[SPOILS] ‘The Last Jedi’ ไม่แคร์ว่าคุณจะคิดยังไงกับ ‘Star Wars’ – และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงออกมาดี

บทความนี้แปลเอานะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัย
เครดิต: ‘The Last Jedi’ Doesn’t Care What You Think About ‘Star Wars’ – And That’s Why It’s Great
http://www.slashfilm.com/the-last-jedi-defense/2/

“This is not going to go the way you think.” – Luke Skywalker
         “มันจะไม่เป็นอย่างที่คุณคิดหรอก”


จากผลงาน Star Wars: The Force Awakens ผู้กำกับ J.J. Abrams พยายามที่จะปลุกปั้นและฟื้นคืนชีพเฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ และคงไว้ซึ่งคุณภาพสำหรับเจเนเรชั่นใหม่ The Force Awakens ค่อนข้างกังวลว่าแฟนตัวยงของสตาร์วอส์หรือผู้ที่ชื่นชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจจะคิดอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นทำให้ The Force Awakens ไม่ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก และตัวหนังก็นำเสนอทำออกมาได้ดี

ตัดภาพมาที่ Star Wars: The Last Jedi ของผู้กำกับ Rian Johnson ที่เหมือนจะต้องการพังทลายกำแพงของสตาร์วอร์สลงมา ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดมัน แต่เป็นเพราะว่าเขารักมัน เขารักมันมากๆจนเขาต้องการที่จะพังกำแพงเดิมๆลงมา แล้วสร้างอะไรที่สดใหม่และให้มันได้เติบโต The Last Jedi ไม่กังวลว่าแฟนตัวยงหรือคนที่ดูหนังเป็นชีวิตจิตใจจะคิดยังไงกับมัน หนังต้องการที่จะท้าทายอำนาจมืดของแฟนๆ และให้ผู้รับชมเกิดคำถามขึ้นในหัวว่าสตาร์วอร์คืออะไร และมันสามารถเป็นอะไรได้บ้าง

(ต่อไปนี้จะมีเนื้อหาสปอยล์นะครับ)


คำตอบของคำถามที่เว้นช่องว่างไว้

จากตอนจบของ The Force Awakens จบด้วยการที่ทิ้งปมเอาไว้ให้ได้คิดกัน เรย์ผู้ที่ใหม่กับการที่จะต้องเรียนรู้ฟอร์ซได้เดินทางไปถึงดาว Ahch-To และตามหาปรมาจารย์เจไดอย่าง ลุค สกายวอล์คเกอร์ และได้ยื่นไลท์เซเบอร์ให้กับเขา หน้าของลุคเต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกมากมาย และหนังก็ได้ตัดจบไป และต้องรอคอยกันถึง 2 ปี มันเป็นฉากที่ดีและเป็นฉากที่เพอร์เฟ็ค เพราะเป็นฉากที่นำพามาซึ่งคำถามและปริศนามากมาย

และเราก็ได้ไปเยือนฉากนั้นใหม่ใน Star Wars: The Last Jedi ลุคได้รับไลซ์เซเบอร์จากเรย์ มองดูมันแค่เซี้ยววินาที และโยนมันทิ้งไปซะงั้น และฉากเปิดนั้นทำให้เรารู้ว่า The Last Jedi จะยืนอยู่จุดๆไหน ความคิดต่างๆนาๆที่เคยคิดมากจะผิดไปโดยปริยาย สัญลักษณ์ที่คุณเคยยึดติดกับมัน สัญลักษณ์ที่ J.J. Abrams ได้วางไว้ อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป ถ้านั่นทำให้คุณโกรธ นั่นคือการที่ Rian Johnson กำลังเตรียมการให้คุณรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาในภายหน้า Abrams ได้วางปมไว้อย่างดี และมันควรจะมีไปตามนั้น แต่ Johnson ดันดริ๊ฟท์เลี้ยวหลบมันไปซะอย่างนั้นและมุ่งหน้าไปทางอีกทางอย่างสิ้นเชิง

ถึงตอนนั้นเราอาจจะได้รับรู้แล้วว่าสตาร์วอร์สได้เปลี่ยนเส้นทางใหม่แล้ว คุณอาจจะเป็นผู้ร่วมเดินทางไปด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่จุดหมายนั้นคือจุดที่ Rian Johnson ได้วางไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง


