สังคมทุกที่จะน่าอยู่กว่านี้มาก หากว่าคนในสังคมนั้นๆเลิก “กระแดะ”

กระทู้คำถาม
.
       กระแดะ คำนี้เป็นคำไทยแท้ แต่คนไทยแท้ๆกลับไม่ชอบความหมายของมัน มองว่าเป็นคำด่า ซึ่งตามพจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า กระแดะ (ปาก) ก. ดัดจริต ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำ. และด้วยความหมายของคำ จะถูกมองว่าเป็นคำด่าก็ไม่แปลกตรงไหน แต่แปลกตรงที่คนไทยมักจะไม่พอใจหากใครคนใดถูกใครคนไหนใช้คำนี้เข้ากับตัวเอง เรียกว่าเจ็บแสบกว่าการถูกด่าด้วยคำหยาบคายเสียอีก

       และยิ่งแปลกมากขึ้นไปอีก หากใครที่แสดงกริยา กระแดะ อยู่เป็นประจำ จนถูกต่อว่าต่อขานว่า ทำตัวกระแดะ ก็จะกระแดะออกอาการว่าทนไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะทำตัวกระแดะต่อไป

       เมื่อนำเรื่องนี้มาคุยในห้องการเมือง ก็จำเป็นต้องเชื่อมคำว่า กระแดะให้เข้ากับเรื่องราวในแวดวงการเมือง ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเค้นสมองครุ่นคิดใดๆเลย เพราะว่าเรื่องกระแดะ มีให้เห็นอยู่เป็นประจำในหลายรูปแบบ เช่น

ปากบอกอยู่ข้างประชาธิปไตย แต่กระแดะไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
เห็นคนไปทำกับข้าวออกทีวี แต่กระแดะชี้มูลความผิดในฐานนะนักการเมืองเรียกรับผลประโยชน์
ว่าเขาว่ารถไฟความเร็วสูงแพง แต่กระแดะเข็นโครงการรถไฟความเร็วปานกลางซึ่งแพงกว่ามาจัดสร้าง
ปากอ้างว่ามาปราบคนโกง แต่คนที่มาปราบคนโกงกลับกระแดะไม่ต้องการการตรวจสอบ
ฯลฯ

       ที่ผมใช้ต้อง ฯลฯ ไว้ แทนที่จะหยิบเอาพฤติกรรมกระแดะทางการเมืองทั้งหมดขึ้นมาพูด ก็เพราะว่าเดี๋ยวมันจะไปซ้ำแนวทางที่ คุณ “ทวดเอง”  เคยใช้ฝากฝีมือไว้ในราชดำเนินแห่งนี้ พูดไปแล้วก็คิดถึงนะครับ ราชดำเนินแห่งนี้ แต่ก่อนคนเก่ง ฝีมือดี ในการเขียนแสดงความเห็นทางการเมืองมีอยู่เยอะแยะ แต่ตอนนี้หายไปหมดแล้ว เหลือแต่คนจำพวก กระแดะตั้งกะทู้ อยากแสดงความเห็นทางการเมืองแต่ไม่ค่อยมีความรู้อยู่ทุกวี่ทุกวัน ซึ่งในกรณีนี้ผมหมายถึงตัวผมเองนะครับ ซึ่งในที่นี้ผมหมายถึงตัวผมเองนะครับ ไม่ได้ว่าใคร ฉะนั้นก็อย่าได้ กระแดะร้อนตัวออกมาหาว่าผมด่าใครหน้าไหน

       ส่วนใครในราชดำเนินนี้จะกระแดะหรือไม่ ก็คงเห็นกันได้เองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผมชี้หน้าชี้มือไปที่ใคร แต่ว่าแล้วก็จัดให้ห้องราชดำเนินสักหน่อย ถึงพฤติกรรม กระแดะ ที่ทุกคนรู้ว่าแย่ แต่ก็ยังชอบทำ จนคนทั่วไปเห็นเป็นประจำ แต่เจ้าตัวคนทำก็ไม่คิดจะปรับตัว อย่างที่บอกครับ กระแดะมีหลายรูปแบบ แต่วันนี้ขอพูดถึงแค่แบบเดียว คือ การกระแดะหยิบเอาคำพูดหรือข้อความของคนอื่นมาใช้ เพื่อหวังประโยชน์ในการทำลายคนอื่น ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในจุดที่คำพูดหรือข้อความนั้นเริ่มต้น หรือเรียกเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆว่า “เสี้ยม” เพื่อหาประโยชน์นั้นเอง

