#142 $$$$$ โต๊ะน้ำชาแฟนโรงพยาบาล ฿฿฿฿฿ JAN. 17 2018
ขอเชิญเพื่อนๆนักลงทุนและผู้ที่สนใจการลงทุนหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลมาสนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะ แบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเล่าประสบการณ์การลงทุนสู่กันฟังครับ
สถานการณ์ทั่วไป :
วานนี้ หุ้นไทยปิดลบ 0.05 % (ปิดที่1821.83 จุด)
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่าห้าร้อยล้านบาท และเปิดสถานะ short ค่อนข้างมาก
รฟท.ลงนามสัญญาจ้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้น ระยะทางรวม 702 กม. มูลค่ากว่า 6.9 หมื่นล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้าง 1Q18 และคาดจะแล้วเสร็จในปี 2022
กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอโครงการรถไฟความเร็วสุงไทย-ญี่ปุ่น ช่วงกทม.-พิษณุโลก ต้นปี 2018
กม. EEC ใกล้เข้าสนช.วาระ 3 เป็นปัจจัยกระตุ้นถึงกลุ่มนิคมฯและวัสดุก่อสร้าง
ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าต่อเนื่อง หนุนค่าเงินเอเชียแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ
นายกฯ รับข้อเสนอเอกชน ร่วมพัฒนาภาคเหนือ ทั้งสนามบินเชียงใหม่แห่งที่สอง และเร่งแผนทํารถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-เชียงใหม่ ถือเป็น Sentiment บวกต่อตลาด
ปัจจัยบวกภายใน ได้แก่ EU ฟื้นความสัมพันธ์กับไทย พิจารณารื้อฟื้นเจรจา FTAกับไทย เนื่องมาจากความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้ง
รัฐบาลเตรียมหนุนการท่องเที่ยวจังหวัดรองโดย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่ จ.สุโขทัยวันนี้ มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ 1 ม.ค. 31 ธ.ค.61 โดยสามารถนำค่าใช้จากการท่องเที่ยวในเมืองรองมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้ตามจริง
รัฐบาลขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start up) ออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากยังมีจำนวนผู้ประกอบการใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวนน้อยเกินไป
ครม.เห็นชอบมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SME สู่ยุค 4.0 วงเงิน 2.45 แสนลบ.
รมช.คมนาคมเร่งประมูลท่าเรือแหลมฉบังเฟส3ในปี 2018 เพื่อรองรับ EEC
รองนายกฯสมคิดเตรียมปรับเป้าการลงทุน EECเ พิ่มขึ้น1แสนลบ. สู่ระดับ 6 แสนลบเน้นลงทุนใน 5 โครงการ นำโดย รถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อ 3 สนามบิน ท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุดเฟส 3 และพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา
EEC ตั้งเป้าให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเทียบเรือที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจากสิงคโปร์ ซึ่งคาดจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้
บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยกำลังพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงให้กับพนักงานเฉลี่ย 4.4% ในปีนี้
รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนจัดทำวีซ่าประเภทพิเศษ (สมาร์ทวีซ่า) เพื่อดึงดูดนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ชาวต่างชาติ ผู้บริหารระดับสูง ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเข้ามาทำงานใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ยานยนต์แห่งอนาคต, เทคโนโลยีอาหาร, การบินแห่งอนาคต, การท่องเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยีและเป็นการสนับสนุนแหล่งเงินทุนของคนไทย หวังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เสริมความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นเพื่อก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยจะเริ่มเปิดให้ขอวีซ่าได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป
นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือน ธ.ค.60 ทำสถิติใหม่สูงสุด 3.5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.9 แสนลบ.
