สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ทุกคนที่มาตอบคำถามได้ มีพ่อแม่ทั้งนั้น
แต่ไม่ทุกคนที่มีลูก
และคติ “มีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่” ซึ่งเจ้าของกระทู้กล่าวว่า "เราว่าคนไทยมีความคิดแบบนี้กันแทบทุกคนเลย" ก็อาจจะไม่เป็นจริง ถ้าดูจากทัศนคติของคนที่มาตอบแล้วเป็นส่วนใหญ่
ผู้ตอบเชื่อว่า "ใครทำอะไรไว้ ก็จะได้อย่างนั้น" คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อยามชรา หากคนนั้นมีลูก ลูกก็จะเห็นเป็นตัวอย่าง ว่าพ่อแม่ทำอะไรไว้ และจะทำตาม ส่วนคนที่ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อยามชรา ลูกก็จะเห็นและทำตามเช่นกัน
ส่วนประโยคสุดท้ายในกระทู้ที่กล่าวว่า "ซึ่งเราว่ามันไม่โอเคเพราะลูกมีชีวิตเป็นของตัวเองไม่ใช่ของพ่อแม่" คงไม่มีคำตอบอะไรให้ แต่ผู้ที่จะได้คำตอบคือพ่อแม่ของเจ้าของกระทู้ และตัวเจ้าของกระทู้เองเมื่อมีลูก คำตอบนั้นอาจจะมาด้วยรอยยิ้มหรือน้ำตา ซึ่งวันหนึ่งเจ้าของกระทู้จะได้รู้แก่ใจเอง
แต่ไม่ทุกคนที่มีลูก
และคติ “มีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่” ซึ่งเจ้าของกระทู้กล่าวว่า "เราว่าคนไทยมีความคิดแบบนี้กันแทบทุกคนเลย" ก็อาจจะไม่เป็นจริง ถ้าดูจากทัศนคติของคนที่มาตอบแล้วเป็นส่วนใหญ่
ผู้ตอบเชื่อว่า "ใครทำอะไรไว้ ก็จะได้อย่างนั้น" คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อยามชรา หากคนนั้นมีลูก ลูกก็จะเห็นเป็นตัวอย่าง ว่าพ่อแม่ทำอะไรไว้ และจะทำตาม ส่วนคนที่ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อยามชรา ลูกก็จะเห็นและทำตามเช่นกัน
ส่วนประโยคสุดท้ายในกระทู้ที่กล่าวว่า "ซึ่งเราว่ามันไม่โอเคเพราะลูกมีชีวิตเป็นของตัวเองไม่ใช่ของพ่อแม่" คงไม่มีคำตอบอะไรให้ แต่ผู้ที่จะได้คำตอบคือพ่อแม่ของเจ้าของกระทู้ และตัวเจ้าของกระทู้เองเมื่อมีลูก คำตอบนั้นอาจจะมาด้วยรอยยิ้มหรือน้ำตา ซึ่งวันหนึ่งเจ้าของกระทู้จะได้รู้แก่ใจเอง
ความคิดเห็นที่ 69
มันไม่มีผิดไม่มีถูก แต่มันคือความจำเป็นค่ะ
โครงสร้างสังคมไทย ไม่มีระบบรองรับคนแก่ที่ไม่มีผู้ดูแลค่ะ ต่อให้มีเงิน ก็เรียกว่าอยู่ยาก หลายคนในที่นี้คิดว่าตัวเองมีเงินแล้วจะอยู่ได้ตอนแก่ คิดว่ามีสามี มีภรรยาช่วยดูแลกันและกัน อยากจะสะกิดบอกนิดนึง แล้วเกิดคู่ของคุณตายก่อนล่ะคะ แล้วเกิดคุณอยู่คนเดียวแล้วเกิดเส้นเลือดสมองแตก เป็นอัมพาต ทำไงคะ บอกเลยว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ มีเงิน แต่เบิกออกมาใ้ช้ไม่ได้ นอนติดอยู่กับเตียง ไม่มีใครมาดู ถ้าไม่ใช่ลูกใช่หลาน ใครเค้าจะพาคุณไปหาหมอคะ บอกตรงๆ เอาจริงๆ โลกไม่สวย