ซึ่งพฤติกรรมนี้ เป็นทั้งหัวหงอกหัวดำ ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอายุหรือวัยวุฒิแต่อย่างใด


คนกระแดะ อยู่นั้น.....................เรื่อยไป
หากใครติ ร้อนใจ.......................ยอกย้อน
เพียรกระแดะ เสี้ยมไป................ยุแหย่ เขานา
หวังให้เขา รุ่นร้อน......................แตกแยกกันเอง


       ที่ผมต้องใช้คำรุนแรงอย่างคำว่า ทั้งหัวหงอกหัวดำ ก็เพราะว่า ผมเองก็อยู่ในห้องราชดำเนินแห่งนี้มานานพอดู อาจจะรู้จักสมาชิกหน้าเก่าไม่เยอะ แต่ก็มองเห็นพฤติกรรมสมาชิกเก่าๆบางคนเหล่านั้นมาแยะ จากวันแรกที่ผมเข้ามาเล่นที่ห้องนี้ วันที่ลูกสาวคนโตของผมยังเรียนชั้นประถม จนถึงวันนี้ ลูกสาวผมเรียนผ่านชั้น มัธยม เข้าศึกษาในระดับมหาลัยวิทยาลัยแล้ว พฤติกรรมของบางคนที่ผมเห็นตั้งแต่วันแรกๆที่เข้ามา ก็ยังไม่เปลี่ยน คือกระแดะเสมอต้นเสมอปลาย

และตามความรู้สึกของผม ถ้าเลิกกระแดะแบบที่ผมบอกมาได้ สังคมราชดำเนินนี้ จะน่าอยู่ขึ้นเองอีกเยอะเลยครับ
ไม่จำเป็นต้องกระแดะ ออกมาไล่ว่า “ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ออกไปนะครับ” เพราะพื้นที่นี้ไม่ได้สงวนสิทธิ์ให้มีแต่ท่านคนเดียวหรือกลุ่มเดียวที่ใช้ประโยชน์จากมัน

ป.ล.วันนี้ ไอ้พระรองจัดหนักจริงๆ มันไปโดนตัวไหนมาฟร่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ผมเอง ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย กับคำว่า กระแดะ

หรือ คำว่า ดัดจริต ที่คุณน้องพร หยิบยกมาสอนสั่งผม

เพราะทุกวันนี้ ผมก็ยังทำตัวกระแดะหรือดัดจริตจริง ในการฝืนสนทนากับคนที่ผมนึกรังเกียจ

เพราะด้วยความน่ารังเกียจที่เที่ยวสอดแทรก ยุแยก ให้แตกกัน เลยยุ่งมันไปทุกเรื่อง

จะว่าด้วยอีโก้ที่สูงล้น หรือเป็นคนที่นิสัยแปลกแยกแตกต่างจนผม ก็ว่ากันไป สุดแต่ที่จะใช้นำมาอ้าง

แต่หากคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์บ้าง ทุกวันนี้ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพ ไม่มีใครคบ หรอกครับ

แกไขเพิ่มเติม* เมื่อไม่มีโหวตในมือ ก็ได้แต่หน้าด้าน เลือกความเห็นตัวเองมาแสดงตัดหน้ากองกำลังโหวตจัดตั้งล่ะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
เหลือแต่คนจำพวก กระแดะตั้งกะทู้ อยากแสดงความเห็นทางการเมืองแต่ไม่ค่อยมีความรู้อยู่ทุกวี่ทุกวัน

