เริ่มคิดมานานแล้ว่า อยากจะตั้งกระทู้แต่ไม่กล้าสักที แล้วก็กลัวคนรู้จักมาเห็นด้วย แต่คิดว่าถ้าเขาเห็นก็คงดีเหมือนกัน ให้มันเป็นการบอกเขาไปเลย เพราะถ้าจะรอให้ตัวเองไปบอกคงไม่มีโอกาสได้บอก
กระทู้นี้อาจพูดจาวกวนไปมาบ้าง เพราะตอนเขียนความรู้สึกมันผสมกันไปหมด
เริ่มก่อนว่าตอนนี้ตัวเองมีปัญหาที่ไม่สามารถหาที่ปรึกษาได้ คือตอนนี้เราได้มหาลัยเรียนแล้วด้วยความช่วยเหลือจากพี่ของเราเอง ซึ่งตัวเราก็โอเคกับมัน ทั้งตัวสาขาวิชาหรือมหาลัย แต่ปัญหาคือเรากลัวพี่ของตัวเอง มันเป็นอาการที่บอกไม่ถูก เขาไม่ได้ทำร้ายเราทางกายแต่เขาทำให้ใจเราหดหู่ มันเหมือนว่าเราเป็นคนที่ทำอะไรเองไม่ได้ เหมือนว่าเราเป็นภาระที่เขาต้องดูแล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ตรงนี้คือยอมรับคิดเอาเอง ซึ่งความจริงอาจไม่เป็นอย่างนี้ แต่ถึงไม่จริง ผลของมันก็ทำให้เราหดหู่ไปแล้ว) เมื่อเราต้องไปอยู่กับเขาทีไร เขาทำเราร้องไห้ตลอด มันทำให้เรารู้สึกแย่ไม่โอเค เหมือนว่าเราเจอเรื่องร้ายที่หนีไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะปลอบเรา แต่มันก็ถอนความรู้สึกที่รับมาไม่ได้แล้ว
แล้วประเด็นคือ ถ้าเกิดว่าเราต้องเรียนที่นี้เราก็ต้องอยู่กับพี่ของเรา "แค่อยู่ด้วยกันแค่ช่วงสั้นๆ เขาก็ทำเราร้องไห้แทบบ้า แล้วเราต้องอยู่ด้วยกันเป็นปี สติเราจะไม่เตลิดเปิดเปงเลยหรอ" มันอาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ อายุ ประสบการณ์ ทำให้ไม่เข้าใจกัน แต่เหมือนว่าเรายังกลัวเขาไม่กล้าพูดตรงๆ จึงพูดบ่ายเบี่ยงปัดขอไม่เรียนขอหาที่เรียนเองโดยบอกไปว่าเราอยากได้ที่อื่นมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเขาโกรธ แล้วเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเราพูดจาเย่อหยิ่งแบบนั้นไปทำไม
เราคิดว่ามันน่าจะเกิดจากอีโก้ของเราที่ไม่อยากถูกมองว่าอ่อนแอ ว่าเราไม่ได้เป็นแค่คนที่ต้องขอความช่วยเหลือตลอด เรามีความสามารถที่จะทำอะไรได้เอง ซึ่งเราก็จำกัดความตัวเองเป็นแบบนั้นไปแล้ว สังคมที่เราอยู่ตอนนี้เราก็ถูกเซ็ตเป็นแบบนั้นไปแล้ว ว่าเราชอบทำอะไรเอง ไม่ขอใครช่วย พอมามีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นเราก็ยิ่งไปขอความเห็นจากใครไม่ได้ เพราะเรากระดากตัวเองที่จะต้องไปทำแบบนั้น ในหัวเราจะบอกเราตลอดว่า เราทำเองต้องแก้เอง แต่มันก็มีความน้อยใจอยู่ลึกๆที่ว่า "เฮ้!! นี่เรามีปัญหานะ เราไม่ได้แจ่มใสแบบแต่ก่อน ไม่มีใครเห็นไม่มีใครสนเลยหรอ" และแน่นอนว่าไม่มีใครสน มันทำให้เรารู้สึกแย่และเหวี่ยง น้อยใจใส่แม้กระทั่งคนเป็นโรคซึมเศร้าว่าเขาทำไมมีคนมาโอ๋
