สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ในยุคที่อิสลามเจริญนี่ยุโรปอยู่ยุคมืดครับจึงไม่แปลกที่อิสลามจะเจริญกว่า และทำเลของตะวันออกกลางยังได้เปรียบมากเพราะเป็นจุดทางผ่านของการค้าระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกทำให้ความรู้และความมั่งคั่งต่างๆมารวมอยู่ที่นี่ ความเจริญของอิสลามส่วนมากจะไปในแนววิทยาการต่างๆเช่นวิทยาศาสตร์ เคมี ดาราศาสตร์ อย่างเช่นกอฮอล์นั้นอาหรับก็เป็นผู้ค้นพบเช่นกันซึ่งภายหลังฝรั่งก็รับเอาไปและตั้งชื่อผิดๆว่าแอลกอฮอล์ (ความจริงมาจาก อัล กอฮอล์) ซึ่งเมื่อเกิดสงครามครูเสดยุโรปส่งกองทัพมาแถบนี้มากมายก็ทำให้เกิดการส่งผ่านวิทยาการขึ้นพอชาวยุโรปที่มาครูเสดกลับไปก็นำเอาวิทยาการต่างๆกลับไปด้วย จากนั้นไม่นานก็เกิดวิกฤติการณ์ที่มองโกลประกาศศักดาปราบไปทั่วจนกระทั่งแหล่งรวมความรู้ของอาหรับอย่างแบกแดดถูกทำลายอย่างย่อยยับ ประกอบกับที่ต่อมาจักรวรรดิไบแซนไทน์ล่มสายเกิดจักรวรรดิออตโตมานขึ้นแทนส่งผลให้ยุโรปเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางสู่อินเดียไปทางทะเลแทน ทำให้ตะวันออกกลางหมดสภาพของการเป็นทางผ่านและศูนย์กลางของการค้าของตะวันตกและตะวันออก นับจากนั้นอาหรับและอิสลามก็ค่อยๆเสื่อมไปตามลำดับ
ที่เรามองภาพไม่ออกว่าอิสลามยิ่งใหญ่ได้อย่างไรก็เพราะในปัจจุบันแนวคิดของมุสลิมเปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่ศาสนาอิสลามสอนให้คนคิดและหาความรู้ตลอดชีวิตนั้นค่อยๆเปลี่ยนจากความรู้ทางวิทยาการต่างๆมาเป็นความรู้ทางศาสนาแทน มุสลิมในปัจจุบันจะมองว่าคนเก่งคือคนที่ท่องจำหลักศาสนาทั้งอัลกุรอ่านรึฮะดิษได้คล่องอ่านทำนองอัลกุรอ่านได้ไพเราะ ความรู้ทางโลกอื่นๆไม่ได้มีความสำคัญเท่าความรู้ทางศาสนาคนสนใจแต่การศึกษาศาสนาอย่างเดียว และก็ต้องว่ากันไปตามที่ปราชญ์ในอดีตสอนมาจะไปสงสัยรึคิดในแนวทางที่แปลกแยกออกไปไม่ได้ (ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจอย่างอื่นเลย มุสลิมที่สนใจความรู้ทางโลกก็มีอยู่แต่จัดว่าน้อย)
ซึ่งเรื่องนี้เหมือนกับลักษณะของจีนในอดีต นั่นคือความรู้คือบรรดาปรัชญาและแนวทางต่างๆที่ปราชญ์ในอดีตสอนมาเท่านั้น จีนในอดีตการที่จะดูว่าใครเก่งยังไงคือดูที่การสอบจอหงวนซึ่งการสอบจอหงวนหลักๆก็คือการเอาแนวทางของขงจื๊อมาถามแบบเดิมๆ คนที่เข้าสอบก็ต้องนั่งท่องนั่งอ่านตำราขงจื๊อมันไปทั้งเล่มเพื่อเอาความรู้และข้อมูลไปสอบ และจะตอบแบบขัดแย้งกับตำราก็ไม่ได้อีกโดนปัดตกทันที พวกความรู้วิทยาศาสตร์วิทยาการต่างๆนี่ไม่ต้องพูดถึงไม่มีสอน
