[ประวัติศาสตร์ที่เคยถูกลืม]
**เรื่องเล็กน้อยของกลุ่มคนในหมู่บ้านก่อให้เกิดความขัดแย้ง 2 ประเทศ**
เมื่อนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำโขงซึ่งสมัยก่อนขึ้นตรงกับจังหวัดแถบลุ่มน้ำโขง ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางแม่น้ำและขุนเขา ดินแดนแห่งอารยธรรมหลายชนชาติสืบเชื้อสายทั้งไทย จีน ลาว ญวน ต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ ผู้เป็นแม่ของข้าพเจ้าซึ่งอายุย่างเข้าเจ็ดสิบปีเป็นผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านที่เกิดขึ้น เมื่อประมาณปี พศ.2526 สมัยที่ข้าพเจ้ายังไม่เกิด แต่นั่นก็ทำให้เป็นความทรงจำที่โหดร้ายสำหรับคนในหมู่บ้านไปแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่า มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงจำนวน 6 คน ได้นัดแนะกันมาเล่นตะกร้อในหมู่บ้าน พอเล่นจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงได้ชวนกันออกไปหาปลาในแม่น้ำโขงเพื่อมาเป็นกับแกล้มเหล้าในตอนเย็น เมื่อทุกคนลงเรือออกไปแล้ว แต่น่าจะเข้าไปในเขตน่านน้ำของทางฝั่งซ้าย(ไม่ขอเอ่ยชื่อประเทศ ทุกคนน่าจะทราบ เพราะคนแถวบ้านเรียกฝั่งซ้าย) แต่เหมือนมีเหตุลางร้ายหรือเพราะความบังเอิญ มีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นเรือจนทุกคนต่างดีใจมาก และจึงจะพากันออกเรือเพื่อกลับฝั่ง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อทหารของทางฝั่งซ้าย ได้มาพบทั้งหมดเข้า จึงแสดงตัวเข้าจับกุมในทันที แม่เล่าให้ฟังว่าทหารขู่พวกเด็กหนุ่มว่าหากขัดขืนหรือขยับตัวจะยิงทิ้งทันที เด็กหนุ่มวัยรุ่นทั้งหมดจึงต้องยอมขึ้นฝั่งและถูกจับกุมไปในที่สุด ทุกคนถูกส่งไปขังในเมืองใหญ่ทางฝั่งซ้าย(ไม่ขอเอ่ยชื่อเมือง)เพื่อเรียกค่าไถ่ ตามภาษาชาวบ้าน หรือถ้าเป็นทางการคือการไปประกันตัวออกมา
ขณะที่ยังถูกจับกุมตัวอยู่นั้น ชาวบ้านในหมู่บ้านรวมทั้งญาติๆของเด็กหนุ่มวัยรุ่นทั้งหมดต่างไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยื่นคำขาดว่าต้องนำตัวเด็กกลับมาเท่านั้น เมื่อเกิดความขัดแย้งและความไม่พอใจเกิดขึ้นฝั่งทางชาวบ้านคนไทย ต่างก็เข้าไปด่าทอ ทำร้ายร่างกายคนฝั่งซ้าย ที่ทำมาหากินริมฝั่งแม่น้ำโขง จนกระทั่งคนในหมู่บ้านคนหนึ่งไปยิงคนหาปลาของทางฝั่งซ้าย เสียชีวิตไป 1 คน จนทางการและญาติฝั่งซ้ายรู้และสร้างความไม่พอใจอย่างมากเหมือนกัน ทางฝั่งซ้ายคิดอุบายอย่างหนึ่งขึ้นมา จึงได้ส่งชายคนหนึ่งที่เคยรู้จักและไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้านเป็นประจำ(แม่บอกว่าชายคนนั้นเป็นญาติของคนในหมู่บ้านด้วย เพราะคนในหมู่บ้านบางส่วนอพยพมาจากฝั่งซ้าย) เพื่อมาลอบฆ่าคนที่ยิงคนหาปลาของทางฝั่งซ้ายเสียชีวิตนั้น และถูกสั่งให้ตัดหัวกลับมาให้เพื่อเป็นการยืนยันด้วย มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มทั้งหมดอาจถูกสังหารหมู่ก็เป็นได้
หลังจากได้รับคำสั่งมาแล้ว ชายที่ถูกส่งมาก็ไม่ได้คุยและปรึกษาใคร จึงไปขอยืมปืนมาจากญาติ พอทางญาติรู้เข้าว่าต้องการฆ่าคนในหมู่บ้าน จึงถูกสั่งห้ามเด็ดขาดเพราะผิดกฏหมายและเป็นอาญาร้ายแรง ชายคนนั้นจึงไม่ได้ลอบฆ่าคนที่ยิงคนหาปลาดังกล่าว ต่อมาทางฝั่งซ้ายรอฟังเสียงปืนเพื่อเป็นสัญญาณว่าปิดบัญชีแค้นเรียบร้อยแล้ว แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่พบเสียงปืนนั้น สุดท้ายแล้วทางฝั่งซ้ายจึงมั่นใจว่าไม่มีการลอบสังหารกันเกิดขึ้น จึงกลับไปฆ่าปิดปากเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ถูกคุมขังไว้ทางฝั่งซ้าย จำนวน 2 คน สร้างความเศร้าสลดให้กับเพื่อนที่ถูกจับมาด้วยกันเป็นอย่างมาก (แม่เล่าว่าบางคนถึงกับไส้ทะลัก)ซ้ำร้ายกว่านั้นเมื่อทั้ง 2 คนเสียชีวิตแล้ว เด็กหนุ่มทั้งหมดก็ถูกบังคับให้แบกศพเพื่อนมาฝังดิน ถูกขู่ไปตลอดทางว่าหากยังร้องไห้ จะฆ่าให้ตายตกไปตามกัน แต่ไม่นานเด็กหนุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นที่รอดชีวิตก็ถูกส่งกลับมายังฝั่งไทยอย่างปลอดภัย
เหตุการณ์ยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังที่เด็กหนุ่มทั้งหมดถูกปล่อยตัวก็เกิดสงครามขยาดย่อมขึ้น ทั้งการยิงปืนขู่ต่างๆนานาทั้งสองฝั่ง จนเรื่องนี้ร้อนไปถึงค่ายทหารในจังหวัดใกล้เคียง แล้วเหล่าทหารกล้าของไทยก็ได้เข้าประจำการริมฝั่งแม่น้ำโขงในหมู่บ้าน เพื่อพิทักษ์ราษฎรและเจรจาความขัดแย้งนั้น แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ได้เกิดการยิงต่อสู้ขึ้นของทั้งสองฝั่งด้วยความขัดแย้งที่ไม่ไรู้จักจบสิ้น การข่มขู่และการเอาชนะ นั่นคือสิ่งที่สงคราม ณ ที่แห่งใดย่อมต้องมีเสมอ เสียงปืนใหญ่ที่น่ากลัวนั้นทำให้ครอบครัวและญาติๆของข้าพเจ้าต้องรีบอพยพไปหมู่บ้านใกล้เคียง แต่แม่พาพี่ๆทั้งหมดของข้าพเจ้าไปพักอาศัยกับญาติที่ต่างอำเภอไปก่อน เหลือเพียงแต่พ่อของข้าพเจ้าที่คอยเฝ้าดูเหตุการณ์และเฝ้าบ้านด้วย ในหมู่บ้านจะมีศาลปู่ตาซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ใจกลางป่าใกล้หมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่เคารพบูชาเหมือนเช่นดังแต่ก่อน แต่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อทางฝั่งซ้ายซึ่งน่าจะยิงลูกระเบิดเข้ามาตกในป่าใกล้ศาลปู่ตา ลูกระเบิดนั้นกลับไม่ระเบิดสักลูก แม่เล่าว่าไม่รู้ว่าสู้รบกันนานเท่าไหร่ แต่ข่าวลือกันมาว่าฝั่งซ้ายหยุดยิงและยอมถอย เพราะเกิดฟ้าผ่าปืนใหญ่ขึ้นมา ความขัดแย้งนั้นจึงได้สงบลงในที่สุด
ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กคนในหมู่บ้านก็เคยเล่าให้ฟังหลายคน แต่ก็ไม่คิดจะใส่ใจ จนกระทั่งข้าพเจ้าคิดว่าโลกและสังคมควรได้รับรู้หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่อาจไม่เคยถูกจารึกถึงความขัดแย้งระหว่างสองประเทศที่เปรียบเป็นดั่งญาติมิตรพี่น้องของพวกเรา ความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยก็ก่อให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันถึงชีวิต สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนมัธยมอยู่ก็เคยเห็นคนในหมู่บ้านถูกจับ เพราะไปหาปลาในน่านน้ำของฝั่งซ้าย จนต้องไปประกันตัวออกมา ตรงกันข้ามกับพี่น้องคนไทยที่เคยช่วยเหลือ ให้ที่พักพิงกับพี่น้องฝั่งซ้ายมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราทั้งหมดก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน ถ้าทุกคนไปมาหาสู่อย่างถูกต้องและไม่ละเมิดกฏซึ่งกันและกัน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าเล่ามาในข้างต้น
**ผิดพลาดประการใด หรือหากพาดพิงในสิ่งที่ไม่ดีกับผู้ใดนั้น ข้าพเจ้าต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย**
ประวัติศาสตร์ที่เคยถูกลืม เมื่อคนในหมู่บ้านเกือบทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศครั้งใหญ่
**เรื่องเล็กน้อยของกลุ่มคนในหมู่บ้านก่อให้เกิดความขัดแย้ง 2 ประเทศ**
เมื่อนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำโขงซึ่งสมัยก่อนขึ้นตรงกับจังหวัดแถบลุ่มน้ำโขง ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางแม่น้ำและขุนเขา ดินแดนแห่งอารยธรรมหลายชนชาติสืบเชื้อสายทั้งไทย จีน ลาว ญวน ต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ ผู้เป็นแม่ของข้าพเจ้าซึ่งอายุย่างเข้าเจ็ดสิบปีเป็นผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านที่เกิดขึ้น เมื่อประมาณปี พศ.2526 สมัยที่ข้าพเจ้ายังไม่เกิด แต่นั่นก็ทำให้เป็นความทรงจำที่โหดร้ายสำหรับคนในหมู่บ้านไปแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่า มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงจำนวน 6 คน ได้นัดแนะกันมาเล่นตะกร้อในหมู่บ้าน พอเล่นจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงได้ชวนกันออกไปหาปลาในแม่น้ำโขงเพื่อมาเป็นกับแกล้มเหล้าในตอนเย็น เมื่อทุกคนลงเรือออกไปแล้ว แต่น่าจะเข้าไปในเขตน่านน้ำของทางฝั่งซ้าย(ไม่ขอเอ่ยชื่อประเทศ ทุกคนน่าจะทราบ เพราะคนแถวบ้านเรียกฝั่งซ้าย) แต่เหมือนมีเหตุลางร้ายหรือเพราะความบังเอิญ มีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นเรือจนทุกคนต่างดีใจมาก และจึงจะพากันออกเรือเพื่อกลับฝั่ง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อทหารของทางฝั่งซ้าย ได้มาพบทั้งหมดเข้า จึงแสดงตัวเข้าจับกุมในทันที แม่เล่าให้ฟังว่าทหารขู่พวกเด็กหนุ่มว่าหากขัดขืนหรือขยับตัวจะยิงทิ้งทันที เด็กหนุ่มวัยรุ่นทั้งหมดจึงต้องยอมขึ้นฝั่งและถูกจับกุมไปในที่สุด ทุกคนถูกส่งไปขังในเมืองใหญ่ทางฝั่งซ้าย(ไม่ขอเอ่ยชื่อเมือง)เพื่อเรียกค่าไถ่ ตามภาษาชาวบ้าน หรือถ้าเป็นทางการคือการไปประกันตัวออกมา
ขณะที่ยังถูกจับกุมตัวอยู่นั้น ชาวบ้านในหมู่บ้านรวมทั้งญาติๆของเด็กหนุ่มวัยรุ่นทั้งหมดต่างไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยื่นคำขาดว่าต้องนำตัวเด็กกลับมาเท่านั้น เมื่อเกิดความขัดแย้งและความไม่พอใจเกิดขึ้นฝั่งทางชาวบ้านคนไทย ต่างก็เข้าไปด่าทอ ทำร้ายร่างกายคนฝั่งซ้าย ที่ทำมาหากินริมฝั่งแม่น้ำโขง จนกระทั่งคนในหมู่บ้านคนหนึ่งไปยิงคนหาปลาของทางฝั่งซ้าย เสียชีวิตไป 1 คน จนทางการและญาติฝั่งซ้ายรู้และสร้างความไม่พอใจอย่างมากเหมือนกัน ทางฝั่งซ้ายคิดอุบายอย่างหนึ่งขึ้นมา จึงได้ส่งชายคนหนึ่งที่เคยรู้จักและไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้านเป็นประจำ(แม่บอกว่าชายคนนั้นเป็นญาติของคนในหมู่บ้านด้วย เพราะคนในหมู่บ้านบางส่วนอพยพมาจากฝั่งซ้าย) เพื่อมาลอบฆ่าคนที่ยิงคนหาปลาของทางฝั่งซ้ายเสียชีวิตนั้น และถูกสั่งให้ตัดหัวกลับมาให้เพื่อเป็นการยืนยันด้วย มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มทั้งหมดอาจถูกสังหารหมู่ก็เป็นได้
หลังจากได้รับคำสั่งมาแล้ว ชายที่ถูกส่งมาก็ไม่ได้คุยและปรึกษาใคร จึงไปขอยืมปืนมาจากญาติ พอทางญาติรู้เข้าว่าต้องการฆ่าคนในหมู่บ้าน จึงถูกสั่งห้ามเด็ดขาดเพราะผิดกฏหมายและเป็นอาญาร้ายแรง ชายคนนั้นจึงไม่ได้ลอบฆ่าคนที่ยิงคนหาปลาดังกล่าว ต่อมาทางฝั่งซ้ายรอฟังเสียงปืนเพื่อเป็นสัญญาณว่าปิดบัญชีแค้นเรียบร้อยแล้ว แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่พบเสียงปืนนั้น สุดท้ายแล้วทางฝั่งซ้ายจึงมั่นใจว่าไม่มีการลอบสังหารกันเกิดขึ้น จึงกลับไปฆ่าปิดปากเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ถูกคุมขังไว้ทางฝั่งซ้าย จำนวน 2 คน สร้างความเศร้าสลดให้กับเพื่อนที่ถูกจับมาด้วยกันเป็นอย่างมาก (แม่เล่าว่าบางคนถึงกับไส้ทะลัก)ซ้ำร้ายกว่านั้นเมื่อทั้ง 2 คนเสียชีวิตแล้ว เด็กหนุ่มทั้งหมดก็ถูกบังคับให้แบกศพเพื่อนมาฝังดิน ถูกขู่ไปตลอดทางว่าหากยังร้องไห้ จะฆ่าให้ตายตกไปตามกัน แต่ไม่นานเด็กหนุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นที่รอดชีวิตก็ถูกส่งกลับมายังฝั่งไทยอย่างปลอดภัย
เหตุการณ์ยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังที่เด็กหนุ่มทั้งหมดถูกปล่อยตัวก็เกิดสงครามขยาดย่อมขึ้น ทั้งการยิงปืนขู่ต่างๆนานาทั้งสองฝั่ง จนเรื่องนี้ร้อนไปถึงค่ายทหารในจังหวัดใกล้เคียง แล้วเหล่าทหารกล้าของไทยก็ได้เข้าประจำการริมฝั่งแม่น้ำโขงในหมู่บ้าน เพื่อพิทักษ์ราษฎรและเจรจาความขัดแย้งนั้น แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ได้เกิดการยิงต่อสู้ขึ้นของทั้งสองฝั่งด้วยความขัดแย้งที่ไม่ไรู้จักจบสิ้น การข่มขู่และการเอาชนะ นั่นคือสิ่งที่สงคราม ณ ที่แห่งใดย่อมต้องมีเสมอ เสียงปืนใหญ่ที่น่ากลัวนั้นทำให้ครอบครัวและญาติๆของข้าพเจ้าต้องรีบอพยพไปหมู่บ้านใกล้เคียง แต่แม่พาพี่ๆทั้งหมดของข้าพเจ้าไปพักอาศัยกับญาติที่ต่างอำเภอไปก่อน เหลือเพียงแต่พ่อของข้าพเจ้าที่คอยเฝ้าดูเหตุการณ์และเฝ้าบ้านด้วย ในหมู่บ้านจะมีศาลปู่ตาซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ใจกลางป่าใกล้หมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่เคารพบูชาเหมือนเช่นดังแต่ก่อน แต่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อทางฝั่งซ้ายซึ่งน่าจะยิงลูกระเบิดเข้ามาตกในป่าใกล้ศาลปู่ตา ลูกระเบิดนั้นกลับไม่ระเบิดสักลูก แม่เล่าว่าไม่รู้ว่าสู้รบกันนานเท่าไหร่ แต่ข่าวลือกันมาว่าฝั่งซ้ายหยุดยิงและยอมถอย เพราะเกิดฟ้าผ่าปืนใหญ่ขึ้นมา ความขัดแย้งนั้นจึงได้สงบลงในที่สุด
ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กคนในหมู่บ้านก็เคยเล่าให้ฟังหลายคน แต่ก็ไม่คิดจะใส่ใจ จนกระทั่งข้าพเจ้าคิดว่าโลกและสังคมควรได้รับรู้หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่อาจไม่เคยถูกจารึกถึงความขัดแย้งระหว่างสองประเทศที่เปรียบเป็นดั่งญาติมิตรพี่น้องของพวกเรา ความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยก็ก่อให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันถึงชีวิต สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนมัธยมอยู่ก็เคยเห็นคนในหมู่บ้านถูกจับ เพราะไปหาปลาในน่านน้ำของฝั่งซ้าย จนต้องไปประกันตัวออกมา ตรงกันข้ามกับพี่น้องคนไทยที่เคยช่วยเหลือ ให้ที่พักพิงกับพี่น้องฝั่งซ้ายมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราทั้งหมดก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน ถ้าทุกคนไปมาหาสู่อย่างถูกต้องและไม่ละเมิดกฏซึ่งกันและกัน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าเล่ามาในข้างต้น
**ผิดพลาดประการใด หรือหากพาดพิงในสิ่งที่ไม่ดีกับผู้ใดนั้น ข้าพเจ้าต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย**