าง แฟรงคลิน ดี.รูสเวลท์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ และตัวเอกที่สำคัญที่เป็นสีสันในภาพยนตร์ต่างๆ มาไม่ต่ำกว่า 70 เรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล บุรุษเหล็กแมวเก้าชีวิต นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นช่วงนาทีวิกฤตที่เขาได้รับตำแหน่งสำคัญดังกล่าว โดยผู้ที่มารับบทเป็นรัฐบุรุษแห่งอังกฤษผู้นี้ ก็ได้แก่ดารามากฝีมือ แกรี่ โอลด์แมน ร่วมด้วย คริสติน สก็อต โทมัส , ลิลลี่ เจมส์ จาก Baby Driver (2017) ,โรนัลด์ พิคอัพ ,สตีเฟ่น ดิลเลน และ เบน เมนเดิลสัน โดยเป็นผลงานกำกับของ โจ ไรท์ผู้กำกับหนุ่มสัญชาติอังกฤษ
หนังบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคมปี1940 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเนวิลล์ แชมเบอร์เลน ( พิคอัพ ) ได้ถูกรัฐสภาของอังกฤษกดดันให้ลาออก เนื่องมาจากสาเหตุที่เขานั้นไม่สามารถยับยั้งการรุกรานประเทศต่างๆ ทั่วภาคพื้นยุโรปจากกองทัพเยอรมันนาซี เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ( โอลด์แมน ) นักการเมืองผู้คร่ำหวอดและอดีตรัฐมนตรีหลายสมัยผู้เป็นแกะดำแห่งพรรคอนุรักษ์นิยมจึงก้าวขึ้นมารับไม้ต่อจากแชมเบอร์เลนในช่วงวิกฤตนี้ ท่ามกลางความแคลงใจของพระเจ้าจอร์จที่หก( เมนเดิลสัน ) กษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร ที่มองว่าเชอร์ชิลเป็นคนที่ไม่เคยทำงานอะไรสำเร็จเลยสักอย่างแล้วเขาจะพาอังกฤษรอดพ้นจากการรุกรานไปได้อย่างไร อีกทั้งเชอร์ชิลยังต้องต่อสู้กับคณะรัฐมนตรีสงครามที่ล้วนมีความเห็นตรงกันข้ามกับเขา โดยเฉพาะลอร์ดฮาลิแฟกซ์ ( ดิลเลน ) ที่คอยกดดันเชอร์ชิลให้เปิดโต๊ะเจรจาสงบศึกกับฝ่ายอักษะซึ่งเป็นความเห็นที่ตรงข้ามกับความปรารถนาของเชอร์ชิลที่ต้องการต่อสู้จนถึงที่สุด ในขณะที่กองทัพอังกฤษถูกกองทัพเยอรมันรุกหนักเข้าตีจวนจะตกทะเลจนมารวมตัวกันที่ชายหาดดันเคิร์ก กองทัพเยอรมันล้อมทหารอังกฤษที่ตกค้างจำนวนกว่า 300,000 นาย เชอร์ชิลก็ตกที่นั่งลำบากว่าเขาจะเลือกหนทางไหนดีระหว่างการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน หรือต่อสู้จนเลือดหยดสุดท้ายหลั่งลงแผ่นดิน ทำให้เขาต้องออกไปข้างนอกสภาเพื่อฟังเสียงประชาชนและบรรดาเหล่าสมาชิกสภาว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความปรารถนาเช่นใด
แม้หนังจะจัดอยู่ในประเภทหนังสงครามแต่ก็ต้องบอกก่อนครับว่าฉากการสู้รบในหนังจะไม่ได้มีเยอะหรืออาจพูดได้ว่าแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากหนังเน้นในเรื่องบรรยากาศของการต่อสู้อุดมการณ์กันในคณะรัฐมนตรีเสียมากกว่า แต่ถึงจะไม่ได้เน้นฉากสงครามสักเท่าใดนัก หนังก็ยังสามารถพาเราซึมซับบรรยากาศอึมครึมในช่วงสงครามได้เป็นอย่างดี ผ่านสีหน้าแววตาและความหวาดหวั่นของตัวละครทุกตัวที่ปรากฏบนจอ สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังก็คือการถ่ายภาพที่มีการจัดแสงสีองค์ประกอบได้อย่างสวยงามราวกับภาพวาดยุคคลาสสิคที่เราเคยเห็นโดยเฉพาะฉากที่เป็นการพบกันระหว่างพระเจ้าจอร์จที่หก และเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลในตอนรับตำแหน่งที่ทำออกมาได้ดีมากๆ และสิ่งที่หลายๆ คนคิดว่าน่าจะเป็นงานหนักที่จะเนรมิตแกรี่ โอลด์แมนให้กลายเป็นเชอร์ชิลนายกรัฐมนตรีแห่งเกาะอังกฤษได้ กลับกลายเป็นว่าทีมเมคอัพสามารถทำได้อย่างเนียนกริบมากๆ ราวกับว่านี่คือ วินสตัน เชอร์ชิลตัวเป็นๆ มาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย รวมไปถึงเรื่องคอสตูมเสื้อผ้าหน้าผมทำได้เหมือนกับการแต่งกายของคนในยุคคุณปู่คุณย่ายังเด็กเลยก็ว่าได้ ในส่วนของฉากสถานที่ต่างๆ ก็สามารถเลือกออกมาได้เหมาะสมและจัดฉากได้สมจริงมากให้บรรยากาศของประเทศอังกฤษในช่วงที่ต้องเผชิญกับสงครามโลก ส่วนเพลงประกอบในหนังเรื่องนี้ก็สามารถเร้าอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ร่วมไปกับวินสตัน เชอร์ชิลได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ตื่นเต้น ฮึกเหิม หรือแม้กระทั่งอารมณ์เศร้าก็ตาม