คำว่า มาตั้งกระทู้อยู่ทุกวี่ทุกวัน
ถ้า จขกท จะบอกว่า พูดถึงตัวเอง ก็คงจะต้องบอกว่า โกหกนะครับ

ซึ่งในกรณีนี้ผมหมายถึงตัวผมเองนะครับ ซึ่งในที่นี้ผมหมายถึงตัวผมเองนะครับ ไม่ได้ว่าใคร ฉะนั้นก็อย่าได้ กระแดะร้อนตัวออกมาหาว่าผมด่าใครหน้าไหน

ซึ่งผมมองว่า การที่จขกท อยากจะด่าคนอื่น แต่ กระแดะพูดไพล่ไปด่าตัวเอง ผมว่ามันดัดจริตมาก
จะด่าคนอื่นก็ด่าไปเหอะครับ ผมเองก็รู้สึกว่า การตั้งกระทู้สมัยนี้ ประเด็นน้อย เนื้อหาน้อย ทำให้เกิดประกายความคิดน้อยมากจนถึงไม่มีเลย
เลยไม่มีการโต้เถียงกันเหมือนสมัยก่อน

หลายคน ก้อบอะไรยาวๆ มาจากเวบอื่น แต่ไม่มีประเด็นให้คุย ก็ได้แค่อ่าน
เหมือนอยากจะแค่ตั้งผ่านๆไปให้มีเนื้อหา
แต่ไม่ได้อยากถกอะไร แค่ทำให้ไร้ข้อครหา ว่าตั้งกระทู้ไร้สาระ ก็เอาอะไรสาระมาลง
ทั้งๆที่คนที่ไม่อยู่ในกะลา ก็อ่านมาหมดแล้วล่ะครับ
จะเรียก fc ได้ ก็พวกอ่านน้อย เสพน้อยมาก่อน
ซึ่งคนพวกนี้ แม้จะมาแจมกระทู้ กระแดะอวยกัน แต่ก็รับสารได้ไม่ถึงครึ่งของที่สื่อ
เพราะกระแดะอยากแจม เพื่อเชลียร์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อต่อยอดความคิด

เห็นด้วยครับ เลิกกระแดะกันสักที
ไอ้ที่คิดว่าคนอื่นเขาบกพร่อง หรือใครมีอะไรต้องแก้ไข ก็อย่าทำเป็นเหนียมครับ
คิดว่าตัวเองดี เด่น เก่ง ก็อวดเลยครับ
มีอะไรดี ก็ทำ ก็สอนชาวบ้านครับ

คนไม่เก่ง ก็อย่ากระแดะ
อย่ามาบอกว่า สังคมไทย ควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน
ถ้าถ่อมแล้ว สังคมไม่พัฒนา กล้าๆวิจารณ์กันจะดีกว่า

แต่วิจารณ์แบบ บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น มันก็ทำได้
ไม่ใช่มากระแดะตีวัวกระทบคราด แล้วบอกด่าตัวเอง
ผมว่ามันดัดจริต


ขออภัยหากทำให้เคือง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นที่ 22
คห 21

ถ้าเอาไม่กระแดะนะ ผมรู้ว่าท่านหมายถึงผม

ไอ้ที่ทำเหยียดหยามเรียกผมอย่างดูถูกนั้น มักจะเป็นพวก "บ่มิไก๊"
ที่มักจะแสดงความเห็นไร้สติปัญญา
ถ้าจะให้ดีเบท หรือตอบโต้แบบปัญญาชน
แม้แต่ข้อมูลดีๆ ยังไม่มีเลย ไม่ต้องพูดถึงความคิด ที่เกิดจากการสันดาปความเข้าใจและประสบการณ์

กระผมได้พิสูจน์มาหลายรายแล้ว พวกปากดีแบบนี้ มักจะไม่ค่อยมีสมอง

และคุณคงไม่ทราบด้วยว่า การได้กิ๊ฟหรืออีโมนั้น หากอยู่ในกลุ่มของปัญญาชน ความเห็นของผมมักจะได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ
ที่อ่านแล้วไม่เห็นคุณค่า อาจจะเพราะไม่เข้าใจ
ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ อาจจะเพราะไม่ยอมใช้เวลามากพอ
อ่านอย่างฉาบฉวยและอคติ ก็เลยไม่ยอมเข้าใจตามจริงตามที่ผมบอกเท่านั้นเอง