คนไทยยังต้องพึ่งลูกหลานในการดูแลสุขภาพยามแก่เฒ่าเรียกว่าร้อยเปอรเซ็นต์ค่ะ เราเองพูดได้เพราะที่บ้านมีคนแก่ ป้าเรา เค้าเป็นสาวโสด แต่เค้าเลี้ยงหลานๆ มาเยอะ ก็ได้หลานๆ นี่แหละค่ะ ช่วยกันดู แม้เค้าจะมีตังจ่ายค่ารักษาแต่ก้อต้องเป็นเรา ที่ดูแลจัดยา พาหาหมอ ต่างๆนานา เค้าเป็น stroke เขียนหนังสือไม่ได้ พูดก็ไม่ได้เพราะสมองส่วนภาษาเสียไป เงินใน บช ก้อเบิกออกมาจ่ายค่าหมอไม่ได้ สุดท้ายต้องนั่งวีลแชร์ไปที่แบงค์ ขอเปลี่ยนจากลายเซนเป็นปั๊มมือ ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าไม่ใช่หลาน ใครจะดิ้นรนให้คะ ลูกจ้างที่ไหนจะทำให้
สรุป ที่อยากจะบอกคือ สมัยนี้เห็นหลายคนพยายามพูดว่า มีลูกก็ไม่ต้องการให้เค้ามาดูแลเรา ขอแค่เค้าดูแลตัวเองได้ก็พอ หรือกระทั่งบางคนพูดขนาด พวกที่หวังพึ่งลูกตอนแก่เป็นพวกเห็นแก่ตัว สร้างภาระให้กับลูก นู่นนี่นั่น อยากให้คนกลุ่มนี้ลืมตาแล้วเปิดใจหน่อยค่ะ สังคมไทย ถ้าแก่แล้วไม่มีคนดูแล เราไม่มีระบบบ้านพักคนชราแบบฝรั่งมารองรับนะคะ บ้านพักคนชราที่เรามีมันใกล้เคียงระบบอนาถา และถึงะอนาถา แต่ก็ต้องต่อคิวนะคะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปอยู่ได้ ต่อให้มีเงินก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปอยู่ได้ ดังนั้น การหวังพึ่งพาลูกหลานยามแก่ ไม่ใช่เรื่องผิดบาปค่ะ แต่ขอให้เป็นการพึ่งทางแรงกายและกำลังใจพอนะคะ เรื่องเงินอย่าไปรบกวนเค้าค่ะ เก็บเงินไว้ดูแลตัวเองยามแก่ ตายไปก็ทิ้งอะไรไว้ให้เค้าบ้าง ไม่ผิดบาปอะไรหรอกค่ะ
โครงสร้างสังคมไทย ไม่มีระบบรองรับคนแก่ที่ไม่มีผู้ดูแลค่ะ ต่อให้มีเงิน ก็เรียกว่าอยู่ยาก หลายคนในที่นี้คิดว่าตัวเองมีเงินแล้วจะอยู่ได้ตอนแก่ คิดว่ามีสามี มีภรรยาช่วยดูแลกันและกัน อยากจะสะกิดบอกนิดนึง แล้วเกิดคู่ของคุณตายก่อนล่ะคะ แล้วเกิดคุณอยู่คนเดียวแล้วเกิดเส้นเลือดสมองแตก เป็นอัมพาต ทำไงคะ บอกเลยว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ มีเงิน แต่เบิกออกมาใ้ช้ไม่ได้ นอนติดอยู่กับเตียง ไม่มีใครมาดู ถ้าไม่ใช่ลูกใช่หลาน ใครเค้าจะพาคุณไปหาหมอคะ บอกตรงๆ เอาจริงๆ โลกไม่สวย คนไทยยังต้องพึ่งลูกหลานในการดูแลสุขภาพยามแก่เฒ่าเรียกว่าร้อยเปอรเซ็นต์ค่ะ เราเองพูดได้เพราะที่บ้านมีคนแก่ ป้าเรา เค้าเป็นสาวโสด แต่เค้าเลี้ยงหลานๆ มาเยอะ ก็ได้หลานๆ นี่แหละค่ะ ช่วยกันดู แม้เค้าจะมีตังจ่ายค่ารักษาแต่ก้อต้องเป็นเรา ที่ดูแลจัดยา พาหาหมอ ต่างๆนานา เค้าเป็น stroke เขียนหนังสือไม่ได้ พูดก็ไม่ได้เพราะสมองส่วนภาษาเสียไป เงินใน บช ก้อเบิกออกมาจ่ายค่าหมอไม่ได้ สุดท้ายต้องนั่งวีลแชร์ไปที่แบงค์ ขอเปลี่ยนจากลายเซนเป็นปั๊มมือ ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าไม่ใช่หลาน ใครจะดิ้นรนให้คะ ลูกจ้างที่ไหนจะทำให้