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แต่เรื่องนี้เราก็รู้สึกผิด เพราะว่าเราก็ศึกษาโรคนี้มาบ้าง ว่ามันไม่ใช่การเรียกร้อง มันมาเอง และเขาก็ห้ามมันไม่ได้ด้วย แต่ก็นั่นแหละ อารมณ์มักอยู่เหนือเหตุผล มันหยุดอิจฉาไม่ได้จริงๆว่าทำไมเขามีคนรายล้อมให้กำลังใจ ในขณะที่เรามีตัวเองคนเดียว แต่แล้วเราก็ย้อนกลับไปคิดว่าได้ว่า เพราะเราเองได้สร้างภาพลักษณ์ของเราไว้แล้ว เขาให้เขามองเราว่าเราไม่ต้องการใคร เราเลยลองไปหาหมอที่ รพ. บ้าง เราได้คุยกับนักบำบัดกับจิตแพทย์ และเขาก็ลงความเห็นว่าเราเป็นแค่
"ภาวะซึมเศร้า" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไปเสิร์ชเน็ตเจอคำนี้แทน "ความเครียด (Stress)" เราคิดว่าน่าจะเป็นอันนี้เพราะหมอเขาอธิบายว่าอาการคล้ายๆกับโรคซึมเศร้าแต่มาสั้นกว่า มาไวไปไว ไม่ได้จมกับมันทั้งวัน เราไปหาได้ 2ครั้งเราก็เลิกไปหาเพราะว่าเขาพูดจาดูเพ้อและไม่ค่อยถูกจริตเท่าไหร่ ทั้งคำแนะนำและวิธีการมันไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเรา (เขาบอกเราเราอีโก้เยอะและไม่ยืดหยุ่นเลยไม่ทำตามเขาแนะนำ อันนี้เชื่อว่าจริงและฟัง แต่ก็ไม่ทำ เพราะใจเราตอนนั้นคิดว่าต้องทานยา พอทานแล้วเดี๋ยวความรู้สึกแย่ๆพวกนี้จะหายไปเอง)
โดยตอนเราไปหาหมอเราก็ขอเขาช่วยอยู่ 2เรื่อง คือ
1. เรื่องว่าเรียนต่อไปมหาลัยเราควรทำยังไง
2.เรื่องเพื่อนกับสังคมของตัวเรา
ส่วนคำตอบที่ได้
1.เข้าเรียนมหาลัยที่พี่ช่วยหามาให้ เพราะว่ามุมมองของผู้ใหญ่(หมอนั่นแหละ) บอกว่ามันประหยัดได้หลายอย่างเพราะอยู่ด้วยกัน ดูแลกันก็ง่าย แล้วก็ถามย้อนกลับมาที่เราอีกว่าถ้าไปหาที่เรียนเองจะเอาไหนจ่าย แล้วสุดท้ายใครจะจ่าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เราก็อีโก้จัดเหลือหลาย ตอบว่าจะหาเอาเองกู้ กยส. หาทุน ทำพาร์ทไทม์ บอกว่าถ้าขยันเราก็ไม่อดหรอก(คิดทีหลังมันก็ความฝันเฝื่องแบบคนรุ่นใหม่ชัดๆ ที่เชื่อว่ามีสมองกับคอมสักตัว ก็จะทำอะไรก็ได้)ซึ่งตอนคุยกับพี่เขาโกรธก็เราก็ตอบไปแบบนี้ ส่วนเรื่องความไม่เข้าใจกันนั้น อยู่ๆไป เราคงปรับหากันได้ เราก็ว่าเขาไม่ปรับหรอกเพราะยังไงคนกันเองก็ย่อมรู้กันว่าอีโก้หน่ะมันลดได้ที่ไหน แถมเขาบอกให้เรานี่แหละต้องลดหาเขาเพราะเราเป็นผู้น้อย ให้รู้จักพูดมีระดับอายุสูงต่ำ รู้สถานะตน ให้คล้อยตามเขาบ้าง(ปกติไม่พูดเพราะรู้สึกเอียนๆคำพูดแบบนี้ จนโดนคนรอบข้างมองว่าหยาบกระด้าง ไม่มีสัมมาคารวะ โถถ... คุณณ เราจะมาพิธีรีตองประดิษฐ์กันให้มากทำไม
อยากจะทำอะไรก็พูดกันเลย มันจะได้จบเร็วๆ<รู้สึกแพ้ภัยตัวเองจัง ตอนบนๆยังไม่ยอมบอกเขาตรงๆเลย ถถถถ)
2.เขาถามเราว่าเรามีเพื่อนมั้ย เราก็บอกไปว่าเราไม่มั่นใจว่าเขาจะเป็นเพื่อนเรามั้ย เพราะที่เห็นไม่มีใครพูดว่าเราเป็นเพื่อนเขาเลย เราไม่กล้าไปโมเมเอาหรอกว่าเขาเป็นเพื่อนเรา เพราะมันเจ็บนะเวลาเขาตอบว่า "ชั้นไปเป็นเพื่อนเธอตอนไหน" แล้วก็เราดูจากที่พวกเขาปฏิบัติด้วยว่าเราไม่ค่อยได้เชิญไปร่วมกิจกรรมบันเทิงที่ไหนกับเขาเลย โดนเรียกมาแต่ละทีไม่ปัญหาก็งาน จนเราคิดไปว่าเราคงแค่ถูกใช้ประโยชน์แค่นั้นแหละ