พูดถึงเรื่องการแสดงกันบ้าง ต้องพูดเลยครับว่าถ้าหากแกรี่ โอลด์แมนจะได้รางวัลออสการ์ดารานำชายสักครั้งนึง หนังเรื่องนี้อาจจะทำให้เขาได้ถึงฝั่งฝันก็เป็นได้ เล่นดีมากๆๆๆๆ เขาทำให้เราได้เห็นว่าเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลตัวเป็นๆ นั้นเป็นอย่างไร เราจะได้เห็นชายวัยหกสิบกว่าเกือบเจ็ดสิบที่มีพลังเหลือเฟือมีความกระตือรือร้นในการทำงานอย่างแรงกล้าที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหลังจากที่เคยทำผิดพลาดแล้วมานับไม่ถ้วน ส่วนในด้านปุถุชนธรรมดาเราก็จะเห็นชายแก่ที่ขี้โมโหหงุดหงิดไปเสียทุกเรื่อง แถมยังขี้เมาดื่มเหล้าเป็นน้ำ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันและสิ่งนั้นเองทำให้ชายแก่คนนี้มีสเน่ห์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ รวมไปถึงความเด็ดขาดที่มีอยู่ในท่าทาง การพูดจา และแววตาของเขา ในส่วนการแสดงของคริสติน สก็อต โทมัส ในบทของเคลเมนไทน์ เชอร์ชิล คู่ชีวิตของนายกก็ทำได้ดีมากๆ ทำให้เราได้สัมผัสกับความรู้สึกของภรรยาของผู้นำประเทศว่าจะต้องมีความอดทนขนาดไหน และต้องคอยสนับสนุนเป็นกำลังใจให้สามีไม่ต้องพะวงกับหลังบ้าน เพื่อที่จะได้สามารถรับใช้ชาติได้อย่างเต็มที่ แถมยังเต็มใจที่จะยอมเป็นความสำคัญลำดับสองของสามีต่อจากประเทศชาติ ส่วนในบทบาทตัวร้ายของเรื่องอย่างลอร์ดฮาลิแฟกซ์ ที่จริงๆ แล้วจะเรียกตัวร้ายก็ไม่เชิงเพราะตัวร้ายต้องเป็นนาซี แต่เนื่องจากไม่ได้มีบทบาทของนาซีเลย ท่านลอร์ดจึงต้องรับบทเป็นตัวร้ายแทน ที่แสดงโดยสตีเฟ่น ดิลเลน ก็ต้องบอกว่าแสดงดีมากๆ เราจะไม่ได้เห็นตัวร้ายที่มีอารมณ์ร้อนแรงโมโหโทโส เกรี้ยวกราดไปทุกอย่าง ตรงกันข้ามเราจะเห็นตัวร้ายที่เป็นผู้ดีที่ใช้แต่คำพูดเชือดเฉือนในการกดดันตัวเอกของเรื่อง แถมยังเต็มไปด้วยแผนการและกลยุทธ์ที่เดินเกมอย่างสุขุมเยือกเย็น ที่กลับกลายเป็นว่าตัวเอกของเราเป็นฝ่ายเกรี้ยวกราดเสียเอง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำตัวหนึ่งของเรื่องเลยทีเดียว ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็เล่นได้ดีตามมาตรฐานครับ
สำหรับเรื่องนี้แค่ดูการแสดงของแกรี่ โอลด์แมนคนเดียวก็คุ้มแล้วครับ เล่นได้ดีมากๆ ทำให้เราลืมภาพสายลับรุ่นลายครามจอร์จ สไมลี่ย์ในเรื่อง Tinker Tailor Soldier Spy ไปอย่างสนิทเลย หนังเรื่องนี้ต้องบอกก่อนครับว่าอาจจะไม่ได้ถูกใจสำหรับทุกคนเพราะหนังเป็นแนวซีเรียสเครียดพอสมควร แต่ก็เป็นหนังที่นักดูหนังควรที่จะดูเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการแสดงที่เอกอุของดารานำ อย่างไรก็ตามในความเห็นของผมมองว่าหนังมีจุดบกพร่องเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการที่ตัดตอนมาเริ่มตอนที่เนวิล แชมเบอร์เลนถูกกดดันให้ลาออกทั้งๆ ที่น่าจะปูเรื่องมาเพื่อให้คนดูมีความเข้าใจในความเป็นมาสักหน่อย หรือในตอนจบที่น่าจะเพิ่มฉากหรือฟุตเทจจริงๆ แทนที่จะจบด้วยการบรรยายด้วยตัวอักษรจะทำให้สมบูรณ์มากขึ้น ผมให้คะแนน 8.5 เต็ม 10 ครับสำหรับเรื่องนี้ สุดท้ายนี้หนังยังให้ข้อคิดกับเราว่า ถ้าเราเชื่อมั่นว่าความคิดของเราเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จงอย่าไขว้เขวไปกับความคิดของคนอื่น จงมุ่งมั่นและเดินไปให้สุด เพราะนั่นอาจจะเป็นหนทางที่นำไปความสำเร็จก็เป็นได้ และ “คุณไม่สามารถใช้เหตุผลกับเสือได้ เมื่อหัวของคุณอยู่ในปากของมัน”
การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