สรุป ที่อยากจะบอกคือ สมัยนี้เห็นหลายคนพยายามพูดว่า มีลูกก็ไม่ต้องการให้เค้ามาดูแลเรา ขอแค่เค้าดูแลตัวเองได้ก็พอ หรือกระทั่งบางคนพูดขนาด พวกที่หวังพึ่งลูกตอนแก่เป็นพวกเห็นแก่ตัว สร้างภาระให้กับลูก นู่นนี่นั่น อยากให้คนกลุ่มนี้ลืมตาแล้วเปิดใจหน่อยค่ะ สังคมไทย ถ้าแก่แล้วไม่มีคนดูแล เราไม่มีระบบบ้านพักคนชราแบบฝรั่งมารองรับนะคะ บ้านพักคนชราที่เรามีมันใกล้เคียงระบบอนาถา และถึงะอนาถา แต่ก็ต้องต่อคิวนะคะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปอยู่ได้ ต่อให้มีเงินก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปอยู่ได้ ดังนั้น การหวังพึ่งพาลูกหลานยามแก่ ไม่ใช่เรื่องผิดบาปค่ะ แต่ขอให้เป็นการพึ่งทางแรงกายและกำลังใจพอนะคะ เรื่องเงินอย่าไปรบกวนเค้าค่ะ เก็บเงินไว้ดูแลตัวเองยามแก่ ตายไปก็ทิ้งอะไรไว้ให้เค้าบ้าง ไม่ผิดบาปอะไรหรอกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 43
เราค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดนี้ค่ะ นั่นเป็นเพราะเรามีประสบการณ์ตรง
คุณตาของเราเพิ่งเสียไปด้วยวัย 96 ปีค่ะ ซึ่งเป็นคนแก่ที่อายุยืนมากๆ ท่านเองนั้นเป็นคนที่ชอบพึ่งพาตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่ชีวิตยังมีชีวิตอยู่ด้วย คุณยายของเราก็แก่ไล่กันคือ 93 ปี ทั้งสองนี่ยืนยัน นอนยัน นั่งยันว่าจะอาศัยอยู่บ้านตัวเอง ไม่ขอพึ่งพาใครทั้งสิ้น ไม่ว่าลูกหลานจะพูดอย่างไรก็ตาม ก็มีบ้างที่ทดลองไปอาศัยบ้านลูกคนนั้นคนนี้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานงอแงจะกลับให้ได้ คุณเข้าใจอย่างหนึ่งนะลูกดื้อเราใช้ความเป็นพ่อแม่บังคับได้ แต่พ่อแม่ดื้อนี่โคตรจัดการยากเลย บังคับมากนั่งร้องไห้ก็มีค่ะ จนทุกคนสรุปให้ท่านอยู่ตามใจท่านเหอะเดี๋ยวจะเฉาตายกันเสียก่อน
พอถึงวัย 95 ปีปุ๊บ สังขารคุณตาเริ่มไปไม่ไหวแล้วไงคะ เริ่มเสื่อมทุกระบบ เส้นเลือดยังไม่เว้น ทีนี้ก็ต้องพาไปอยู่โรงพยาบาลแล้วผลัดกันไปเฝ้า โดยที่ท่านมีลูกทั้งหมด 7 คน แล้วก็ตอบอย่างโลกไม่สวยเลยว่า เฝ้าได้ 2 เดือนก็ต้องจ้างคนเฝ้าสองกะ แล้วมาเยี่ยมในตอนกลางวันแทน เพราะอย่าลืมว่าลูกทั้ง 7 นั้นก็ล้วนเป็นคนแก่เหมือนกัน คือคนโตนี่อายุเจ็ดสิบปีแล้วค่ะ ที่เหลือก็ไล่เรียงกันมาล้วนหกสิบกว่ากันทั้งนั้น พอกลางคืนไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ออกอาการอ่อนเพลีย หน้ามืดกันเป็นแถว ก็เลยเป็นรุ่นหลานผลัดกันไปเฝ้าซึ่งรุ่นหลานก็ยังทำงานกลางวันกัน สุดท้ายน็อกกันหมดก็เลยลงมติให้จ้างคนเฝ้าอยู่ดีค่ะ สถานการณ์นี้กินระยะเวลาปีกว่า
