อย่างที่หลายๆคนได้ชื่นชมกันกับหนังสุดคลาสสิคเรื่องนี้ที่ทั้งกำกับภาพได้สวยงาม และดนตรีที่เข้ากับฉาก ไพเราะ และหลากรสชาติหลากอารมณ์ระดับไร้ที่ติ กับดราม่าชีวิตของชายผู้ที่เคยยิ่งใหญ่ ผ่านชีวิตโลดโผนมามากมาย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่สังเกตกันหรือไม่ได้ฉุดใจประเด็นนี้คือ ความโปรคอมมิวนิสม์ของผู้กำกับ Bernado Burtolucci ที่ตัวเองนั้นเดิมก็เป็นฝ่ายซ้ายอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว
จากฉากต่างๆที่ผ่านการกำกับภาพมาอย่างดี ไม่ว่าในวังที่เต็มไปด้วยสีสันแต่ให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง โลกภายนอกที่อึมครึม โศกเศร้า อึดอัดและไม่น่าไว้วางใจ
แต่ที่แปลกคือ ฉากในคุกที่ควรจะดูดุดันกลับให้ความรู้สึกว่าสงบและปลอดภัยอย่างที่ไม่ควรจะเป็นเหมือนพยายามจะสื่อว่า คอมมิวนิสม์จีนไม่ได้พยายามจะเอาผิดใครแต่พยายามจะเปลี่ยนคน
ฉากปูยีที่กลายเป็นประชาขนธรรมดาในรัฐคอมมิวนิสม์จีน กลับให้ความรู้สึกถึงความเรียบง่ายแต่มีอิสระกว่าตอนตัวเองอยู่ในระบอบเก่า หรือในสาธารณรัฐของเจียงไคเช็คเสียอีก
กระทั่งฉากที่ทุกคนกล่าวถึง อย่างตอนจบที่ปูยี อดีตจักรพรรดิแก่ ยื่นขวดใส่จักจั่นให้กับเด็กน้อยเรดการ์ด หลายคนตีความว่าจิ้งหรีดคือจักรพรรดิที่ถูกปลดปล่อยจากกรงทอง
แต่พอมาดูอีกที กับย้อนประวัติศาสตร์จีน ที่ประชาชนเปรียบเสมือนสมบัติหนึ่งของจักรพรรดิแล้ว นี่ทำให้มองได้อีกมุมนึงคือ ผู้กำกับกำลังจะสื่อว่า ปูยี จักรพรรดิแก่ที่เป็นตัวแทนของระบอบกษัตริย์หรือระบอบเก่าแก่ทั้งหลายที่ถึงกาลหมดพลังกำลังจะแตกดับ ต้องยินดียอมส่งสมบัติ(ไพร่ฟ้าประชาชน) ที่ตนเอาซุกไว้อย่างทิ้งขว้างขังไว้มิดชิดมานาน ให้กับระบอบใหม่อย่างคอมมิวนิสม์ (เด็กเรดการ์ด) สุดท้ายระบอบใหม่ก็เป็นผู้ปลดปล่อยประชาชนให้เป็นอิสระในที่สุดหลังถูกขังมาเนิ่นนาน
ไม่แปลกใจเลยทำไมรัฐบาลจีนยุคนั้นพอใจเรื่องนี้นักหนาขนาดให้ยืมวังต้องห้ามกับกองทัพเพื่อถ่ายทำเรื่องนี้
ผมว่า The Last Emperor นี่เป็นหนังที่แฝงสัญลักษณ์การโปรคอมมิวนิสม์ของผู้กำกับได้อย่างลึกซึ้งนะ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่สังเกตกันหรือไม่ได้ฉุดใจประเด็นนี้คือ ความโปรคอมมิวนิสม์ของผู้กำกับ Bernado Burtolucci ที่ตัวเองนั้นเดิมก็เป็นฝ่ายซ้ายอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว
จากฉากต่างๆที่ผ่านการกำกับภาพมาอย่างดี ไม่ว่าในวังที่เต็มไปด้วยสีสันแต่ให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง โลกภายนอกที่อึมครึม โศกเศร้า อึดอัดและไม่น่าไว้วางใจ
แต่ที่แปลกคือ ฉากในคุกที่ควรจะดูดุดันกลับให้ความรู้สึกว่าสงบและปลอดภัยอย่างที่ไม่ควรจะเป็นเหมือนพยายามจะสื่อว่า คอมมิวนิสม์จีนไม่ได้พยายามจะเอาผิดใครแต่พยายามจะเปลี่ยนคน
ฉากปูยีที่กลายเป็นประชาขนธรรมดาในรัฐคอมมิวนิสม์จีน กลับให้ความรู้สึกถึงความเรียบง่ายแต่มีอิสระกว่าตอนตัวเองอยู่ในระบอบเก่า หรือในสาธารณรัฐของเจียงไคเช็คเสียอีก
กระทั่งฉากที่ทุกคนกล่าวถึง อย่างตอนจบที่ปูยี อดีตจักรพรรดิแก่ ยื่นขวดใส่จักจั่นให้กับเด็กน้อยเรดการ์ด หลายคนตีความว่าจิ้งหรีดคือจักรพรรดิที่ถูกปลดปล่อยจากกรงทอง
แต่พอมาดูอีกที กับย้อนประวัติศาสตร์จีน ที่ประชาชนเปรียบเสมือนสมบัติหนึ่งของจักรพรรดิแล้ว นี่ทำให้มองได้อีกมุมนึงคือ ผู้กำกับกำลังจะสื่อว่า ปูยี จักรพรรดิแก่ที่เป็นตัวแทนของระบอบกษัตริย์หรือระบอบเก่าแก่ทั้งหลายที่ถึงกาลหมดพลังกำลังจะแตกดับ ต้องยินดียอมส่งสมบัติ(ไพร่ฟ้าประชาชน) ที่ตนเอาซุกไว้อย่างทิ้งขว้างขังไว้มิดชิดมานาน ให้กับระบอบใหม่อย่างคอมมิวนิสม์ (เด็กเรดการ์ด) สุดท้ายระบอบใหม่ก็เป็นผู้ปลดปล่อยประชาชนให้เป็นอิสระในที่สุดหลังถูกขังมาเนิ่นนาน
ไม่แปลกใจเลยทำไมรัฐบาลจีนยุคนั้นพอใจเรื่องนี้นักหนาขนาดให้ยืมวังต้องห้ามกับกองทัพเพื่อถ่ายทำเรื่องนี้