ECB อาจประกาศยุติ QE หลังจากเดือนกย. หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีการปรับตัวตามที่ ECB คาดการณ์ไว้
ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2561 สู่ระดับ 3.1% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 2.8% พร้อมระบุว่า เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นวงกว้าง โดยได้ปัจจัยหนุนจากการค้าและการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจยูโรโซนเดือนธค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ116 จุด สูงสุดในรอบ 17 ปี
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของเยอรมนี เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 63.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 62.5 ในเดือนพ.ย. ดัชนียังคงอยู่เหนือกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคการผลิตของเยอรมนียังคงมีการขยายตัว
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค.ปรับขึ้นสู่ 74 สูงสุดในรอบ 18ปี
IMF คาดว่าเศรษฐกิจ EU ปี 2560-2564 จะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 2% ต่อปี สูงขึ้นจาก 1.2% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555-2559) สถานการณ์ดังกล่าวจึงนับเป็นโอกาสดีต่อธุรกิจไทยที่มีความสัมพันธ์กับ EU ในหลายมิติ ทั้งด้านการส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการส่งออกที่จะได้อานิสงส์ทั้งจากบรรยากาศการค้าที่สดใสและกำลังซื้อของ EU ที่ฟื้นตัว รวมถึงความเชื่อมั่นของ EU ต่อประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างกัน อีกทั้งคาดว่าจะทำให้การเจรจาแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) คลี่คลายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ หากไทยสามารถเจรจา FTA กับ EU ได้ในอนาคตก็จะส่งผลดีต่อภาคส่งออกไทยในระยะถัดไป
EXIM BANK คาดว่าการส่งออกไทยไป EU ปี 2561 จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5% ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังเช่นปัจจุบัน
วานนี้
ตลาดหุ้นจีน SHANGHAI +0.79% ตลาดหุ้นอินเดีย NIFTY - 0.38%
ตลาดหุ้นอเมริกา DJIA - 0.04% S&P 500 - 0.35% NASDAQ - 0.51%
US $ Index - 0.21% = 90.04 S&P500 VIX +14.76% = 11.66
ตลาดหุ้นเยอรมัน DAX +0.35% GOLD = 1341.72 USD/Ounce
JPM Global Healthcare = 284.82 (+3.72% จากต้นปี )
หุ้นในกลุ่มร.พ :
(ราคาปิดล่าสุด))
AHC 22.8
BCH 15.7
BDMS 20.9
BH 197
CHG 2.04
CMR 3.46
EKH 5.50
KDH 94.5
LPH 7.25
M-CHAI 207
NTV 52.5
RAM 2,950
RJH 25
RPH 4.74
SKR 49.75
SVH 404
THG 33.5
TNH 37
VIBHA 2.58
VIH 8
WPH 2.82
(การลงทุนมีความเสี่ยง ข้อมูลที่สนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกันไม่ถือว่าเป็นการชี้นำ ควรศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจโดยใช้วิจารณญาณของตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน )
* ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใหม่พ.ศ.2559 การคาดการณ์หรือวิเคราะห์ผลการดำเนินงานหรือราคาหุ้น ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือนข้อมูลอันจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและการตัดสินใจลงทุน
*ข่าวแนวทางแก้ไขปัญหาอัตราค่ายาและค่ารักษาพยาบาลเป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยให้เกิดความยุติธรรมกับผู้บริโภคและช่วยให้การบริหารจัดการของ ร.พ.เป็นระบบระเบียบ มีธรรมภิบาลและจริยธรรมเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลดีต่อทั้งผู้ใช้บริการและต่อร.พ.เอง ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว
*Link เพลงในยูทูป เป็นไปเพื่อความบันเทิง เพื่อเผยแพร่ยกย่องในเกียรติคุณและคุณภาพของเพลง มิได้เป็นไปเพื่อธุรกิจการค้าหรือผลประโยชน์อื่นแต่อย่างใดทั้งสิ้น
* โต๊ะน้ำชาฯไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ราคาค่ารักษาพยาบาลและราคาหุ้นแพงเกินจริง มากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ แต่มุ่งส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารประสบการณ์ลงทุน เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยมีการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซื้อและขายถูกจังหวะ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