หลายคนอาจจะบอกว่าก็นี่ไง สุดท้ายก็ไม่พ้นคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลาน ลองคิดให้ดีๆ การจัดหาคนมาดูแลในบั้นปลายนั้นก็เป็นลูกหลานจัดการทั้งหมด รวมถึงจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลและคนเฝ้าอีกต่างหาก เพราะคนแก่แบบนั้นคงไม่มีปัญญาไปถอนเงินจากแบงค์มาจ่ายค่ะ แล้วกลางวันก็ยังมีหลายคนผลัดกันไปเฝ้าดูแลไม่ได้ทอดทิ้ง เพียงแต่ว่ากลางคืนนั้นปล่อยเป็นหน้าที่คนเฝ้าเท่านั้น
ถ้าวันนั้นท่านไม่มีลูกหลานจัดการ เป็นคนแก่สองคนในบ้านคงไม่แคล้วจะตายคาบ้านอย่างแน่นอน ซึ่งเรามองว่าลำบากจริงๆ ที่คนแก่มากจะใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาใครเลย เพราะไหนจะคนหุงหาอาหาร ซื้อข้าวซื้อของ คนพาไปหาหมอ คนจัดยา (น้าเราที่อยู่บ้านใกล้ต้องจัดการทุกเช้าเย็นให้ค่ะ ไปนอนเป็นเพื่อนเป็นบางครั้ง) เพราะตากับยายสายสตรองของเราทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองไม่ได้มาตั้งแต่อายุ 90 ปีแล้วค่ะ
อีกบ้านหนึ่งที่มีคนแก่ 80 อัพเหมือนกันหนักกว่าอีกค่ะเพราะเป็นอัลไซเมอร์ อันนี้หลานสาวเป็นคนดูแลเพราะคุณแม่เป็นข้าราชการยังไม่ปลดเกษียณต้องทำงานเพื่อหาค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู เคยจ้างคนดูแลแล้วก็ไม่ค่อยดีเท่าไร สุดท้ายสรุปว่าดูแลกันเอง ซึ่งตรงนี้คนแก่ก็ไม่อยู่ในฐานะตัดสินใจด้วยตัวเองเหมือนกันค่ะ
เรามีน้องคนหนึ่งแต่งงานกับคนต่างชาติ พอ่แม่บ้านนั้นเขายกมรดกทั้งหมดขององค์การดูแลคนป่วยในบั้นปลาย เพื่อให้มารับภาระตรงนี้ไปทั้งหมด
เราเองก็ชอบความคิดแบบนี้ พึ่งตัวเองดี แต่ย้อนดูเมืองไทยแล้วองค์กรแบบนี้นอกจากบ้านพักคนชราแล้วก็แทบไม่มีของเอกชนมีก็น้อยมาก เมื่อเราเข้าสู้สังคมคนแก่ธุรกิจนี้อาจจะขาดแคลนก็ได้นะคะ ซึ่งเราเองก็มองว่า ถ้าไปอยู่บ้านพักคนชรารัฐบาลก็ไม่พ้นภาระสังคมอยู่ดีค่ะ
มาดูประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงบ้าง ถ้าใครลองอ่านข่าวเกี่ยวกับสังคมผู้สูงวัยที่ญี่ปุ่นก็จะทราบดีว่าตอนนี้กำลังเริ่มประสบปัญหาใหญ่ เมื่อผ้าอ้อมผู้ใหญ่เริ่มขายดีกว่าผ้าอ้อมเด็ก ขนาดประเทศที่มีสวัสดิการพื้นฐานดีอย่างนั้น ยังจัดการปัญหานี้ด้วยความยากลำบาก คนแก่ที่อยู่คนเดียวต้องสั่งเสียว่าถ้าวันไหนไม่เปิดม่านหน้าต่างคือตายแล้วนะ หรือบางคนยอมก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อขอให้เข้าอยู่ในคุกเพราะจะได้มีข้าวกิน มีคนดูแลตลอด เราก็ว่าก็น่าเศร้าใจอยู่ไม่น้อยนะคะ
