“Google ตั้งแต่เริ่มตั้งไข่”
พวกเรายังจำความรู้สึกแรกที่ใช้ Google กันได้ไหม แม้จะรู้สึกแปลกหูกับชื่อนี้ในตอนแรก แต่พอได้ทดลองใช้จริงแล้ว อยากรู้อะไร เพียงแค่ใส่ key word หรือคำสำคัญลงไปในช่องค้นหา แล้วกด Enter พริบตาเดียว เราก็เจอคำตอบที่ต้องการโดยถูกจัดเรียงตามความน่าเชื่อถือและความนิยมจากแหล่งต่าง ๆ มากมาย ทั้งง่าย สะดวก และแม่นยำขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้ Google เป็นผู้ครองตลาดการสืบค้นข้อมูลออนไลน์กว่า 70% ทั่วโลก Google ทำได้อย่างไร และพัฒนาการในอดีตที่ผ่านมาของ Google เป็นอย่างไร เรามาติดตามไปด้วยกันเลยครับ
เทคโนโลยีการสืบค้นที่ไม่เหมือนใคร
ในปี 1998 Larry Page และ Sergey Brin ซึ่งเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รู้สึกตื่นเต้นกับไอเดียบรรเจิดที่จะสกัดเอาความหมายจากข้อมูลที่สะสมอยู่เป็นจำนวนมหาศาลในอินเตอร์เน็ต จากจุดเริ่มต้นในหอพักของ Larry Page พวกเค้าได้สร้างเทคโนโลยีการสืบค้นชนิดใหม่ที่เรียกว่า BackRub จุดสำคัญของเครื่องมือนี้ก็คือ การนำความสามารถในการจัดลำดับ (ranking) ของเว็บไซด์ผู้ใช้งานเอง มาสืบค้นจำนวนหน้าอื่น ๆ ที่มีการเชื่อมโยงกับเว็บไซด์นั้น (backing links) ในขณะที่เครื่องมือการสืบค้นส่วนใหญ่ในขณะนั้นสามารถทำได้เพียงค้นหาเว็บไซด์โดยจัดลำดับ keyword จากความถี่ของคำที่อยู่ในเว็บไซด์เท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า BackRub ให้น้ำหนักกับเว็บไซด์ที่มีจำนวนหน้าที่มีการเชื่อมโยงกันเป็นพัน ๆ หน้า มากกว่าเว็บที่มีจำนวนหน้าเชื่อมโยงเพียงไม่กี่หน้า ผลก็คือ เว็บไซด์ที่มีการเชื่อมโยงจำนวนหน้าเยอะกว่าก็จะปรากฎอยู่บรรทัดบน ๆ ในการสืบค้นของผู้ใช้งานนั่นเอง
ที่มาของชื่อ Google
ชื่อ BackRub นั้นถูกใช้อยู่ไม่นาน ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อ “googol” ซึ่งเป็นศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่แปลว่า จำนวนที่มีเลขหนึ่งแล้วตามด้วยเลขศูนย์อีก 100 ตัว เพื่อให้สะท้อนถึงปริมาณข้อมูลมหาศาลที่ระบบพยายามเข้าไปตรวจค้นและจัดเรียง แต่ Larry Page และ Sergey Brin เกิดนึกอยากเล่นคำให้จำง่ายและดูเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น ก็เลยปรับคำลงท้ายเล็กน้อยกลายเป็นชื่อ “Google”
เติบโตจากรายได้ค่าโฆษณา
ผลประกอบการอันแข็งแกร่งของ Google สะท้อนจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงความนิยมในการเข้าใช้เว็บไซด์ Google เอง ความสำเร็จของ Google มาจากการเปลี่ยนแนวทางการใช้งบโฆษณาจากสื่อดั้งเดิม อย่างหนังสือพิมพ์ แม็กกาซีน และทีวี มาเป็นการโฆษณาบนหน้าอินเตอร์เน็ต เราจะเห็นได้จากงบโฆษณาออนไลน์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างกว่า 12 เท่าตัวในเวลาประมาณ 10 ปี จาก 6 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2543 มาเป็น 72 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2554
แตกแขนงไปยังธุรกิจอื่น
Google ยังไม่หยุดแค่การทำรายได้จากค่าโฆษณาที่พ่วงมากับการสืบค้นข้อมูล แต่ยังได้ขยายธุรกิจมาสู่การทำเนื้อหา (content) ในรูปแบบวิดีโอ โดยในปี 2548 Google ได้เปิดตัว Google Video ที่สามารถให้ผู้ใช้งานสืบค้นคำ subtitle ของรายการทีวี หลังจากนั้นก็เริ่มเปิดรับวิดีโอที่จัดทำขึ้นโดยผู้ใช้งาน โดยที่ผู้ใช้งานเป็นผู้ตั้งราคาสำหรับผู้อื่นที่ต้องการดาวน์โหลดหรือเปิดดูวิดีโอนั้น ต่อมาในปี 2549 Google ได้เปิดร้าน Google Video Store โดยจับมือกับบริษัทสื่อชื่อดังอย่าง CBS (รายการทีวีโชว์) และ Sony Corp (ภาพยนตร์) และก็ยังเริ่มปล่อยวิดีโอแบบพรีเมี่ยมโดยไม่คิดเงินแต่มีโฆษณาแทรกอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่ว่า Google จะใช้กลยุทธ์ในการทำตลาดของ Google Video อย่างไร ก็ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Youtube ได้เลย โดยตั้งแต่ Youtube เริ่มเปิดตัวในปี 2548 ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ใช้ในการอัพโหลดไฟล์วิดีโอเล็ก ๆ ซึ่งดึงดูดผู้ชมเป็นล้านคนทั่วโลก ต่อมาในปี 2549 Google จึงได้เข้าซื้อหุ้นของ Youtube คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทไทย) โดยแทนที่จะรวมเข้ามาไว้ในเว็บไซด์เดียวกัน Google กลับปล่อยให้ Youtube ดำเนินธุรกิจแยกต่างหากต่อไป และต่อมาในปี 2555 Google ก็ได้ยกเลิก Google Video และย้ายวิดีโอที่มีมาลงใน Youtube ทั้งหมด
Gmail
ในปี 2547 Google ได้เริ่มเปิดให้ใช้อีเมลแบบ website-based โดยไม่คิดค่าบริการ ชื่อว่า Gmail โดยจุดเด่นของ Gmail ก็คือ ให้อีเมลแอ็ดเดรสที่เป็นอิสระจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (Internet service provider: ISP) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถคงสถานะอีเมลแอ็ดเดรสได้อย่างถาวร และยังเสนอความจุให้ถึง 1 GB ฟรี ๆ อีกด้วย หลังจากนั้น Google ก็ยังเพิ่มขนาดความจุไปถึง 7 GB และในปี 2550 ก็ยังซื้อบริษัท Postini เพื่อเข้ามาปรับปรุงระบบความปลอดภัยของ Gmail ให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Google ยังขยายการให้บริการด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น Google Maps, Google Books, Google Earth, Google Apps & Chrome รวมถึงทำระบบปฏิบัติการ (Operating System) ให้กับโทรศัพท์มือถือ Android ยี่ห้อต่าง ๆ เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่า Google เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทสืบค้นข้อมูลออนไลน์ แต่ในปัจจุบันมีการให้บริการและออกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กว่า 50 ประเภท ตั้งแต่อีเมล, การสร้างเอกสารออนไลน์ ไปจนถึง software สำหรับโทรศัพท์มือถือและแทปเล็ต โดยมีพนักงานกว่า 60,000 คนใน 50 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ในปี 2555 Google ยังได้เข้าซื้อกิจการของ Motorola เพื่อเจาะตลาดการขาย hardware สำหรับโทรศัพท์มือถือ ขนาดของผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายของ Google ทำให้ Google เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่มีอิทธิพลสูงสุดในตลาดเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับ Apple, IBM และ Microsoft นอกจากผลิตภัณฑ์หลากชนิดแล้ว เครื่องมือในการสืบค้นที่เป็นรากฐานดั้งเดิมของ Google ก็ยังคงเป็นกุญแจความสำเร็จของ Google โดยในปี 2559 บริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google มีรายได้เกือบทั้งหมดมาจากค่าโฆษณาบน Google จากที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเรา ๆ เป็นผู้สืบค้นนั่นเอง
แหล่งอ้างอิง :
britannica.com
businessinsider.com
google.com/intl/en/about/our-story/
ภาพประกอบจาก
https://www.digitaltrends.com
facebook link :
https://www.facebook.com%2Fpermalink.php%3Fstory_fbid%3D321761151662646%26id%3D244466562725439
