สวัสดีค่ะ

ไม่ได้รีวิวในพันทิปมานานมากพอสมควร
วันนี้จะมาเริ่มศักราชใหม่กับหนังเพลงที่พีคมากที่สุดในรอบหลายปี
The Greatest Showman


ขอออกตัวก่อนว่า เราเป็นคนคลั่งมิวสิคัลมากๆ ค่ะ ดังนั้นจริตในการชอบดูมิวสิคัลของเราอาจจะเยอะกว่านักดูหนังบางคน เราว่าเรื่องนี้เหมือนได้ดูมิวสิคัลแท้ๆแบบที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ Les miserables (La la land สำหรับเรา มันยังไม่เชิงมิวสิคัลขนาดนั้น ) และมีความรู้สึกเหมือนได้ดูดิสนีย์สไตล์ แบบสมัยยุคดิสนีย์เรอเนอซองค์ พวก Beauty and the beast , lion king , pocahontas , The hunchback of notredame  ฯลฯ เถือกๆนี้ ที่ร้องเพลงไปพร้อมกับการเล่าเรื่อง ดูแล้วฟิน มีความสุข 5555

เรื่องนี้ เราดูมาทั้งสิ้น 4 รอบแล้ว (และถ้ามีเวลาว่างเพิ่ม จะดูรอบที่ 5 แน่นอน )

รีวิวของเราจะแบ่งพาร์ทออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของรีวิวตัวหนัง และส่วนที่จะพูดคุยเนื้อหาของเพลงทั้ง 11 เพลง

เราจะเริ่มที่รีวิวหนังกันก่อน

หลายๆคนน่าจะได้ดูแล้ว หนังเข้ามาพักใหญ่ๆแล้วค่ะ เรารีวิวช้าเพราะอย่างที่บอกตอนแรกว่า ไปดูมา 4รอบ รอจนตกตะกอนความคิดของตัวเองและทำให้เราไม่สามารถสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวได้ จึงเป็นที่มาของการมาตั้งกระทู้นี้ และหลายๆคนก็คงเห็นแล้วว่าหนังไม่ถูกใจเหล่านักวิจารณ์ทั้งหลายเอาซะเลย เราเองก็เป็นคนที่ชอบดูหนังสายรางวัลและหนังอินดี้ไปควบคู่กับหนังแมส โดยมีหนังประเภทมิวสิคัลเป็นหนังแนวที่ชอบที่สุด

เนื้อเรื่องย่อของ The greatest showman เราจะขอข้ามไปดีกว่าเพื่อไม่ให้กระทู้ยาวเกินเหตุ สามารถหาอ่านได้ทั่วไปเนอะ ขอรีวิวอย่างเดียว

- การเล่าเรื่องของหนัง อย่างที่ทุกคนประสบ เช่นเดียวกับเราตอนดูรอบแรก คือ มัน เร็ว มาก ! เดินเรื่องติดสปีดเป็นความคิดที่เด้งขึ้นมาตอนดู ทำให้ไม่สามารถอินกับความรู้สึกของตัวละครได้เท่าที่ควร
แต่... ด้วยความที่เราเป็นสายมิวสิคัล เราชินกับละครเวทีที่เดินเรื่องสไตล์นี้ เราเลยไม่ค่อยมีปัญหากับจุดนี้ และพอดูรอบสอง เราขจัดปัญหาจุดนี้ออกได้ทั้งหมด มองข้ามไปได้เลยทันทีไม่มีข้อกังขา เรื่องนี้จึงเหมือนเราดูละครเวทีบนจอหนังเลยค่ะ

- นักแสดง นี่แหละคือของจริง

เรามีความสุขกับหนังได้มากขนาดนี้ เพราะนักแสดงส่งความสุขทะลุจอมาให้ ทุกคนดูเหมือนเกิดมาเพื่อแสดงมิวสิคัล มันอิ่มใจ เพลินไปกับการร้องการเต้น แม้แต่ Rebecca Ferguson ที่ลิปซิงค์จากเสียงของ Loren Allred ก็ยังลิปเนียนมาก จังหวะการหายใจการกระดกลิ้นตรงหมดเลยอะ