หมอเขาถามต่อว่าเขาไม่เคยชวนเราเลยหรอ มันก็เคยชวนนั่นแหละ แต่ว่ากิจกรรมมันไม่ตรงจริตเรา แถมถ้าไปเราก็เป็นส่วนเกิดเขาอีก เพราะเราไม่เหมือนเขา อย่างดูหนัง ฟังเพลง เราก็ดูก็ฟังที่เขาไม่ดูไม่ฟังกัน ถ้าไปแล้วจับกลุ่มคุยกันเราไม่เป็นเศษเกินหรอ
หมอก็แนะนำให้หาจุดเชื่อมโยงกัน เราก็เชื่อมกับเขาแล้วแต่มันได้ไม่สุดไงเชื่อมยังไงเราก็เข้าได้แค่ผิวเผิน เราเข้าไปอยู่กับเขาจริงๆไม่ได้หรอก หมอเลยเสนอมาว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนคนอื่น หรือจะรอกลุ่มของเราในอนาคตต่อไป ใครๆก็อยากได้กลุ่มคนที่เหมือนตัวตนเราจริงๆแบบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ แต่ตอนนี้คือเราต้องการกลุ่มคนพวกนี้ กลุ่มที่เราอยู่ในปัจจุบัน ให้เขารับเรา เราเห็นคนพวกนั้นปลอบเพื่อนในกลุ่มตัวเอง เชียร์คนในกลุ่มเวลามีงาน ชวนกันฉลองเวลาสำเร็จ แล้วเราหล่ะ เราก็ยังอยู่คนเดียว ทำคนเดียว เหมือนเดิม อย่างว่าเราติดมหาลัย(ที่พี่ช่วยจัดหานั่นแหละ) ทุกอย่างเหมือนไม่มีไรเกิด ไม่มีใครว๊าว หรือยินดี แต่เพื่อนอีกคนกลับมีคนยินดีเกือบหมดห้อง มีการนัดแนะฉลองหมูกระทะ เราก็รู้สึกน้อยอกน้อยใจบ้างว่าทำไมเราถึงโลนลี่แบบนี้ มันโหว่งๆในใจ(มันแบบอยากเรียกร้องความสนใจนั่นแหละ อยากได้รับความสนใจจากคนอื่นบ้าง แต่ด้วยภาพลักษณ์และอีโก้ของเราทำให้เราไม่พูดออกมา ถ้าจู่ๆเราเกิดร้องไห้โฮออกมาว่าทำไมไม่มีคนสนใจ เขาคนจะหาว่าเราปัญญาอ่อนนั่นแหละ แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดเราะูดออกไป เราจะรู้ได้ไงว่าที่เขาเข้ามาปลอบเราเขาจะคิดดีกับเราจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะอยากให้เราหยุด แล้วหลังจากนั้นก็ตีตัวออกห่าง หรือมองแบบผิดจากเดิม<
ตรงนี้แอบอกุศล)
หมอเขาก็ทิ้งท้ายว่าคำตอบหมออาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด ให้ลองถามหลายๆคน ถามคนใกล้ตัวให้เขาช่วยคิด เพราะเขารู้จักเราดีที่สุด
สรุปผลจากการไปหาหมอ
เราไม่เชื่อหมอแถมไม่ทำตาม แต่ก็ลองไปถามคนอื่นใกล้ตัวเผื่อได้คำตอบดีๆ
1.ถามแม่ แม่ก็บอกไม่รู้ เรื่องเด็กยุคใหม่ออกจะซับซ้อนเกินไป สมัยแม่ไม่เห็นคิดอะไรแบบนั้น แถบบอกปวดหัวอย่าถามด้วย ส่วนเรื่องเพื่อนไม่ต้องมีก็ได้ บอกให้อยู่คนเดียว(ทุกวันนี้แกก็อยู่คนเดียว ออกไปทำงานกลับบ้านมาอยู่กับแมวนอนดูทีวี)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไหนเขาบอกสถาบันครอบครัวคือที่ที่เข้าใจเราที่สุด ถามคนนึงได้งี้ ตัดใจไม่ถามต่อดีกว่า
2.ถามครูทั่วไป ครูเขาก็ว่าอย่างหมอคือเดินตามทางที่มีคนปูให้ นอบน้อมพี่ตามแบบชาวไทยที่ดี และปรับหาคนในสังคมเขาทำอะไรก็ทำอย่างเขา จะได้อยู่สังคมอย่างมีความสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เราคงคิดแปลกแยกและไม่อยากเป็นฟันเฟืองในระบบอย่างคนอื่นๆเป็น เลยไม่เชื่อ แกก็เลยบอกให้ไปอยู่ต่างประเทศเสียเลยสิ