เราเองก็ไม่ได้หวังจะให้ลูกมาเลี้ยงดูในช่วงอายุ 60-80กลางหรอกค่ะ อันนี้น่าจะอยู่ไหวด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นสภาพตายายแล้ว มีคนดูแลในบั้นปลายมากๆ เช่น 85 ขึ้นไปนั้นค่อนข้างจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามนะคะเพราะคงอยู่ตามลำพังไม่ได้ สังขารไม่อำนวย
อีกเรื่องที่เรามองว่าเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตไม่แพ้กันก็คือเงินที่จะใช้หลังเกษีญณค่ะ บอกได้เลยว่าหลายคนที่อยู่ในวัยทำงานยังมองเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวมาก ว่างก็ลองคำนวณเล่นๆ ดูนะคะถ้าต้องการดำรงชีวิต มีค่าหมอตอนป่วย สามารถหาข้าวกินเองได้โดยไม่พึ่งพาผู้ใด ต้องใช้เงินประมาณเท่าไร ตัวเองเราเองเคาะดูเล่นเผื่ออัตราเงินเฟ้อแล้วพบว่าถ้าจะใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท ต่อครอบครัว * 30 ปีไปจนถึงอายุ 90 ปีตกราว ๆ 10 ล้านค่ะ ใครไม่มีก็ควรเร่งเก็บเงิน เก็บทองได้แล้วนะคะ (ถ้าเลย 90 ปี แพลนจะไปอยู่บ้านพักคนชราเอกชนก็ต้องหาเพิ่มอีกนะคะ สู้ๆ)
คุณตาของเราเพิ่งเสียไปด้วยวัย 96 ปีค่ะ ซึ่งเป็นคนแก่ที่อายุยืนมากๆ ท่านเองนั้นเป็นคนที่ชอบพึ่งพาตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่ชีวิตยังมีชีวิตอยู่ด้วย คุณยายของเราก็แก่ไล่กันคือ 93 ปี ทั้งสองนี่ยืนยัน นอนยัน นั่งยันว่าจะอาศัยอยู่บ้านตัวเอง ไม่ขอพึ่งพาใครทั้งสิ้น ไม่ว่าลูกหลานจะพูดอย่างไรก็ตาม ก็มีบ้างที่ทดลองไปอาศัยบ้านลูกคนนั้นคนนี้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานงอแงจะกลับให้ได้ คุณเข้าใจอย่างหนึ่งนะลูกดื้อเราใช้ความเป็นพ่อแม่บังคับได้ แต่พ่อแม่ดื้อนี่โคตรจัดการยากเลย บังคับมากนั่งร้องไห้ก็มีค่ะ จนทุกคนสรุปให้ท่านอยู่ตามใจท่านเหอะเดี๋ยวจะเฉาตายกันเสียก่อน
พอถึงวัย 95 ปีปุ๊บ สังขารคุณตาเริ่มไปไม่ไหวแล้วไงคะ เริ่มเสื่อมทุกระบบ เส้นเลือดยังไม่เว้น ทีนี้ก็ต้องพาไปอยู่โรงพยาบาลแล้วผลัดกันไปเฝ้า โดยที่ท่านมีลูกทั้งหมด 7 คน แล้วก็ตอบอย่างโลกไม่สวยเลยว่า เฝ้าได้ 2 เดือนก็ต้องจ้างคนเฝ้าสองกะ แล้วมาเยี่ยมในตอนกลางวันแทน เพราะอย่าลืมว่าลูกทั้ง 7 นั้นก็ล้วนเป็นคนแก่เหมือนกัน คือคนโตนี่อายุเจ็ดสิบปีแล้วค่ะ ที่เหลือก็ไล่เรียงกันมาล้วนหกสิบกว่ากันทั้งนั้น พอกลางคืนไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ออกอาการอ่อนเพลีย หน้ามืดกันเป็นแถว ก็เลยเป็นรุ่นหลานผลัดกันไปเฝ้าซึ่งรุ่นหลานก็ยังทำงานกลางวันกัน สุดท้ายน็อกกันหมดก็เลยลงมติให้จ้างคนเฝ้าอยู่ดีค่ะ สถานการณ์นี้กินระยะเวลาปีกว่า
หลายคนอาจจะบอกว่าก็นี่ไง สุดท้ายก็ไม่พ้นคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลาน ลองคิดให้ดีๆ การจัดหาคนมาดูแลในบั้นปลายนั้นก็เป็นลูกหลานจัดการทั้งหมด รวมถึงจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลและคนเฝ้าอีกต่างหาก เพราะคนแก่แบบนั้นคงไม่มีปัญญาไปถอนเงินจากแบงค์มาจ่ายค่ะ แล้วกลางวันก็ยังมีหลายคนผลัดกันไปเฝ้าดูแลไม่ได้ทอดทิ้ง เพียงแต่ว่ากลางคืนนั้นปล่อยเป็นหน้าที่คนเฝ้าเท่านั้น
ถ้าวันนั้นท่านไม่มีลูกหลานจัดการ เป็นคนแก่สองคนในบ้านคงไม่แคล้วจะตายคาบ้านอย่างแน่นอน ซึ่งเรามองว่าลำบากจริงๆ ที่คนแก่มากจะใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาใครเลย เพราะไหนจะคนหุงหาอาหาร ซื้อข้าวซื้อของ คนพาไปหาหมอ คนจัดยา (น้าเราที่อยู่บ้านใกล้ต้องจัดการทุกเช้าเย็นให้ค่ะ ไปนอนเป็นเพื่อนเป็นบางครั้ง) เพราะตากับยายสายสตรองของเราทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองไม่ได้มาตั้งแต่อายุ 90 ปีแล้วค่ะ
อีกบ้านหนึ่งที่มีคนแก่ 80 อัพเหมือนกันหนักกว่าอีกค่ะเพราะเป็นอัลไซเมอร์ อันนี้หลานสาวเป็นคนดูแลเพราะคุณแม่เป็นข้าราชการยังไม่ปลดเกษียณต้องทำงานเพื่อหาค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู เคยจ้างคนดูแลแล้วก็ไม่ค่อยดีเท่าไร สุดท้ายสรุปว่าดูแลกันเอง ซึ่งตรงนี้คนแก่ก็ไม่อยู่ในฐานะตัดสินใจด้วยตัวเองเหมือนกันค่ะ
เรามีน้องคนหนึ่งแต่งงานกับคนต่างชาติ พอ่แม่บ้านนั้นเขายกมรดกทั้งหมดขององค์การดูแลคนป่วยในบั้นปลาย เพื่อให้มารับภาระตรงนี้ไปทั้งหมด
เราเองก็ชอบความคิดแบบนี้ พึ่งตัวเองดี แต่ย้อนดูเมืองไทยแล้วองค์กรแบบนี้นอกจากบ้านพักคนชราแล้วก็แทบไม่มีของเอกชนมีก็น้อยมาก เมื่อเราเข้าสู้สังคมคนแก่ธุรกิจนี้อาจจะขาดแคลนก็ได้นะคะ ซึ่งเราเองก็มองว่า ถ้าไปอยู่บ้านพักคนชรารัฐบาลก็ไม่พ้นภาระสังคมอยู่ดีค่ะ
มาดูประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงบ้าง ถ้าใครลองอ่านข่าวเกี่ยวกับสังคมผู้สูงวัยที่ญี่ปุ่นก็จะทราบดีว่าตอนนี้กำลังเริ่มประสบปัญหาใหญ่ เมื่อผ้าอ้อมผู้ใหญ่เริ่มขายดีกว่าผ้าอ้อมเด็ก ขนาดประเทศที่มีสวัสดิการพื้นฐานดีอย่างนั้น ยังจัดการปัญหานี้ด้วยความยากลำบาก คนแก่ที่อยู่คนเดียวต้องสั่งเสียว่าถ้าวันไหนไม่เปิดม่านหน้าต่างคือตายแล้วนะ หรือบางคนยอมก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อขอให้เข้าอยู่ในคุกเพราะจะได้มีข้าวกิน มีคนดูแลตลอด เราก็ว่าก็น่าเศร้าใจอยู่ไม่น้อยนะคะ
เราเองก็ไม่ได้หวังจะให้ลูกมาเลี้ยงดูในช่วงอายุ 60-80กลางหรอกค่ะ อันนี้น่าจะอยู่ไหวด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นสภาพตายายแล้ว มีคนดูแลในบั้นปลายมากๆ เช่น 85 ขึ้นไปนั้นค่อนข้างจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามนะคะเพราะคงอยู่ตามลำพังไม่ได้ สังขารไม่อำนวย
อีกเรื่องที่เรามองว่าเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตไม่แพ้กันก็คือเงินที่จะใช้หลังเกษีญณค่ะ บอกได้เลยว่าหลายคนที่อยู่ในวัยทำงานยังมองเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวมาก ว่างก็ลองคำนวณเล่นๆ ดูนะคะถ้าต้องการดำรงชีวิต มีค่าหมอตอนป่วย สามารถหาข้าวกินเองได้โดยไม่พึ่งพาผู้ใด ต้องใช้เงินประมาณเท่าไร ตัวเองเราเองเคาะดูเล่นเผื่ออัตราเงินเฟ้อแล้วพบว่าถ้าจะใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท ต่อครอบครัว * 30 ปีไปจนถึงอายุ 90 ปีตกราว ๆ 10 ล้านค่ะ ใครไม่มีก็ควรเร่งเก็บเงิน เก็บทองได้แล้วนะคะ (ถ้าเลย 90 ปี แพลนจะไปอยู่บ้านพักคนชราเอกชนก็ต้องหาเพิ่มอีกนะคะ สู้ๆ)
ความคิดเห็นที่ 57
เจอคำนี้ประจำ เวลาผู้ใหญ่ถามว่าจะมีหลานเมื่อไหร่แล้วเราตอบว่า ไม่อยากมีลูก ... ก็จะโดนย้อนถามว่า "อ้าว ไม่มีลูกแล้วแก่ไปใครจะเลี้ยง?"
ส่วนตัวเราคิดว่ามันเป็นการหวังน้ำบ่อหน้า คิดเอาตัวเองไปหวังพึ่งอะไรที่ไม่แน่นอน การเลี้ยงดูที่ดีไม่ได้การันตีคุณภาพเด็กเสมอไปหรอก เห็นมากับตา พี่น้องกันเลี้ยงมาดีเท่ากัน พี่เลว น้องดี ... เอาง่ายๆ สมมติลูกเกิดอุบัติเหตุตายก่อนก็ต้องเลี้ยงตัวเองอยู่ดี ... แถมเอาห่วงคำว่า "กตัญญู" ไปแขวนคอลูก ทำให้เขาบินไม่ได้ คิดจะกางปีกทำอะไรก็ไปได้ไม่สุดเพราะมีภาระ หลายๆ ครั้งอ่านกระทู้ในพันทิพเกี่ยวกับภาระครอบครัวแล้วเรายังรู้สึกสงสารเลย ... ความคิดจะมีลูกเพื่อให้ลูกกลับมาเลี้ยงเลยเป็นความคิดที่ฟังดูตื้นๆ สั้นๆ อันตรายสำหรับเรา ถ้าคิดว่าอนาคตจะเลี้ยงตัวเองไม่ไหวจริงๆ ไม่ควรมีลูกด้วยซ้ำ
พ่อแม่เลี้ยงเรามาแบบให้ทุกสิ่งโดยไม่หวังผลตอบแทน พ่อแม่มีทรัพย์สินส่วนของตัวเองเก็บไว้ยามแก่ เราจะทำอะไรก็ขอแค่ดูแลตัวเองได้ เอาจริงๆ ทุกวันนี้พยายามหาเงินเยอะๆ ก็เพื่อเก็บไว้ดูแลทั้งพ่อแม่ทั้งตัวเองนี่แหละ แล้วถ้าจับพลัดจับผลูเราเกิดมีลูกขึ้นมา ก็จะเลี้ยงแบบเดียวกัน คือให้ และไม่หวังผล ให้เขาได้ไปโบยบินทำสิ่งที่ต้องการให้เต็มที่ไม่ต้องมีห่วง และก็จะเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ดูแลตัวเองแบบไม่ต้องเดือดร้อนใคร
ส่วนตัวเราคิดว่ามันเป็นการหวังน้ำบ่อหน้า คิดเอาตัวเองไปหวังพึ่งอะไรที่ไม่แน่นอน การเลี้ยงดูที่ดีไม่ได้การันตีคุณภาพเด็กเสมอไปหรอก เห็นมากับตา พี่น้องกันเลี้ยงมาดีเท่ากัน พี่เลว น้องดี ... เอาง่ายๆ สมมติลูกเกิดอุบัติเหตุตายก่อนก็ต้องเลี้ยงตัวเองอยู่ดี ... แถมเอาห่วงคำว่า "กตัญญู" ไปแขวนคอลูก ทำให้เขาบินไม่ได้ คิดจะกางปีกทำอะไรก็ไปได้ไม่สุดเพราะมีภาระ หลายๆ ครั้งอ่านกระทู้ในพันทิพเกี่ยวกับภาระครอบครัวแล้วเรายังรู้สึกสงสารเลย ... ความคิดจะมีลูกเพื่อให้ลูกกลับมาเลี้ยงเลยเป็นความคิดที่ฟังดูตื้นๆ สั้นๆ อันตรายสำหรับเรา ถ้าคิดว่าอนาคตจะเลี้ยงตัวเองไม่ไหวจริงๆ ไม่ควรมีลูกด้วยซ้ำ