Huge Jackman นี่ดูแล้วรู้สึกได้ว่าเฮียสนุกกับการแสดงมิวสิคัลมากๆ เหมือนใจจริงแล้วนี่คือสิ่งที่เฮียรัก แค่มองเฮียก็อิ่มใจทั้งเรื่อง (สมราคาดาราบรอดเวย์เก่า)

Michelle Williams เธอสวยแบบดูเข้าถึงง่าย และเราชอบแทบทุกเรื่องที่เธอแสดง เป็นนักแสดงที่ใช้สายตาได้ดีมากๆ แค่ชายตาก็รู้แล้วว่าจะสื่ออะไร ดีงาม ร้องเพลงเพราะด้วย ^^

Zac Efron และ Zendaya เคมีโค-ตรเข้ากัน ทั้งสวยทั้งหล่อ เสียงเพราะเหมือนหลุดจากดิสนีย์ (ซึ่งทั้งสองคนเป็นเด็กปั้นดิสนีย์จริงๆ 5555 )

Keala Settle นักแสดงบรอดเวย์เสียงหวีดทรงพลังที่ทำให้เพลง This is me พีคมาก นางก็เล่นดี แต่บทไม่ได้เยอะเลยทำให้ไม่ได้เห็นอะไรมากนัก

รวมๆแล้วเป็นทีมนักแสดงที่สมบูรณ์แบบเรื่องนึงเลยทีเดียว

- ฉาก คอสตูมตระการตาและไลน์การเต้นที่ลงตัว
ด้วยความที่เป็นหนังย้อนยุค ทำให้สามารถใส่ความฟริ้ง ความเวอร์ลงมาในชุดและฉากได้แบบไม่น่าเกลียด  ยิ่งทำให้เรื่องนี้เหมือนละครเวทีมากๆ สีสันจัดจ้าน คอนทราสต์เยอะๆ จี๊ดดี
ด้านการเต้น ไลน์สวยทั้งหมด จังหวะลงตัวกับเมโลดี้ และสื่อไปพร้อมกับเรื่องราวได้ตรงเป๊ะๆ แค่ดูข้อนี้ก็ตุ้มค่าตั๋วแล้วอะ 4 รอบของเรายังรู้สึกว่าจะน้อยไป

3 องค์ประกอบของหนังตามที่เขียนไปด้านบนคือภาพรวมของหนัง ส่วนงานเพลง เราจะขอแยกมาอีกพาร์ท เพราะจะเขียนเจาะทุกเพลง (แบบที่เราเคยเขียนเจาะเพลงของ Beauty and the beast ไปในกระทู้เก่าๆค่ะ)

สาเหตุที่ต้องเขียนแยก เพราะด้วยความที่เพลงมันดีมาก โดยเฉพาะไอจุดที่หนังมันเดินเรื่องเร็วๆ พอมาฟังเพลงชัดๆ จำเนื้อเพลงได้ เรากลายเป็นคิดว่ามันก็เล่าเรื่องในเพลงแล้วนี่นะ ถึงจะไม่ครบทุกประเด็น แต่มันส่งให้หนังเป็นหนังมิวสิคัลที่สมบูรณ์แบบโดยใช้เพลงขับเคลื่อนอย่างแท้จริง (อย่างเช่น Miss Saigon มิวสิคัลที่เรารักมาก นั่นแทบไม่มีบทพูดนะครัช ทั้งเรื่องเล่าไปร้องไปตลอด พีคสุดๆ)

ดังนั้นส่วนของเพลง จะขอต่อที่คอมเม้นด้านล่างนะคะ
เขียนไว้ก่อนแล้วค่ะ ไม่มีหนีไปทำธุระแล้วค่อยมาพิมพ์นะ  พร้อมวางเลย


v
v
v

ถ้าชอบกระทู้ รบกวนกดโหวตกันคนละจิ๊กนึงด้วยนะคะ จะได้เป็นกำลังใจให้เขียนอีกเนอะ ^^