สรุปผล คือตอนนี้เรามีปัญหาเรื่องคิดมากเรื่องที่เรียนว่าเราจำเป็นต้องอยู่กับพี่ที่ทำให้เราหดหู่ร้องไห้ ซึ่งเราไม่โอเคถึงขนาดจะไปหาที่เรียนที่อยู่เอาเอง(ออกแนวคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก) ซึ่งพอเราประมวลผลแล้วมันจะทำให้ค่าใช้จ่ายขึ้นสูงมากและเราจะกลายเป็นภาระหนึ่งที่หนักมากๆ ซึ่งเราไม่อยากเป็นภาระให้ใคร และไม่อยากที่จะต้องทุกข์ใจด้วย พอเราทุกข์ใจเพราะคิดมากเรื่องนี้แล้วเราก็ต้องการคนช่วยปรึกษาแนะนำ แต่ไม่มีใครเป็นให้เราได้เลย(เพราะไม่มีเพื่อน ตามในความคิดเรา) และด้วยเรื่องจากว่าเราไม่ต้องการจะเป็นภาระของครอบครัวเราจึงไม่ได้สอบสมัครกลางสักรอบ รอเพียงแค่ PORTFOLIO รอบ 1/2 เท่านั้น และถ้าเกิดไม่ติดก็ไปเรียนมหาลัยที่พี่หาไว้ให้เท่านั้น ซ่งก็ทำใจยอมรับไว้แล้ว ว่าเราเลือกแบบนี้จริงๆ แต่เราก็ยังกลัวอยู่ดีว่า
เราจะเป็นบ้าไปก่อนมั้ยจากการโดนบั่นทอนจิตใจ เพราว่าตัวเราเหมือนไม่มีใครให้พึ่งจริงๆ เวลาเราปวดใจก็คุยกับตัวเองในหัว หลับสักตื่น โชคดีหน่อยว่าเป็นคนลืมง่าย จำอะไรไม่ค่อยได้ ผ่านไปวันสองวันก็ลืมหมดทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตปกติต่อ(เชื่อว่าหน้าที่การงานมาก่อนอารมณ์ บ้าบอได้ แต่งานต้องเดินด้วย)แต่ช่วงที่เราคิดอยู่กำลังจมอยู่กับมั่น ตอนที่เราไม่มั่นคงนั้น ใครจะช่วยเรา ตัวเราเองทั้งนั้น แต่บางคร้งถ้ามันถ่าโถมเข้ามามาก มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน แล้วเราจะร้องทำไง เอามือกอดตัวเองแล้วร้องไห้ไปพูดปลอบตัวเองไป ยิ่งได้ดูโซเชียลมีเดียเห็นคนเขามีเพื่อนมีแฟนคอยช่วยคอยให้กำลังใจก็ยิ่งหดหู่ ว่าเรามันหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีใครสนใจ (เคยถามครอบครัว ครอบครัวก็ว่าเรื่องนิดเดียว เขาว่าปากท้องสำคัญกว่าความสัมพันธ์กับคนอื่นเพราะคนอื่นไม่ได้ให้ข้างให้น้ำเรา สนทำไม) เราคิดว่าน่าจะเกิดจากความอิจฉาที่เห็นเขามีคนคอยห่วงละมั้ง ความรู้สึกที่เห็นเขามีแล้วเราไม่มีเราเลยรู้สึกแย่แบบนี้ แต่พอพ้นจากช่วงเศร้าก็กลายเป็นอารมณ์ริศยาแทน หาอะไรทำที่ทำให้ตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่นแล้วพูดจาทับถมเขา จนรู้สึกว่ากำลังใจในการมีชีวิตทุกวันนี้คือถีบตัวเองให้สูงเพื่อเหยียดหยามคนอื่น ซึ่งรู้ว่ามันไม่มีและควรเลือกมีแนวคิดแบบนี้ แต่คิดว่าคงไม่ได้ จนกว่าเราจะเจอคนแบบเรา กลุ่มของเราพวกของเรา กลุ่มคนที่เราแคร์เขาและเขาแคร์เราทำให้เรามีความสุขจนสามารถช่างหัวคนอื่นได้ แล้วมีความสุขกับกลุ่มของเรา ซึ่งหมอเขาก็บอกไว้ว่า บางทีรอจนตายก็อาจหาไม่เจอ
ตอนนี้เลยอยากทราบความเห็นจากคนในพันทิปดูบ้างว่า
1.เราจะไปเรียนที่ที่พี่จัดหาให้เราดีมั้ย