$$$$$ โต๊ะน้ำชาแฟนโรงพยาบาล ฿฿฿฿฿ JAN. 17 2018
ขอเชิญเพื่อนๆนักลงทุนและผู้ที่สนใจการลงทุนหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลมาสนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะ แบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเล่าประสบการณ์การลงทุนสู่กันฟังครับ
สถานการณ์ทั่วไป :
วานนี้ หุ้นไทยปิดลบ 0.05 % (ปิดที่1821.83 จุด)
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่าห้าร้อยล้านบาท และเปิดสถานะ short ค่อนข้างมาก
รฟท.ลงนามสัญญาจ้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้น ระยะทางรวม 702 กม. มูลค่ากว่า 6.9 หมื่นล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้าง 1Q18 และคาดจะแล้วเสร็จในปี 2022
กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอโครงการรถไฟความเร็วสุงไทย-ญี่ปุ่น ช่วงกทม.-พิษณุโลก ต้นปี 2018
กม. EEC ใกล้เข้าสนช.วาระ 3 เป็นปัจจัยกระตุ้นถึงกลุ่มนิคมฯและวัสดุก่อสร้าง
ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าต่อเนื่อง หนุนค่าเงินเอเชียแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ
นายกฯ รับข้อเสนอเอกชน ร่วมพัฒนาภาคเหนือ ทั้งสนามบินเชียงใหม่แห่งที่สอง และเร่งแผนทํารถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-เชียงใหม่ ถือเป็น Sentiment บวกต่อตลาด
ปัจจัยบวกภายใน ได้แก่ EU ฟื้นความสัมพันธ์กับไทย พิจารณารื้อฟื้นเจรจา FTAกับไทย เนื่องมาจากความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้ง
รัฐบาลเตรียมหนุนการท่องเที่ยวจังหวัดรองโดย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่ จ.สุโขทัยวันนี้ มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ 1 ม.ค. 31 ธ.ค.61 โดยสามารถนำค่าใช้จากการท่องเที่ยวในเมืองรองมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้ตามจริง
รัฐบาลขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start up) ออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากยังมีจำนวนผู้ประกอบการใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวนน้อยเกินไป
ครม.เห็นชอบมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SME สู่ยุค 4.0 วงเงิน 2.45 แสนลบ.
รมช.คมนาคมเร่งประมูลท่าเรือแหลมฉบังเฟส3ในปี 2018 เพื่อรองรับ EEC
รองนายกฯสมคิดเตรียมปรับเป้าการลงทุน EECเ พิ่มขึ้น1แสนลบ. สู่ระดับ 6 แสนลบเน้นลงทุนใน 5 โครงการ นำโดย รถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อ 3 สนามบิน ท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุดเฟส 3 และพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา
EEC ตั้งเป้าให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเทียบเรือที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจากสิงคโปร์ ซึ่งคาดจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้
บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยกำลังพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงให้กับพนักงานเฉลี่ย 4.4% ในปีนี้
รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนจัดทำวีซ่าประเภทพิเศษ (สมาร์ทวีซ่า) เพื่อดึงดูดนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ชาวต่างชาติ ผู้บริหารระดับสูง ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเข้ามาทำงานใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ยานยนต์แห่งอนาคต, เทคโนโลยีอาหาร, การบินแห่งอนาคต, การท่องเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยีและเป็นการสนับสนุนแหล่งเงินทุนของคนไทย หวังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เสริมความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นเพื่อก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยจะเริ่มเปิดให้ขอวีซ่าได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป
นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือน ธ.ค.60 ทำสถิติใหม่สูงสุด 3.5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.9 แสนลบ.