ไม่เชื่อลองดูสิตามประวัติการโพสต์ ระหว่างคุณกับผม เชื่อได้เลย
ต่อให้ใช้เวลาจากนี้ไปอีก 6 เดือน คุณก็ยังคงโพสต์ความเห็นที่มีประโยชน์น้อยกว่าผมในระยะ 6 วันที่ผ่านมานี้
เอาชื่อของคุณปู่คินดะอิจิเป็นประกันเลยครับ
ความคิดเห็นที่ 20
คห 19

ก็เพราะรู้ไงครับ ถึงได้มา"ชวนคุย"ตามความหมายของ จขกท
อยากให้ จขกท เห็นความกระแดะของตัวเอง

คงไม่คิดว่า ผมกระแดะ อยากจะมาผูกมิตรด้วยใช่ไหมครับ?

จขกท ก็ฉลาด แต่คงไม่พอที่จะมองเห็นตามจริง


เรื่องที่ จขกท นำมาตั้งที่หัวกระทู้ ถ้าไม่ผิด คือการที่คุณเขียวแสงใส ได้สนทนากับคุณ เรื่องของอวตาร
และผมก็ไม่คิดจะวุ่นวายอะไร
เป็นความเห็นของสองท่าน แต่คุณก็ได้พูดใส่เขาไปทีว่า
"หยิบยกข้อความของคุณมาหาประโยชน์ใส่ตน" เช่นกัน

แต่การนำข้อวิจารณ์ความคิดของเขามา โดยไม่อ้างอิงข้อความเขาด้วย
ผมว่าทุเรศกว่าการยกข้อความของคุณเอง
เขียนเอง คิดเอง โพสเอง มาหักหน้าคุณเองนะครับ
เพราะมันทำให้คนอ่านหลงผิด คิดว่าคุณนั้นมีมุมมองที่ถูกต้อง

การที่คุณกล้า ที่จะออกความเห็น แต่กลับเรียกการยกข้อความมาวิจารณ์ ว่าการหาประโยชน์ใส่ตน
ผมว่าเป็นการตะแบง และสิ้นคิด ไม่ใช่วิสัยปัญญาชน
เพียงเพราะมันทำให้คุณ ตกในสภาวะ "น้ำท่วมปาก" คุณจึงพยายามบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด

ผมขอถามหน่อยว่า ผมยกประโยคของคุณ มาวิจารณ์และแสดงความเห็นต่อข้อความนั้น
หากคุณแสดงความเห็นโดยไม่กระแดะแล้ว
มันจะเป็นประโยชน์ต่อผมตรงไหน?
มันทำให้ผมได้ประโยชน์ตรงไหน?
แบะมันทำให้คุณเสื่อมเสียได้อย่างไร?

เหตุใดจึงเหมาว่า
การอ่านและยกประเด็นที่คุณกล่าวอ้าง คือการหาประโยชน์ใส่ตน
เพราะคุณ ไปไม่เป็นแล้วใช่หรือไม่?
เพราะคุณมีเหตุผลไม่เพียงพอใช่หรือไม่?
เพราะคุณวิจารณ์เอาด้านที่เลวร้ายที่สุดของคนอื่นเท่านั้น
โดยไม่มองด้านเลวร้ายของตัวเองเลย ใช่หรือไม่?