2.เราควรจะรอกลุ่มคนของเราต่อไปหรือว่าเลิกแล้วปรับตัวเข้ากลุ่มคนในปัจจจุบัน หรือว่าไปอยู่คนเดียวเลย(ตรงนี้เราไม่รู้ว่าเขาเข้ากับเราไม่ได้ หรือเราปิดกั้นตัวเองไม่เข้ากับเขากันแน่)
3.หมอว่าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า แต่เราคิดว่าตัวเองเป็น(ดูจากแบบสอบถาม และโปสเตอร์ตรวจสอบอาการต่างๆ)และคิดว่าถ้าทานยาแล้วต้องหายแน่ๆ เราควรเชื่อหมอหรือตัวเองดี
*หมายเหตุ* ข้อความนี้ถูกพิมพ์ช่วงจิตใจไม่ค่อยมั่นคง หากถ้ามาตอบความเห็นแล้วแปลกๆไปจากเดิมอย่างสงสัย เพราะบางครั้งก็จำไม่ได้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่หรือทำอะไรลงไป เพราะอย่างที่บอกไว้ข้างบน พอตื่นมาก็ลืมทุกอย่าง แต่ผ่านไปมาถึงช่วงจิตตกมันก็กลับมาอีก
มีปัญหาเกี่ยวกับการต้องไปอยู่กับคนที่เรากลัว และปรึกษากับคนรอบข้างแล้วได้คำตอบยังไม่ค่อยน่าพึงพอใจ
กระทู้นี้อาจพูดจาวกวนไปมาบ้าง เพราะตอนเขียนความรู้สึกมันผสมกันไปหมด
เริ่มก่อนว่าตอนนี้ตัวเองมีปัญหาที่ไม่สามารถหาที่ปรึกษาได้ คือตอนนี้เราได้มหาลัยเรียนแล้วด้วยความช่วยเหลือจากพี่ของเราเอง ซึ่งตัวเราก็โอเคกับมัน ทั้งตัวสาขาวิชาหรือมหาลัย แต่ปัญหาคือเรากลัวพี่ของตัวเอง มันเป็นอาการที่บอกไม่ถูก เขาไม่ได้ทำร้ายเราทางกายแต่เขาทำให้ใจเราหดหู่ มันเหมือนว่าเราเป็นคนที่ทำอะไรเองไม่ได้ เหมือนว่าเราเป็นภาระที่เขาต้องดูแล[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เมื่อเราต้องไปอยู่กับเขาทีไร เขาทำเราร้องไห้ตลอด มันทำให้เรารู้สึกแย่ไม่โอเค เหมือนว่าเราเจอเรื่องร้ายที่หนีไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะปลอบเรา แต่มันก็ถอนความรู้สึกที่รับมาไม่ได้แล้ว
แล้วประเด็นคือ ถ้าเกิดว่าเราต้องเรียนที่นี้เราก็ต้องอยู่กับพี่ของเรา "แค่อยู่ด้วยกันแค่ช่วงสั้นๆ เขาก็ทำเราร้องไห้แทบบ้า แล้วเราต้องอยู่ด้วยกันเป็นปี สติเราจะไม่เตลิดเปิดเปงเลยหรอ" มันอาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ อายุ ประสบการณ์ ทำให้ไม่เข้าใจกัน แต่เหมือนว่าเรายังกลัวเขาไม่กล้าพูดตรงๆ จึงพูดบ่ายเบี่ยงปัดขอไม่เรียนขอหาที่เรียนเองโดยบอกไปว่าเราอยากได้ที่อื่นมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเขาโกรธ แล้วเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเราพูดจาเย่อหยิ่งแบบนั้นไปทำไม
เราคิดว่ามันน่าจะเกิดจากอีโก้ของเราที่ไม่อยากถูกมองว่าอ่อนแอ ว่าเราไม่ได้เป็นแค่คนที่ต้องขอความช่วยเหลือตลอด เรามีความสามารถที่จะทำอะไรได้เอง ซึ่งเราก็จำกัดความตัวเองเป็นแบบนั้นไปแล้ว สังคมที่เราอยู่ตอนนี้เราก็ถูกเซ็ตเป็นแบบนั้นไปแล้ว ว่าเราชอบทำอะไรเอง ไม่ขอใครช่วย พอมามีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นเราก็ยิ่งไปขอความเห็นจากใครไม่ได้ เพราะเรากระดากตัวเองที่จะต้องไปทำแบบนั้น ในหัวเราจะบอกเราตลอดว่า เราทำเองต้องแก้เอง แต่มันก็มีความน้อยใจอยู่ลึกๆที่ว่า "เฮ้!! นี่เรามีปัญหานะ เราไม่ได้แจ่มใสแบบแต่ก่อน ไม่มีใครเห็นไม่มีใครสนเลยหรอ" และแน่นอนว่าไม่มีใครสน มันทำให้เรารู้สึกแย่และเหวี่ยง น้อยใจใส่แม้กระทั่งคนเป็นโรคซึมเศร้าว่าเขาทำไมมีคนมาโอ๋ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เราเลยลองไปหาหมอที่ รพ. บ้าง เราได้คุยกับนักบำบัดกับจิตแพทย์ และเขาก็ลงความเห็นว่าเราเป็นแค่ "ภาวะซึมเศร้า" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เราไปหาได้ 2ครั้งเราก็เลิกไปหาเพราะว่าเขาพูดจาดูเพ้อและไม่ค่อยถูกจริตเท่าไหร่ ทั้งคำแนะนำและวิธีการมันไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเรา (เขาบอกเราเราอีโก้เยอะและไม่ยืดหยุ่นเลยไม่ทำตามเขาแนะนำ อันนี้เชื่อว่าจริงและฟัง แต่ก็ไม่ทำ เพราะใจเราตอนนั้นคิดว่าต้องทานยา พอทานแล้วเดี๋ยวความรู้สึกแย่ๆพวกนี้จะหายไปเอง)
โดยตอนเราไปหาหมอเราก็ขอเขาช่วยอยู่ 2เรื่อง คือ
1. เรื่องว่าเรียนต่อไปมหาลัยเราควรทำยังไง
2.เรื่องเพื่อนกับสังคมของตัวเรา
ส่วนคำตอบที่ได้
1.เข้าเรียนมหาลัยที่พี่ช่วยหามาให้ เพราะว่ามุมมองของผู้ใหญ่(หมอนั่นแหละ) บอกว่ามันประหยัดได้หลายอย่างเพราะอยู่ด้วยกัน ดูแลกันก็ง่าย แล้วก็ถามย้อนกลับมาที่เราอีกว่าถ้าไปหาที่เรียนเองจะเอาไหนจ่าย แล้วสุดท้ายใครจะจ่าย[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ส่วนเรื่องความไม่เข้าใจกันนั้น อยู่ๆไป เราคงปรับหากันได้ เราก็ว่าเขาไม่ปรับหรอกเพราะยังไงคนกันเองก็ย่อมรู้กันว่าอีโก้หน่ะมันลดได้ที่ไหน แถมเขาบอกให้เรานี่แหละต้องลดหาเขาเพราะเราเป็นผู้น้อย ให้รู้จักพูดมีระดับอายุสูงต่ำ รู้สถานะตน ให้คล้อยตามเขาบ้าง(ปกติไม่พูดเพราะรู้สึกเอียนๆคำพูดแบบนี้ จนโดนคนรอบข้างมองว่าหยาบกระด้าง ไม่มีสัมมาคารวะ โถถ... คุณณ เราจะมาพิธีรีตองประดิษฐ์กันให้มากทำไม อยากจะทำอะไรก็พูดกันเลย มันจะได้จบเร็วๆ<รู้สึกแพ้ภัยตัวเองจัง ตอนบนๆยังไม่ยอมบอกเขาตรงๆเลย ถถถถ)
2.เขาถามเราว่าเรามีเพื่อนมั้ย เราก็บอกไปว่าเราไม่มั่นใจว่าเขาจะเป็นเพื่อนเรามั้ย เพราะที่เห็นไม่มีใครพูดว่าเราเป็นเพื่อนเขาเลย เราไม่กล้าไปโมเมเอาหรอกว่าเขาเป็นเพื่อนเรา เพราะมันเจ็บนะเวลาเขาตอบว่า "ชั้นไปเป็นเพื่อนเธอตอนไหน" แล้วก็เราดูจากที่พวกเขาปฏิบัติด้วยว่าเราไม่ค่อยได้เชิญไปร่วมกิจกรรมบันเทิงที่ไหนกับเขาเลย โดนเรียกมาแต่ละทีไม่ปัญหาก็งาน จนเราคิดไปว่าเราคงแค่ถูกใช้ประโยชน์แค่นั้นแหละ
หมอเขาถามต่อว่าเขาไม่เคยชวนเราเลยหรอ มันก็เคยชวนนั่นแหละ แต่ว่ากิจกรรมมันไม่ตรงจริตเรา แถมถ้าไปเราก็เป็นส่วนเกิดเขาอีก เพราะเราไม่เหมือนเขา อย่างดูหนัง ฟังเพลง เราก็ดูก็ฟังที่เขาไม่ดูไม่ฟังกัน ถ้าไปแล้วจับกลุ่มคุยกันเราไม่เป็นเศษเกินหรอ