สายเลือดตำนาน

Mark Hamill ไม่เห็นด้วยอย่างมาก กับการที่ Johnson ได้วางเส้นทางใหม่ให้กับ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ในตอนแรกที่เขาได้อ่านบทของ The Last Jedi และมันก็ชัดว่าทำไม ลุค เด็กชาวไร่ที่ภายหลังได้มาเป็นฮีโร่ของสงคราม ที่ได้ให้ความหวัง และช่วยให้พ่อของเขาพ้นจากอำนาจมืด ดันกลายเป็นความน่าผิดหวังไปซะอย่างนั้น ต่างจาก ฮาน โซโล ใน The Force Awakens ที่ได้เดินทางสายเดิม The Last Jedi ได้ให้กำเหนิด ลุค สกายวอล์คเกอร์ ที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน ชายผู้หวาดกลัวหวาดระแวงและเชื่อว่าทุกอย่างที่สู้และได้รับมามีแต่ความล้มเหลว และได้บอกกับเรย์ว่าทั้งหมดนี้มันไม่สำคัญหรอกเพราะเขาเชื่อว่าสุดท้ายมันก็คือความล้มเหลว และเขาได้บอกสิ่งเดียวกันให้กับผู้รับชม สิ่งของที่พวกคุณรัก และสิ่งต่างๆที่คุณเชื่อ มันคือความไม่มั่นคง หรือมันคือความพินาท มันคือความเชื่อที่บกพร่อง

เรื่องราวได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ไม่มีการที่คนนึงๆที่เกิดมาเพื่อจะเป็นเจได ได้ตามหาและพบเจอปรมาจารย์ และได้รับการฝึกและสอนให้เชื่อมั่นในความหวัง นี่คือเรื่องราวที่มีชายแก่ผ่านอะไรมาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นชัยชนะหรือความล้มเหลวและบอกกล่าวต่อให้กับผู้มีพลังรุ่นใหม่ๆ มันชัดเจนแล้วว่าหนทางเก่าๆนั้นมันไม่ใช่หนทางสำเร็จ เพราะความมืดก็ได้กลับมาอีกครั้งและครอบงำชายหนุ่มที่พยายามจะเป็นดาร์ธเวเดอร์คนใหม่ มันมีความผิดพลาดหลายประการในระบบเจไดทั้งหลาย ที่ฝังลึกจนเกินกว่าจะมองเห็น ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการเผาทำลายทิ้งไปให้หมดเรื่อง

The Last Jedi ยังยึดมั่นในทางที่เลือก ในขณะที่ ลุค สกายวอล์คเกอร์ พยายามที่จะเผาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เก็บคัมภีร์คู่มือหนังสือคำสอนของเจได แต่เขายังไม่ทันได้ทำลายมัน กลับกลายเป็นว่าโยดาผู้เป็นอาจารย์ของเขามาเมื่อนานมาแล้ว เสกฟ้าให้ผ่าต้นไม้เสียเองซะอย่างนั้น โยดาผู้นี้คือโยดาที่เราเคยได้เจอใน The Empire Strikes Back ผู้ที่มีความแปลกประหลาด เขลา เฉลียวฉลาด และสุขุมนุ่มลึกไปพร้อมๆกัน เป็นเหมือนชายชราที่แหลกประหลาดและได้รับพลังจากการที่แค่ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลาของมัน

โยดาผู้นี้ก็รู้ว่าลุครู้ ว่าภารกิจที่เขาทุ่มเททั้งชีวิตให้ มันไม่มีอีกแล้ว และการที่เขาพยายามที่จะนำวิถีเจไดเก่ามาใช้ ทำไมต้องนำวิถีนั้นๆมันใช้กับผู้มีพลังรุ่นใหม่ทั้งๆที่มันไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป ในเมื่อคุณสามารถที่จะปล่อยให้ผู้มีพลังรุ่นใหม่หรือคนรุ่นใหม่ๆสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมาด้วยตัวพวกเขาเอง แม้แต่ลุค ผู้ที่เชื่อในความดีที่หลงเหลืออยู่ของผู้เป็นพ่ออย่างดาร์ธเวเดอร์ ยังหวาดกลัวในความมืดจนต้องพยายามฆ่าผู้เป็นหลานอย่าง เบน โซโล หนทางเก่าๆได้ทำให้ลุคล้มเหลว และทำให้ เบน ต้องผิดหวัง และมันจะทำให้ฝ่ายต่อต้านล้มเหลวด้วยเช่นกัน ลุคเรียนรู้ทั้งหมดนี้จากความโกรธและความผิดพลาด โยดาเรียนรู้ทั้งหมดนี้จากภูมิปัญญาและการมองการไกล