พ่อแม่เลี้ยงเรามาแบบให้ทุกสิ่งโดยไม่หวังผลตอบแทน พ่อแม่มีทรัพย์สินส่วนของตัวเองเก็บไว้ยามแก่ เราจะทำอะไรก็ขอแค่ดูแลตัวเองได้ เอาจริงๆ ทุกวันนี้พยายามหาเงินเยอะๆ ก็เพื่อเก็บไว้ดูแลทั้งพ่อแม่ทั้งตัวเองนี่แหละ แล้วถ้าจับพลัดจับผลูเราเกิดมีลูกขึ้นมา ก็จะเลี้ยงแบบเดียวกัน คือให้ และไม่หวังผล ให้เขาได้ไปโบยบินทำสิ่งที่ต้องการให้เต็มที่ไม่ต้องมีห่วง และก็จะเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ดูแลตัวเองแบบไม่ต้องเดือดร้อนใคร
แสดงความคิดเห็น
ความคิดที่ว่า “มีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่” คุณคิดว่าไงคะ?
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความคิดนี้แย่นะคะ.
แค่เราเคยอ่านบทความเรื่องการมีลูกของคนฝรั่ง
เค้าบอกว่า
“ฝรั่งเลี้ยงลูกแบบให้ใช้ชีวิตของตัวเองค่ะ เขาไม่ซีเรียสว่าแก่ไปลูกต้องมาเลี้ยงเขา เขาเลี้ยงเพื่อให้ลูกเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ใช่เลี้ยงเพื่อมาเลี้ยงเขาตอนแก่”
ซึ่งคนฝรั่งมีเงินให้หลังเกษียณเลยสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งลูกหลาน
ส่วนคนไทยมีความคิดว่า “มีลูก ตอนแก่จะได้มีคนดูแล”
สงสัยว่าความคิดแบบไหนที่ทำให้สังคมดีขึ้นมากกว่ากัน
การมีความคิดแบบคนฝรั่งสามารถทำได้จริงๆหรือเปล่า
ส่วนการมีความคิดแบบคนไทยก็ไม่ได้แย่เพราะลูกต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อยู่แล้ว แต่มันจะกลายเป็นว่าเราให้กำเนิดลูก เราก็คือเจ้าของลูก แบบนี้หรือเปล่า
ซึ่งเราว่ามันไม่โอเคเพราะลูกมีชีวิตเป็นของตัวเองไม่ใช่ของพ่อแม่
****แก้ไข มีข้อความเพิ่มเติม*****
เหมือนบางคอมเม้นจะเข้าใจผิดว่ากระทู้นี้หมายถึงเราไม่อยากเลี้ยงดูพ่อแม่ตอนแก่(บางคอมเม้นนะคะ) . หรือหลายคอมเม้นกำลังเข้าใจอะไรผิด.
เรากำลังพูดถึงในกรณีที่พ่อแม่มีความคิดว่า “มีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่”
ยังไม่ได้พูดถึงเรื่อง”ลูกหลานไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ หรือเอาผู้ปกครองไปทิ้งไว้ที่บ้านพักคนชรา”
คือคนละประเด็นหรือปล่าคะ อ่านดีๆก่อนเม้นได้มั้ยคะ?
เราพูดถึงฝ่ายพ่อแม่ค่ะ ยังไม่ได้พูดถึงฝ่ายลูกเลยค่ะ. แล้วก็ไม่ได้เป็นกระทู้เจตนาส่งเสริมให้ลูกหลานทอดทิ้งพ่อแม่ตอนแก่เลยค่ะ
และเราก็บอกแล้วว่า “มีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่” ไม่ใช่ความคิดที่แย่