หมอก็แนะนำให้หาจุดเชื่อมโยงกัน เราก็เชื่อมกับเขาแล้วแต่มันได้ไม่สุดไงเชื่อมยังไงเราก็เข้าได้แค่ผิวเผิน เราเข้าไปอยู่กับเขาจริงๆไม่ได้หรอก หมอเลยเสนอมาว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนคนอื่น หรือจะรอกลุ่มของเราในอนาคตต่อไป ใครๆก็อยากได้กลุ่มคนที่เหมือนตัวตนเราจริงๆแบบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ แต่ตอนนี้คือเราต้องการกลุ่มคนพวกนี้ กลุ่มที่เราอยู่ในปัจจุบัน ให้เขารับเรา เราเห็นคนพวกนั้นปลอบเพื่อนในกลุ่มตัวเอง เชียร์คนในกลุ่มเวลามีงาน ชวนกันฉลองเวลาสำเร็จ แล้วเราหล่ะ เราก็ยังอยู่คนเดียว ทำคนเดียว เหมือนเดิม อย่างว่าเราติดมหาลัย(ที่พี่ช่วยจัดหานั่นแหละ) ทุกอย่างเหมือนไม่มีไรเกิด ไม่มีใครว๊าว หรือยินดี แต่เพื่อนอีกคนกลับมีคนยินดีเกือบหมดห้อง มีการนัดแนะฉลองหมูกระทะ เราก็รู้สึกน้อยอกน้อยใจบ้างว่าทำไมเราถึงโลนลี่แบบนี้ มันโหว่งๆในใจ(มันแบบอยากเรียกร้องความสนใจนั่นแหละ อยากได้รับความสนใจจากคนอื่นบ้าง แต่ด้วยภาพลักษณ์และอีโก้ของเราทำให้เราไม่พูดออกมา ถ้าจู่ๆเราเกิดร้องไห้โฮออกมาว่าทำไมไม่มีคนสนใจ เขาคนจะหาว่าเราปัญญาอ่อนนั่นแหละ แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดเราะูดออกไป เราจะรู้ได้ไงว่าที่เขาเข้ามาปลอบเราเขาจะคิดดีกับเราจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะอยากให้เราหยุด แล้วหลังจากนั้นก็ตีตัวออกห่าง หรือมองแบบผิดจากเดิม<ตรงนี้แอบอกุศล)
สรุปผลจากการไปหาหมอ
เราไม่เชื่อหมอแถมไม่ทำตาม แต่ก็ลองไปถามคนอื่นใกล้ตัวเผื่อได้คำตอบดีๆ
1.ถามแม่ แม่ก็บอกไม่รู้ เรื่องเด็กยุคใหม่ออกจะซับซ้อนเกินไป สมัยแม่ไม่เห็นคิดอะไรแบบนั้น แถบบอกปวดหัวอย่าถามด้วย ส่วนเรื่องเพื่อนไม่ต้องมีก็ได้ บอกให้อยู่คนเดียว(ทุกวันนี้แกก็อยู่คนเดียว ออกไปทำงานกลับบ้านมาอยู่กับแมวนอนดูทีวี) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2.ถามครูทั่วไป ครูเขาก็ว่าอย่างหมอคือเดินตามทางที่มีคนปูให้ นอบน้อมพี่ตามแบบชาวไทยที่ดี และปรับหาคนในสังคมเขาทำอะไรก็ทำอย่างเขา จะได้อยู่สังคมอย่างมีความสุข [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปผล คือตอนนี้เรามีปัญหาเรื่องคิดมากเรื่องที่เรียนว่าเราจำเป็นต้องอยู่กับพี่ที่ทำให้เราหดหู่ร้องไห้ ซึ่งเราไม่โอเคถึงขนาดจะไปหาที่เรียนที่อยู่เอาเอง(ออกแนวคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก) ซึ่งพอเราประมวลผลแล้วมันจะทำให้ค่าใช้จ่ายขึ้นสูงมากและเราจะกลายเป็นภาระหนึ่งที่หนักมากๆ ซึ่งเราไม่อยากเป็นภาระให้ใคร และไม่อยากที่จะต้องทุกข์ใจด้วย พอเราทุกข์ใจเพราะคิดมากเรื่องนี้แล้วเราก็ต้องการคนช่วยปรึกษาแนะนำ แต่ไม่มีใครเป็นให้เราได้เลย(เพราะไม่มีเพื่อน ตามในความคิดเรา) และด้วยเรื่องจากว่าเราไม่ต้องการจะเป็นภาระของครอบครัวเราจึงไม่ได้สอบสมัครกลางสักรอบ รอเพียงแค่ PORTFOLIO รอบ 1/2 เท่านั้น และถ้าเกิดไม่ติดก็ไปเรียนมหาลัยที่พี่หาไว้ให้เท่านั้น ซ่งก็ทำใจยอมรับไว้แล้ว ว่าเราเลือกแบบนี้จริงๆ แต่เราก็ยังกลัวอยู่ดีว่า เราจะเป็นบ้าไปก่อนมั้ยจากการโดนบั่นทอนจิตใจ เพราว่าตัวเราเหมือนไม่มีใครให้พึ่งจริงๆ เวลาเราปวดใจก็คุยกับตัวเองในหัว หลับสักตื่น โชคดีหน่อยว่าเป็นคนลืมง่าย จำอะไรไม่ค่อยได้ ผ่านไปวันสองวันก็ลืมหมดทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตปกติต่อ(เชื่อว่าหน้าที่การงานมาก่อนอารมณ์ บ้าบอได้ แต่งานต้องเดินด้วย)แต่ช่วงที่เราคิดอยู่กำลังจมอยู่กับมั่น ตอนที่เราไม่มั่นคงนั้น ใครจะช่วยเรา ตัวเราเองทั้งนั้น แต่บางคร้งถ้ามันถ่าโถมเข้ามามาก มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน แล้วเราจะร้องทำไง เอามือกอดตัวเองแล้วร้องไห้ไปพูดปลอบตัวเองไป ยิ่งได้ดูโซเชียลมีเดียเห็นคนเขามีเพื่อนมีแฟนคอยช่วยคอยให้กำลังใจก็ยิ่งหดหู่ ว่าเรามันหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีใครสนใจ (เคยถามครอบครัว ครอบครัวก็ว่าเรื่องนิดเดียว เขาว่าปากท้องสำคัญกว่าความสัมพันธ์กับคนอื่นเพราะคนอื่นไม่ได้ให้ข้างให้น้ำเรา สนทำไม) เราคิดว่าน่าจะเกิดจากความอิจฉาที่เห็นเขามีคนคอยห่วงละมั้ง ความรู้สึกที่เห็นเขามีแล้วเราไม่มีเราเลยรู้สึกแย่แบบนี้ แต่พอพ้นจากช่วงเศร้าก็กลายเป็นอารมณ์ริศยาแทน หาอะไรทำที่ทำให้ตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่นแล้วพูดจาทับถมเขา จนรู้สึกว่ากำลังใจในการมีชีวิตทุกวันนี้คือถีบตัวเองให้สูงเพื่อเหยียดหยามคนอื่น ซึ่งรู้ว่ามันไม่มีและควรเลือกมีแนวคิดแบบนี้ แต่คิดว่าคงไม่ได้ จนกว่าเราจะเจอคนแบบเรา กลุ่มของเราพวกของเรา กลุ่มคนที่เราแคร์เขาและเขาแคร์เราทำให้เรามีความสุขจนสามารถช่างหัวคนอื่นได้ แล้วมีความสุขกับกลุ่มของเรา ซึ่งหมอเขาก็บอกไว้ว่า บางทีรอจนตายก็อาจหาไม่เจอ
ตอนนี้เลยอยากทราบความเห็นจากคนในพันทิปดูบ้างว่า
1.เราจะไปเรียนที่ที่พี่จัดหาให้เราดีมั้ย
2.เราควรจะรอกลุ่มคนของเราต่อไปหรือว่าเลิกแล้วปรับตัวเข้ากลุ่มคนในปัจจจุบัน หรือว่าไปอยู่คนเดียวเลย(ตรงนี้เราไม่รู้ว่าเขาเข้ากับเราไม่ได้ หรือเราปิดกั้นตัวเองไม่เข้ากับเขากันแน่)
3.หมอว่าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า แต่เราคิดว่าตัวเองเป็น(ดูจากแบบสอบถาม และโปสเตอร์ตรวจสอบอาการต่างๆ)และคิดว่าถ้าทานยาแล้วต้องหายแน่ๆ เราควรเชื่อหมอหรือตัวเองดี
*หมายเหตุ* ข้อความนี้ถูกพิมพ์ช่วงจิตใจไม่ค่อยมั่นคง หากถ้ามาตอบความเห็นแล้วแปลกๆไปจากเดิมอย่างสงสัย เพราะบางครั้งก็จำไม่ได้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่หรือทำอะไรลงไป เพราะอย่างที่บอกไว้ข้างบน พอตื่นมาก็ลืมทุกอย่าง แต่ผ่านไปมาถึงช่วงจิตตกมันก็กลับมาอีก