มันสำคัญที่ผู้กำกับอย่าง Johnson ต้องให้โยดาเป็นคนเผาตำราทั้งหมดนั่นไม่ใช่ลุค เปลวไฟของคบเพลิงที่ดับไป ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวของชายแก่ที่เรียนรู้อะไรมากมากมาย แต่มันมากับคำสั่งสอนของชายผู้เฉลียวฉลาดที่สุดของตัวละครในสตาร์ วอร์ส ลุครู้ว่าเจได้ต้องหมดสิ้นไป ลุคเห็นความสิ้นหวังของเจได แต่โยดามองถึงการกำเหนิดใหม่ ในขณะที่ผู้กับกำ J.J. Abrams เห็นถึงความอบอุ่นที่จำทำให้คุณรู้สึกดี Rian Johnson กลับเห็นถึงความพินาศของทุกสิ่ง กดปุ่มรีเซ็ต พังทุกสิ่ง และนำไปสู่การปฏิวัติ จาก 40 ปีที่ผ่านมาที่ใช้ไอเดียเดิมๆ คราวนี้อาจจะต้องเกิดการปฏิวัติ

การปฏิวัติครั้งนี้อาจจะมาถูกที่ถูกเวลาพอดี ในขณะที่แฟนๆทั้งหลายได้พูดคุย "ลุคอาจจะทำอย่างนั้น อาจจะทำอย่างนี้" และการโต้วาทีไม่อาจจบสิ้น แต่เราอาจจะควรมามองดูว่า The Last Jedi จะสื่ออะไรให้กับเรา บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีถ้าเราคิดว่าไอดอลเหรือฮีโร่ที่เราเทิดทูญบูชา และพยายามบอกกับตัวเองว่าพวกเขาจะไม่ทำสิ่งแย่ๆเหล่านั้น และพวกเขาไม่เคยทำผิดพลาด และไม่เคยสร้างปีศาจที่บ่อนทำลายทำให้คนยุคใหม่ต้องหวาดระแวง Johnson ส่งลุคไปให้สุด ด้วยการที่ส่งเขาไปประเชิญหน้ากับหลานชายในศึกที่บ้าระห่ำเยี่ยงฮีโร่ แต่ถึงอย่างไร ก็อย่าลืมว่า เขาก็ทำผิดพลาดมาเหมือนกัน


ทำลายเพดานความคาดหวัง

มันง่ายที่จะจินตนาการภาพของ Rian Johnson กำลังนั่งดู The Force  Awakens อย่างตื่นเต้นและลุ้นระทึก และมันก็ง่ายเช่นกันที่จินตนาการภาพของ Rian Johnson กำลังนั่งดู The Force  Awakens และคิดว่า "ท่านผู้นำสโน้คไม่เห็นจะมีความน่าเกรงขามอะไรมากมาย บางทีฉันควรจะทำอะไรบางอย่าง"
ในขณะที่เป็นตัวร้ายที่ใหญ่ที่สุดและผู้บงการทุกอย่าง ท่านผู้นำสโน้คไม่ค่อยจะมีอะไรเด่นนักในทั้ง 2 ภาค และก็ยังเป็นผู้นำที่ต้องการจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลกาแลคซี่ที่เราเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในสตาร์ วอร์สภาคก่อนๆ หรือไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องอื่น มันค่อนข้างจะจืดชืด เมื่อไปเทียบกับชายหนุ่งผู้กราดเกลี้ยว ผู้มีความบงพร่อง และมีพลังอย่างเบน โซโล หรือที่เรารู้จักกันในนามไคโร เรน ที่ได้ถ่ายทอดความรุนแรงและความเจ็บปวดรวดร้าวที่แสดงโดย Adam Driver

แต่ The Last Jedi รู้ว่าเราคาดหวังอะไร หนังรู้ว่าเราคิดว่าสโน้คจะยังคงอยู่ไปจนถึงภาคต่อไปและเบนจะหาทางล้างแค้น หนังโฟกัสที่ความขัดแย้งภายในจิตใจของเบน ในขณะที่หนังโชว์พลังของท่านผู้นำสโน้ค ในขณะที่ลูกชายของฮาน โซโลได้กลายเป็นความน่าสมเพช สโน้คกลับกลายเป็นพระเจ้า เปิดเผยพลังแห้งฟอร์ซที่ทำให้เขาโยนคนไปมาในห้องของเค้าได้ The Last Jedi ทำให้ไคโร เรนอ่อนแอลงและจับต้องได้ ในขณะที่ท่านผู้นำสโน้คเป็นผู้ที่ใครก็ไม่สามารถหยุดเขาได้