“Google ตั้งแต่เริ่มตั้งไข่”
พวกเรายังจำความรู้สึกแรกที่ใช้ Google กันได้ไหม แม้จะรู้สึกแปลกหูกับชื่อนี้ในตอนแรก แต่พอได้ทดลองใช้จริงแล้ว อยากรู้อะไร เพียงแค่ใส่ key word หรือคำสำคัญลงไปในช่องค้นหา แล้วกด Enter พริบตาเดียว เราก็เจอคำตอบที่ต้องการโดยถูกจัดเรียงตามความน่าเชื่อถือและความนิยมจากแหล่งต่าง ๆ มากมาย ทั้งง่าย สะดวก และแม่นยำขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้ Google เป็นผู้ครองตลาดการสืบค้นข้อมูลออนไลน์กว่า 70% ทั่วโลก Google ทำได้อย่างไร และพัฒนาการในอดีตที่ผ่านมาของ Google เป็นอย่างไร เรามาติดตามไปด้วยกันเลยครับ
เทคโนโลยีการสืบค้นที่ไม่เหมือนใคร
ในปี 1998 Larry Page และ Sergey Brin ซึ่งเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รู้สึกตื่นเต้นกับไอเดียบรรเจิดที่จะสกัดเอาความหมายจากข้อมูลที่สะสมอยู่เป็นจำนวนมหาศาลในอินเตอร์เน็ต จากจุดเริ่มต้นในหอพักของ Larry Page พวกเค้าได้สร้างเทคโนโลยีการสืบค้นชนิดใหม่ที่เรียกว่า BackRub จุดสำคัญของเครื่องมือนี้ก็คือ การนำความสามารถในการจัดลำดับ (ranking) ของเว็บไซด์ผู้ใช้งานเอง มาสืบค้นจำนวนหน้าอื่น ๆ ที่มีการเชื่อมโยงกับเว็บไซด์นั้น (backing links) ในขณะที่เครื่องมือการสืบค้นส่วนใหญ่ในขณะนั้นสามารถทำได้เพียงค้นหาเว็บไซด์โดยจัดลำดับ keyword จากความถี่ของคำที่อยู่ในเว็บไซด์เท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า BackRub ให้น้ำหนักกับเว็บไซด์ที่มีจำนวนหน้าที่มีการเชื่อมโยงกันเป็นพัน ๆ หน้า มากกว่าเว็บที่มีจำนวนหน้าเชื่อมโยงเพียงไม่กี่หน้า ผลก็คือ เว็บไซด์ที่มีการเชื่อมโยงจำนวนหน้าเยอะกว่าก็จะปรากฎอยู่บรรทัดบน ๆ ในการสืบค้นของผู้ใช้งานนั่นเอง
ที่มาของชื่อ Google
ชื่อ BackRub นั้นถูกใช้อยู่ไม่นาน ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อ “googol” ซึ่งเป็นศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่แปลว่า จำนวนที่มีเลขหนึ่งแล้วตามด้วยเลขศูนย์อีก 100 ตัว เพื่อให้สะท้อนถึงปริมาณข้อมูลมหาศาลที่ระบบพยายามเข้าไปตรวจค้นและจัดเรียง แต่ Larry Page และ Sergey Brin เกิดนึกอยากเล่นคำให้จำง่ายและดูเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น ก็เลยปรับคำลงท้ายเล็กน้อยกลายเป็นชื่อ “Google”
เติบโตจากรายได้ค่าโฆษณา
ผลประกอบการอันแข็งแกร่งของ Google สะท้อนจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงความนิยมในการเข้าใช้เว็บไซด์ Google เอง ความสำเร็จของ Google มาจากการเปลี่ยนแนวทางการใช้งบโฆษณาจากสื่อดั้งเดิม อย่างหนังสือพิมพ์ แม็กกาซีน และทีวี มาเป็นการโฆษณาบนหน้าอินเตอร์เน็ต เราจะเห็นได้จากงบโฆษณาออนไลน์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างกว่า 12 เท่าตัวในเวลาประมาณ 10 ปี จาก 6 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2543 มาเป็น 72 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2554
แตกแขนงไปยังธุรกิจอื่น
Google ยังไม่หยุดแค่การทำรายได้จากค่าโฆษณาที่พ่วงมากับการสืบค้นข้อมูล แต่ยังได้ขยายธุรกิจมาสู่การทำเนื้อหา (content) ในรูปแบบวิดีโอ โดยในปี 2548 Google ได้เปิดตัว Google Video ที่สามารถให้ผู้ใช้งานสืบค้นคำ subtitle ของรายการทีวี หลังจากนั้นก็เริ่มเปิดรับวิดีโอที่จัดทำขึ้นโดยผู้ใช้งาน โดยที่ผู้ใช้งานเป็นผู้ตั้งราคาสำหรับผู้อื่นที่ต้องการดาวน์โหลดหรือเปิดดูวิดีโอนั้น ต่อมาในปี 2549 Google ได้เปิดร้าน Google Video Store โดยจับมือกับบริษัทสื่อชื่อดังอย่าง CBS (รายการทีวีโชว์) และ Sony Corp (ภาพยนตร์) และก็ยังเริ่มปล่อยวิดีโอแบบพรีเมี่ยมโดยไม่คิดเงินแต่มีโฆษณาแทรกอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่ว่า Google จะใช้กลยุทธ์ในการทำตลาดของ Google Video อย่างไร ก็ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Youtube ได้เลย โดยตั้งแต่ Youtube เริ่มเปิดตัวในปี 2548 ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ใช้ในการอัพโหลดไฟล์วิดีโอเล็ก ๆ ซึ่งดึงดูดผู้ชมเป็นล้านคนทั่วโลก ต่อมาในปี 2549 Google จึงได้เข้าซื้อหุ้นของ Youtube คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทไทย) โดยแทนที่จะรวมเข้ามาไว้ในเว็บไซด์เดียวกัน Google กลับปล่อยให้ Youtube ดำเนินธุรกิจแยกต่างหากต่อไป และต่อมาในปี 2555 Google ก็ได้ยกเลิก Google Video และย้ายวิดีโอที่มีมาลงใน Youtube ทั้งหมด
Gmail
ในปี 2547 Google ได้เริ่มเปิดให้ใช้อีเมลแบบ website-based โดยไม่คิดค่าบริการ ชื่อว่า Gmail โดยจุดเด่นของ Gmail ก็คือ ให้อีเมลแอ็ดเดรสที่เป็นอิสระจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (Internet service provider: ISP) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถคงสถานะอีเมลแอ็ดเดรสได้อย่างถาวร และยังเสนอความจุให้ถึง 1 GB ฟรี ๆ อีกด้วย หลังจากนั้น Google ก็ยังเพิ่มขนาดความจุไปถึง 7 GB และในปี 2550 ก็ยังซื้อบริษัท Postini เพื่อเข้ามาปรับปรุงระบบความปลอดภัยของ Gmail ให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Google ยังขยายการให้บริการด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น Google Maps, Google Books, Google Earth, Google Apps & Chrome รวมถึงทำระบบปฏิบัติการ (Operating System) ให้กับโทรศัพท์มือถือ Android ยี่ห้อต่าง ๆ เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่า Google เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทสืบค้นข้อมูลออนไลน์ แต่ในปัจจุบันมีการให้บริการและออกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กว่า 50 ประเภท ตั้งแต่อีเมล, การสร้างเอกสารออนไลน์ ไปจนถึง software สำหรับโทรศัพท์มือถือและแทปเล็ต โดยมีพนักงานกว่า 60,000 คนใน 50 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ในปี 2555 Google ยังได้เข้าซื้อกิจการของ Motorola เพื่อเจาะตลาดการขาย hardware สำหรับโทรศัพท์มือถือ ขนาดของผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายของ Google ทำให้ Google เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่มีอิทธิพลสูงสุดในตลาดเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับ Apple, IBM และ Microsoft นอกจากผลิตภัณฑ์หลากชนิดแล้ว เครื่องมือในการสืบค้นที่เป็นรากฐานดั้งเดิมของ Google ก็ยังคงเป็นกุญแจความสำเร็จของ Google โดยในปี 2559 บริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google มีรายได้เกือบทั้งหมดมาจากค่าโฆษณาบน Google จากที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเรา ๆ เป็นผู้สืบค้นนั่นเอง
แหล่งอ้างอิง :
britannica.com
businessinsider.com
google.com/intl/en/about/our-story/
ภาพประกอบจาก https://www.digitaltrends.com
facebook link : https://www.facebook.com%2Fpermalink.php%3Fstory_fbid%3D321761151662646%26id%3D244466562725439