สังคมมุสลิมในปัจจุบันก็เลยคล้ายกับสังคมจีนสมัยโบราณความรู้ก็ปิดอยู่แค่นั้นวนเวียนไปมาไม่มีใครจุดกระแสใหม่รึคิดนอกกรอบ ตำราว่ามายังไงก็ว่าตามไปยังงั้นไม่คิดสงสัยรึลองไปวิเคราะห์ แล้วในที่สุดมันก็ส่งผลให้สังคมก็อยู่กันไปแค่นั้นแหละไม่มีความเจริญไม่เกิดความสว่างทางปัญญาชื่นชมกันเองอยู่ในวงของตน สุดท้ายก็ตามโลกไม่ทันและถูกคนจากที่อื่นๆซึ่งพัฒนาไปมากกว่าเล่นงานจนย่ำแย่ จะมีเจริญก้าวหน้าก็บรรดาประเทศที่ออกสายกลางรึสายหย่อนไม่ยึดติดกอับศาสนามาก
ที่เรามองภาพไม่ออกว่าอิสลามยิ่งใหญ่ได้อย่างไรก็เพราะในปัจจุบันแนวคิดของมุสลิมเปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่ศาสนาอิสลามสอนให้คนคิดและหาความรู้ตลอดชีวิตนั้นค่อยๆเปลี่ยนจากความรู้ทางวิทยาการต่างๆมาเป็นความรู้ทางศาสนาแทน มุสลิมในปัจจุบันจะมองว่าคนเก่งคือคนที่ท่องจำหลักศาสนาทั้งอัลกุรอ่านรึฮะดิษได้คล่องอ่านทำนองอัลกุรอ่านได้ไพเราะ ความรู้ทางโลกอื่นๆไม่ได้มีความสำคัญเท่าความรู้ทางศาสนาคนสนใจแต่การศึกษาศาสนาอย่างเดียว และก็ต้องว่ากันไปตามที่ปราชญ์ในอดีตสอนมาจะไปสงสัยรึคิดในแนวทางที่แปลกแยกออกไปไม่ได้ (ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจอย่างอื่นเลย มุสลิมที่สนใจความรู้ทางโลกก็มีอยู่แต่จัดว่าน้อย)
ซึ่งเรื่องนี้เหมือนกับลักษณะของจีนในอดีต นั่นคือความรู้คือบรรดาปรัชญาและแนวทางต่างๆที่ปราชญ์ในอดีตสอนมาเท่านั้น จีนในอดีตการที่จะดูว่าใครเก่งยังไงคือดูที่การสอบจอหงวนซึ่งการสอบจอหงวนหลักๆก็คือการเอาแนวทางของขงจื๊อมาถามแบบเดิมๆ คนที่เข้าสอบก็ต้องนั่งท่องนั่งอ่านตำราขงจื๊อมันไปทั้งเล่มเพื่อเอาความรู้และข้อมูลไปสอบ และจะตอบแบบขัดแย้งกับตำราก็ไม่ได้อีกโดนปัดตกทันที พวกความรู้วิทยาศาสตร์วิทยาการต่างๆนี่ไม่ต้องพูดถึงไม่มีสอน
สังคมมุสลิมในปัจจุบันก็เลยคล้ายกับสังคมจีนสมัยโบราณความรู้ก็ปิดอยู่แค่นั้นวนเวียนไปมาไม่มีใครจุดกระแสใหม่รึคิดนอกกรอบ ตำราว่ามายังไงก็ว่าตามไปยังงั้นไม่คิดสงสัยรึลองไปวิเคราะห์ แล้วในที่สุดมันก็ส่งผลให้สังคมก็อยู่กันไปแค่นั้นแหละไม่มีความเจริญไม่เกิดความสว่างทางปัญญาชื่นชมกันเองอยู่ในวงของตน สุดท้ายก็ตามโลกไม่ทันและถูกคนจากที่อื่นๆซึ่งพัฒนาไปมากกว่าเล่นงานจนย่ำแย่ จะมีเจริญก้าวหน้าก็บรรดาประเทศที่ออกสายกลางรึสายหย่อนไม่ยึดติดกอับศาสนามาก
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบว่าสมัยยุครุ่งเรืองของอิสลามเป็นยังไง เจริญก้าวหน้ายังไงครับ จินตนาการไม่ออก