ECB อาจประกาศยุติ QE หลังจากเดือนกย. หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีการปรับตัวตามที่ ECB คาดการณ์ไว้
ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2561 สู่ระดับ 3.1% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 2.8% พร้อมระบุว่า เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นวงกว้าง โดยได้ปัจจัยหนุนจากการค้าและการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจยูโรโซนเดือนธค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ116 จุด สูงสุดในรอบ 17 ปี
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของเยอรมนี เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 63.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 62.5 ในเดือนพ.ย. ดัชนียังคงอยู่เหนือกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคการผลิตของเยอรมนียังคงมีการขยายตัว
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค.ปรับขึ้นสู่ 74 สูงสุดในรอบ 18ปี
IMF คาดว่าเศรษฐกิจ EU ปี 2560-2564 จะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 2% ต่อปี สูงขึ้นจาก 1.2% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555-2559) สถานการณ์ดังกล่าวจึงนับเป็นโอกาสดีต่อธุรกิจไทยที่มีความสัมพันธ์กับ EU ในหลายมิติ ทั้งด้านการส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการส่งออกที่จะได้อานิสงส์ทั้งจากบรรยากาศการค้าที่สดใสและกำลังซื้อของ EU ที่ฟื้นตัว รวมถึงความเชื่อมั่นของ EU ต่อประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างกัน อีกทั้งคาดว่าจะทำให้การเจรจาแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) คลี่คลายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ หากไทยสามารถเจรจา FTA กับ EU ได้ในอนาคตก็จะส่งผลดีต่อภาคส่งออกไทยในระยะถัดไป
EXIM BANK คาดว่าการส่งออกไทยไป EU ปี 2561 จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5% ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังเช่นปัจจุบัน
วานนี้
ตลาดหุ้นจีน SHANGHAI +0.79% ตลาดหุ้นอินเดีย NIFTY - 0.38%
ตลาดหุ้นอเมริกา DJIA - 0.04% S&P 500 - 0.35% NASDAQ - 0.51%
US $ Index - 0.21% = 90.04 S&P500 VIX +14.76% = 11.66
ตลาดหุ้นเยอรมัน DAX +0.35% GOLD = 1341.72 USD/Ounce
JPM Global Healthcare = 284.82 (+3.72% จากต้นปี )
หุ้นในกลุ่มร.พ :
(ราคาปิดล่าสุด))
AHC 22.8
BCH 15.7
BDMS 20.9
BH 197
CHG 2.04
CMR 3.46
EKH 5.50
KDH 94.5
LPH 7.25
M-CHAI 207
NTV 52.5
RAM 2,950
RJH 25
RPH 4.74
SKR 49.75
SVH 404
THG 33.5
TNH 37
VIBHA 2.58
VIH 8
WPH 2.82
(การลงทุนมีความเสี่ยง ข้อมูลที่สนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกันไม่ถือว่าเป็นการชี้นำ ควรศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจโดยใช้วิจารณญาณของตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน )
* ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใหม่พ.ศ.2559 การคาดการณ์หรือวิเคราะห์ผลการดำเนินงานหรือราคาหุ้น ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือนข้อมูลอันจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและการตัดสินใจลงทุน
*ข่าวแนวทางแก้ไขปัญหาอัตราค่ายาและค่ารักษาพยาบาลเป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยให้เกิดความยุติธรรมกับผู้บริโภคและช่วยให้การบริหารจัดการของ ร.พ.เป็นระบบระเบียบ มีธรรมภิบาลและจริยธรรมเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลดีต่อทั้งผู้ใช้บริการและต่อร.พ.เอง ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว
*Link เพลงในยูทูป เป็นไปเพื่อความบันเทิง เพื่อเผยแพร่ยกย่องในเกียรติคุณและคุณภาพของเพลง มิได้เป็นไปเพื่อธุรกิจการค้าหรือผลประโยชน์อื่นแต่อย่างใดทั้งสิ้น
* โต๊ะน้ำชาฯไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ราคาค่ารักษาพยาบาลและราคาหุ้นแพงเกินจริง มากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ แต่มุ่งส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารประสบการณ์ลงทุน เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยมีการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซื้อและขายถูกจังหวะ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา