[CR] (Review) Star Wars: The Last Jedi (2017) - การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของ "ความหวัง"

Star Wars: The Last Jedi - สตาร์ วอร์ส: ปัจฉิมบทแห่งเจได

" หักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่คาดคิด จนไม่สามารถคาดเดาได้ "

" I only know one truth: It's time for the Jedi... to end. "

Luke Skywalker


        นี่คงเป็นหนึ่งในหนังที่ทุกคนรอคอยมาเป็นปีและเป็นหนังไฮไลต์อีกเรื่องในปีนี้ ซึ่งบอกเลยว่า " ไม่ผิดหวัง " จากการที่ผมเคยรู้สึกแอบผิดหวังจาก Star Wars: The Force Awakens (2015) มาในครั้งนี้กับ The Last Jedi ผมก็ยังคงแอบหวังว่ามันจะทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของสตาร์วอร์ได้อีกครั้งนับจากยุคไตรภาค 4-6 และครั้งนี้นับว่าไม่ผิดหวังจริงๆ...


        Star Wars: The Last Jedi (2017) ได้รับการกำกับและเขียนบทโดย Rian Johnson ที่เคยมีผลงานดีๆอย่าง Brick (2005) , Looper (2012) (หนังแอ็คชันอีกเรื่องที่ผมชอบมาก) ส่วนผู้ควบคุมหนังก็คือ J.J. Abrams ที่เคยกำกับ The Force Awakens และเคยมีผลงานไซไฟอย่าง Star Trek (2009) สำหรับเรื่องย่อผมไม่ขอเอ่ยละกัน อยากให้ได้ดูกันเองมากกว่า (ย้ำว่าเรื่องนี้ห้ามอ่านสปอยล์หรือโดนสปอยล์ก่อนเด็ดขาด)

พื้นหลังของ Star Wars

       Star Wars คือ หนังมหากาพย์ไซไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการภาพยนตร์โลกของ George Lucas มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสู้กันระหว่างฝั่งผู้รักในเสรีภาพ (กลุ่มกบฏ) และจักรวรรดิที่ครองอำนาจทั่วทั้งจักรวาล ปกครองดาวต่างๆอย่างกดขี่ จักรวรรดิอันชั่วร้ายเคยล่มสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยฝีมือของกลุ่มผู้นำกบฏ Luke Skywalker , Princess Leia และ Han Solo

       แต่แล้วก็มีผู้สานต่อปณิธานของจักรวรรดิโดยการตั้งกลุ่ม First Order ขึ้นมาหมายจะครอบครองจักรวาลอีกครั้ง ซึ่งมี Kylo Ren ผู้สืบทอดปณิธานแห่งซิธ ส่วนฝั่งแสงสว่าง  มีตัวละครหลักนำโดย Rey และ Finn  

การพลิกไปพลิกมาอย่างคาดเดาไม่ได้

       อย่างแรกที่ผมอยากจะชื่นชมคือ "การพลิกไปพลิกมาอย่างคาดเดาไม่ได้" ของเนื้อเรื่อง จุดนี้คือไฮไลต์ที่เจิดจ้าที่สุดในหนัง มันเป็นความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้กับการหักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงขนาดทำให้เราต้องร้อง "ว้าว..โอ้โห" ได้ บางอย่างก็ไม่คิดว่าจะพีคได้แล้ว มันกลับมาพีคได้ยิ่งกว่าเดิม นี่เป็นจุดที่ผมประทับใจมาก

       จุดเด่นสตาร์วอร์สที่ผมว่าทำให้มีแฟนคลับมากมายคือ ความว้าว ของเนื้อเรื่องที่เมื่อได้ดูแล้ว ทำให้เราตื่นตาตื่นใจได้อยู่เสมอ มีอะไรใหม่ๆมานำเสนอผู้ชม นี่เป็นสิ่งที่ผมรอคอยมานาน เพราะแม้ว่าที่ผ่านมาจะมี Rogue One ที่ทำให้ผมว้าวได้กับเส้นทางใหม่ๆของสตาร์วอร์สแต่น่าเสียดายที่ว่า Rouge One ไม่ใช่เนื้อเรื่องกระแสหลัก แต่ในภาคนี้ The Last Jedi ทำจุดนี้ได้เยี่ยม


การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของ "ความหวัง"

       หลายๆส่วนใน Star Wars: The Last Jedi มีการหยิบของหลายอย่างในภาคเก่าๆ มาใช้ทั้งเรื่องราวและอารมณ์ ซึ่งไม่ทำให้รู้สึกจำเจเลย การนำมาใช้ส่วนใหญ่ทำให้อย่างชาญฉลาดและทำให้หนังดูสดใหม่กว่าเดิม ที่สำคัญยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็น Star Wars ภาคไหนก็นิยมหยิบนำมาใช้เสมอ นั่นคือ "ความหวัง" ในภาคที่แล้ว The Force Awakens ผมสัมผัสมันได้แต่ก็เป็นความหวังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว มาในภาคนี้ "ความหวัง" สามารถสร้างพลังให้กับหนังและเป็นแก่นสำคัญที่ขับเคลื่อนทุกตัวละคร ทุกเรื่องราว ถือว่าเป็นหนังที่ชอบเล่นกับความหวังจริงๆ

       "มิติหนัง" เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาและทำให้เรื่องราวทั้งหลายอยู่บนความเป็นจริง หลายอย่างที่เกิดขึ้นมันควรจะเป็นแต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด ตรงกันข้ามอีกหลายอย่างที่คิดว่าไม่ควรเป็นอย่างนั้น มันดันกลับมาเป็นนี่สิ จนบางครั้งดูจะกลายเป็นความขัดแย้งของเนื้อเรื่องที่เราอยากให้เป็น แต่มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราอยากให้เป็นมันแค่อยู่ในความคิด สิ่งเหล่านี้มันดูทำให้หนังอยู่บนฐานความเป็นจริงและลุ่มลึกมากขึ้น

       ผมคิดว่านี่คงต้องยกเครดิตให้กับ Rian เลย เพราะจากที่ผมเคยดู Looper แกมา มันก็ฟีลแบบนี้แหละ ความเป็นจริงบางอย่างอาจไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เป็น (รวมถึงเรื่องหักมุมทั้งหลายด้วย) นอกจากนี้มิติความเป็นมนุษย์ของตัวละครก็ถูกเพิ่มมากขึ้น ไม่ทื่อๆตรงๆ แต่ตัวละครต่างๆดูมีความนึกคิดที่คล้ายมนุษย์จริงๆมากกว่าเดิม เทาๆ แต่ละคนมีเหตุผลในการกระทำของตนตามวิถีที่ตัวเองคิดว่าถูก


ภาพรวมหนัง

       Star Wars: The Last Jedi ใส่มาครบทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะตลก เคร่งเครียด เศร้า หดหู่ ฉากรบต่อสู้จุใจ หลายๆฉากมันส์ระทึกสะใจมาก แต่เมื่อถึงอารมณ์เศร้าก็สร้างความสะเทือนใจได้อย่างดี เรียกได้ว่าทำได้ค่อนข้างสมบูรณ์และสามารถดูได้ทุกวัย ไม่เอนเอียงไปหากลุ่มหนังสายใดสายหนึ่ง การกระจายบทถือว่าทำได้ดี ภาคนี้มีตัวละครเยอะ แต่ดูมีบทบาททุกคน การดำเนินเรื่องก็สนุก ช่วงแรกอาจจะเรียบไปบ้าง แต่ครึ่งหลังก็ทำได้พีคทะลุจอ (ตอนดูช่วงครึ่งแรกผมก็ลุ้นนะว่าหนังจะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ได้หรือเปล่า แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ)

       ในด้านโปรดักชันก็สวยงาม อลังการภาษาสตาร์วอร์ส มีหลายช็อตที่องค์ประกอบศิลป์สวยงาม
       [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

       ส่วนดนตรีประกอบภาพยนตร์ได้รับการประพันธ์โดย John Williams เจ้าเก่า ยังคงอลังการ งดงาม ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมและเสริมอารมณ์ให้กับหนังได้ดี (ธีมเพลงสตาร์วอร์สนี่มันเป็นอะไรที่ติดหูจริงๆ 555)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

John Williams - Main Title and Escape

นักแสดง - การแสดงที่ดีที่สุดของ Mark Hamill

       ในส่วนนักแสดงที่ต้องบอกเลยว่าชอบที่สุดคือ การแสดงของ Mark Hamill (Luke Skywalker) คือตั้งแต่ดูแกแสดงมาในไตรภาค 4-6 มาจนถึงภาคนี้ ขอยกให้ว่า นี่เป็นการแสดงที่ดีที่สุดของ Mark Hamill เหมือนเฮียแกได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอย่างยาวนาน ดังนั้นทั้งแววตา สีหน้า ความหม่นหมองบนรอยเหี่ยวย่นตามใบหน้า มันทำให้รู้สึกว่า แกนี่แหละคือคนที่ผ่านประสบการณ์มาตัวจริงๆ ไม่ว่าจะตั้งแต่ยุคจักรวรรดิก่อน มาจนถึงปัจจุบัน ชีวิตแกผ่านมาหมดแล้ว ถือว่าแสดงได้เยี่ยมจริงๆ