และใช่ การตายของสโน้คคือการพลิกแพลงและทำออกมาได้งดงาม ความเหลิงในพลังของสโน้คได้กลับเข้าหาตัวเขาเอง การใช้ฟอร์ซเพียงแค่เพียงนิดเดียวของเบน โซโลและนั่นทำให้ไลท์เซเบอร์ของลุคเปิดขึ้นมาทันที ตัดท่านผู้นำขาดเป็น 2 ท่อน จบชีวิตของเขาเร็วกว่าที่เราคิด มันเป็นความช็อค และมันน่าขำ และทำให้แฟนๆทั้งหลายเกรี้ยวโกรธหลังจาก 2 ปีที่ผ่านมาที่พยายามหาว่าสโน้คเป็นใคร The Last Jedi ไม่สนใจว่าสโน้คจะเป็นใครมาจากไหนและมันก็บอกโต้งๆตรงนั้นเลย ทฤษฎีของสโน้คไม่มีความหมายเพราะสโน้คไม่เคยมีความหมาย

ทั้งหมดนี้แสดงให้ถึงการให้ความสำคัญของเบน โซโลมากกว่าสโน้คของผู้กำกับ แต่มันก็แสดงให้ถึงไอเดียที่เจ๋งกว่าใน The Last Jedi ลุค สกายวอล์คเกอร์ ที่เคยเป็นเจไดที่ยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ชายชราคนหนึ่ง สโน้ค ผู้ที่เป็นเป็นใหญ่บงการทุกอย่าง แต่สุดท้าย ก็เป็นแค่ชายชราบ้าคนหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลยว่าเป็นใครมาจากไหน และถูกหักหลังโดยศิษย์ ในจักรวาลที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกัน ที่เราคาดหวังกับความหมายที่ดีเลิศกับความจริงที่น่าลึกซึ้ง กลายเป็นเราโดนต่อยไปที่ท้องจนทำให้จุก ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะเชื่อมต่อกัน คนที่มีพลังมหาศาลก็สามารถล่มสลายได้ และมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น

สโน้คอาจจะสำคัญมาก่อน กับใครสักคน แต่ตอนนี้ไม่มีสโน้คอีกต่อไป ลุค สกายวอล์คเกอร์มีความหมายกับทั้งกาแลคซี่ แต่เวลาของเขาได้หมดลงแล้ว อนาคตได้ส่งต่อจากอาจารย์ผู้จากไป และส่งต่อไปให้กับ ไคโร เรน และ เรย์ ที่สู้เพื่อสิ่งเดียวกันแต่ไปกันคนละทิศคนละทาง โอกาศที่จะสร้างอนาคตของคนรุ่นเก่าได้พังลงไป ทางเลือกของผู้กำกับ Johnson ที่เลือกจะให้เราได้เห็นเบน โซโลลึกลงไปอีก ถึงกับยอมให้เขาได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเรย์ในฉากที่ทำออกมาได้งดงามตื่นเต้นและน่าสะพรึง การทำให้เขาไม่สามารถกลับมาสู่ด้านสว่างได้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพียงแค่การที่ดาร์ธ เวเดอร์สุดท้ายกลับมาสู่ด้านสว่างได้ไม่ได้แปลว่าหลานชายของเขาจะสามารถกลับมาได้ และจุดประสงค์และแรงผลักดันของตัวร้ายใหม่นี้มันเมคเซนส์มากๆเลยใช่ไหมล่ะ นั่นทำให้เป็นปัญหาต่อคนดูอย่างเราเท่าๆกับที่มันเป็นปัญหาต่อเรย์


ช่วยสิ่งที่คุณรัก

ถ้าเกิดว่าการตายของสโน้คคือฟองสบู่ที่แตกของ The Last Jedi การเปิดเผยตัวตนพ่อแม่ของเนย์นั้นยิ่งกว่า The Last Jedi คือหนังเกี่ยวกับความผิดหวังอย่างแท้ทรู ฮีโร่ที่แตกสลาย พันธมิตรที่ต้องทำให้ผิดหวัง และพ่อแม่ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เป็นปริศนาที่พยายามตามหามาทั้งชีวิต ที่ไม่ใช่สกายวอล์คเกอร์ โซโล หรือ เคนโนบี เป็นเพียงแค่พวกที่ขายลูกตัวเองทิ้งเพื่อแลกกับการที่จะอยู่รอดต่อไป ถ้านามสกุลของคุณคือ สกายวอล์คเกอร์ โชคชะตาของคุณคือความยิ่งใหญ่ แต่ถ้าชื่อคุณคือเรย์ล่ะ แค่เรย์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่