สรุปครับ ผมไม่ได้ชวนคุณคุยอย่างผูกมิตร
แต่ผมอยากให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความคิดของผม
ซึ่งผมไม่แคร์เลยว่าคุณจะอ่านหรือไม่ จะตอบหรือไม่ และจะตอบทิ้งๆขว้างๆอย่างไร
และไม่ได้แสดงความเห็นเพราะอยากผูกมิตรกับใคร
เพียงแต่ หากเห็นข้อความที่ผิดจากความจริง ย่อมต้องออกมาแสดงความเห็นอีกด้าน
เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความเป็นไปรอบด้านครับ

ขออภัย หากทำให้เคือง
ความคิดเห็นที่ 19
ขอบคุณครับ คุณน้องพร ที่ช่วยยืนยันความคิดในประเด็นของผม

ในการหยิบเอาคำพูดของผมมาใช้ เพื่อหาประโยชน์ให้ตนเอง

ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น ผมไม่คิดจะสนทนาด้วยตามที่คุณพยายามขยายผล

เพราะบอกตรงๆครับ รำคาญ

และจริงๆแล้วคุณก็เป็นคนฉลาด น่าจะเข้าใจเรื่องราวได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นจะมาชวนคุยให้เสียเวลาทำไมครับ

แบบว่า คุยในเรื่องที่รู้อยู่แล้ว มันน่า "รำคาญ" ครับ
ความคิดเห็นที่ 17
ขออภัยครับคุณพระรอง

แต่เพราะความดัดจริตของคุณ ที่มัวแต่กระแดะใช้คำสุภาพ อ้อมไปอ้อมมา
ทำให้คนตรงๆอย่างผมไม่ค่อยจะเข้าใจ อยู่ 3 เรื่อง อยากจะถาม
แต่ถ้าจะไม่ตอบ ผมก็ไม่อาจบังคับขู่เข็ญอะไร


เพราะทุกวันนี้ ผมก็ยังทำตัวกระแดะหรือดัดจริตจริง ในการฝืนสนทนากับคนที่ผมนึกรังเกียจ

ในกระทู้นี้ ที่คุณต้องกระแดะ หมายถึง คุณรังเกียจใครหรือครับ
ผมคิดว่า คุณแค่อยากแซะคนอื่นลอยๆ

แต่ในกระทู้นี้ คห 11 กระแดะตอบอย่างสุภาพ รังเกียจผมแน่ๆเลยใช่ไหมครับ?

ด้วยความยินดี 😊😊

เพราะด้วยความน่ารังเกียจที่เที่ยวสอดแทรก ยุแยก ให้แตกกัน เลยยุ่งมันไปทุกเรื่อง

จากข้อสรุปข้างบน ผมเลยเกิดคำถามว่า ถ้าหมายถึงผมแล้ว ผมไปยุแยกให้ใครแตกกันครับ?


แต่หากคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์บ้าง ทุกวันนี้ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพ ไม่มีใครคบ หรอกครับ

ใคร "ไม่มีใครคบ" ครับ?


ขอบังอาจไม่รับคำว่าสั่งสอน
เพราะสั่งสอน คือการทำให้หลาบจำ (เพื่อเป็นพื้นฐานต่อยอดอื่นๆ)
แต่กระผมเพียงแค่ชี้แนะ ว่าสิ่งที่กระผมได้อ่านผ่านๆนั้น กระผมคิดอย่างไร

แต่กระนั้น การที่คุณไม่มีโวทในมือ แต่อยากจะขึ้นแนะนำ ทำง่ายๆครับ


แค่ด่าว่ากระผมอย่างรุนแรง เกลียดชัง และโพสกล่าวหาในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง แต่สะใจ
เช่น เป็นพนักงานต้อกต๋อย ไม่มีใครคบ เลยต้องมาอวดเก่งเที่ยวไล่กัดชาวบ้านไปทั่ว
เพราะฝูงที่อยู่ด้วยตอนนี้ มันเป็นพวกจรจัดและดุร้าย
ฯลฯ


ที่ต้อง ฯลฯ ก็คงเข้าใจนะครับ ว่าอันจะกล่าวทั้งหมด คงจะคล้ายไปลอกเลียนใคร เพราะผมคงคิดด่าตัวเองไม่ออก
ประเด๋วเจ้าของวลี จะมาโมโหโทโส หาว่าผมแซะอะไรเขาอีก ทั้งๆที่แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น

แค่นี้ ก็ได้โวทถล่มทลาย อย่างน้อย 24 โวท แน่ๆครับ อมยิ้ม36
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่