       อีกคนที่เรียกว่าเด่นจนแย่งซีนคนอื่นคือ Laura Dern (Vice Admiral Amilyn Holdo) แสดงได้เยี่ยมมากและบทตัวละครก็ส่งจนโดดเด่นแม้ว่าจะไม่ได้รับบทให้ออกมามากนัก Laura Dern ถือเป็นนักแสดงคุณภาพที่เคยแสดงจนเข้าชิงออสการ์และลูกโลกทองคำมาแล้วหลายเรื่อง

       ส่วนบทที่ผมชอบในพัฒนาการของตัวละครก็มี คนแรก Kylo Ren (Adam Driver) บทหนังทำให้ตัวละครนี้มีความลึกมากขึ้น คนที่สอง Poe Dameron (Oscar Isaac) เพิ่มบทบาทให้แก่ตัวละครนี้โดดเด่นยิ่งขึ้น คนที่สาม Finn (John Boyega) อันนี้ชอบในลูกบ้าดี เคยบ้าแบบไหน ก็สามาถบ้าระห่ำได้ยิ่งขึ้นไปอีก ในภาคนี้มีนักแสดงเชื้อสายเอเชียที่ได้รับบทค่อนข้างมากในเรื่องด้วย Rose (Kelly Marie Tran)


ข้อเสีย
       ตามที่กล่าวมา ใช่ว่าข้อเสียจะไม่มี ส่วนตัวผมคิดว่า ความรู้สึกหนังในช่วงครึ่งแรก ทำได้ค่อนข้างจะเรียบ (ซับพล็อตที่ไม่สำคัญเยอะจนเยิ่นเย้อ) ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งหลังของหลังจะพบว่าต่างกันอย่างชัดเจนเลย แต่ในจุดนี้อาจจะมองว่าครึ่งแรกหนังแค่ปูเรื่องก็ได้ เพียงแต่ผมว่าสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้
       [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

       อย่างที่สองคือ ฉากตลกหากลดกว่านี้ได้จะทำให้เข้ากับอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น บางครั้งก็รู้สึกว่าโทนของสตาร์วอร์ไม่น่าจะออกทางมุกตลกได้ขนาดนี้ (แต่หลายช็อตก็โอเคนะ) จุดนี้ผมยอมรับว่าผมอาจจะติดภาพสตาร์วอร์สมาจากไตรภาคก่อนๆ การใส่ฉากตลกมันมีข้อดีคือ มันช่วยให้หนังดู Friendly กับผู้ชมมากขึ้น ทำให้ฐานผู้ชมกว้างขึ้นได้ แต่ผมคิดว่ามุกตลกที่ใส่ถ้าเนียนกว่านี้ได้จะดีมาก เช่นอาจจะเป็นตลกร้ายหรือตลกแบบแซมๆเล็กน้อยก็เพียงพอ

       [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

สรุป
       สำหรับผม Star Wars: The Last Jedi (2017) ผมให้คะแนนโดยรวม 8.5/10 (ความสนุกเอาไป 9.5/10 เป็นการหักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่คาดคิดจนไม่สมารถคาดเดาได้)

       Star Wars: The Last Jedi ถือเป็นภาคที่ผมว่าสนุกมากๆ ชนิดว่าตัดจบในภาคนี้เลยก็ยังได้และรู้สึกดูดีกว่า The Force Awakens มาก เป็นหนังที่ทำได้ยอดเยี่ยมในสายหนังฮอลลีวูด สามารถดูได้ทุกกลุ่ม คนธรรมดาดูแบบสนุกก็ดูได้ ถ้าดูแบบนักวิจารณ์ที่ต้องการความแปลกใหม่ในหนังก็ตอบโจทย์เช่นเดียวกัน สำหรับผู้กำกับ Rian Johnson ผมว่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและช่วยยกระดับมาตรฐานสตาร์วอร์สให้สูงขึ้นไปอีก เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้แก่สตาร์วอร์สอย่างที่ทุกคนใฝ่ฝัน (เหมือนว่าภาคหน้าแกจะไม่ได้กำกับแล้ว กลับมาเป็น J.J. Abrams ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้เยี่ยมเท่านี้อีกหรือเปล่า)

       หลังจากที่ได้ดูจบ ผมก็มีความรู้สึกบางอย่างกำลังบอกว่า หนังกำลังจะก้าวข้ามผ่านภาพ Star Wars แบบเดิม ไปสู่เส้นทางใหม่ที่ไม่เคยเหยียบย้ำไปก่อน... เราคงจะสัมผัสความยิ่งใหญ่แบบนี้ไม่ได้หากไม่ได้เข้าชม The Last Jedi ก็แนะนำอยากให้ได้ดูกันนะครับ หนังคุณภาพมากสมการรอคอย และที่สำคัญเรื่องนี้ห้ามรู้สปอยล์ก่อนเด็ดขาด ไม่งั้นเสียอรรถรสแน่

8.5/10


----------------------------------------------------------------------

ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน


ชื่อสินค้า:   Star Wars: The Last Jedi (2017)
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่