ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ วันอาทิตย์ ผม
MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการ อีก 1 วันครับ
วันนี้ นำเรื่องราวของ "ปูยี" จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน มาฝากครับ
จักรพรรดิ์ปูยี ทรงมีพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1906 (พ.ศ. 2449) มีพระนามเต็มว่า
อ้ายซิน เจี๋ยหลอ ปูยี เป็นจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ชาวแมนจูองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ชิง และองค์สุดท้ายของจีน พระมารดาของปูยีคือ ยู่หลาน ปูยี มีพระอนุชานามว่า ปูเจี๋ย การที่พระนางซูสีไทเฮาแต่งตั้งให้ปูยีเป็นจักรพรรดิทั้งๆ ที่ปูยียังมีอายุไม่ถึง 3 ขวบปี เพราะพระนางเล็งเห็นว่า ต่อไปจะสามารถควบคุมและแทรกแซงได้ง่าย และพระนางก็คิดว่า ตนเองก็คงจะดำรงพระราชอำนาจได้อีกยาวนาน แต่หลังจากที่สถาปนาปูยีขึ้นครองบัลลังก์มังกรได้ไม่นาน พระนางก็ต้องสวรรคตไปเสียก่อน
จักรพรรดิ์ปูยี ทรงมีสายพระเนตรสั้น ทอดพระเนตรอะไรไม่ชัด เรจินัลด์ จอห์นสตัน พระอาจารย์ชาวสก็อตแลนด์ กราบทูลให้ทรงฉลองพระเนตร โดยสั่งให้ช่างหลวงตัดทูลกล้าฯ ถวาย ซึ่งตามกฎในราชสำนักจีน ยังไม่เคยมีฮ่องเต้พระองค์ใดฉลองพระเนตรเลยสักองค์เดียว ดังนั้น พระองค์จึงเป็นฮ่องเต้พระองค์แรกและพระองค์สุดท้ายของจีนที่ทรงฉลองพระเนตร
ฉลองพระเนตรขององค์จักรพรรดิ์ปูยีตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์
ปูยีต้องประทับอยู่ในพระราชวังต้องห้าม ซึ่งสามัญชนไม่อาจย่างเท้าเข้าไปได้ อันล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูง ตั้งอยู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่งสร้างโดยราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1949 - 1963) ประกอบด้วยพระราชวังในยุคหมิงและชิง รวม 24 หลัง ที่ตบแต่งไปด้วยระเบียงหินอ่อน พระราชอุทยาน และศาสนสถาน ในเนื้อที่กว่า 600 ไร่ อดีตฮ่องเต้ปูยี ต้องใช้ชีวิตอยู่ในรั้วพระราชวังแห่งนี้แต่เพียงลำพังพระองค์กับคณะขันทีเท่านั้น ด้วยมีการจำกัดสิทธิในการสนองพระโอษฐ์ จนกระทั่งพระชนมายุได้ 7 พรรษา จึงทรงได้รับอนุญาตให้พบกับครอบครัวของพระองค์ คนที่สามารถติดตามพระองค์ได้ คือพระพี่เลี้ยง ปูยีต้องพรากจากพระมารดาโดยที่ไม่ได้พบหน้ากันนานถึง 6 ปี จนกระทั่งเมื่อตอนอายุได้ 10 ปี ปูยีน้อย ถูกปฏิบัติดั่งเป็นเทพเจ้า เพราะชาวจีนถือว่าฮ่องเต้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ดังนั้นปูยีจึงไม่สามารถแสดงออกได้แบบเด็กๆ ธรรมดาทั่วไป ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ปูยี ยกเว้นพระพี่เลี้ยง ล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้า ไม่อาจเข้ามาอยู่ใกล้ชิดได้ และไม่อาจมาบังคับกะเกณฑ์องค์จักรพรรดิน้อยปูยีได้ เวลาปูยีเสด็จไปไหน บรรดาองครักษ์ต้องคุกเข่าก้มหน้า ห้ามมิให้สบตากับจักรพรรดิ แม้กระทั่งพระบิดาก็ต้องคุกเข่าให้กับปูยีบุตรชายของตนเองและไม่ค่อยได้พบกัน เวลาที่พบกันก็มีเพียงประมาณ 2 นาทีเท่านั้น ดังนั้น การเป็นจักรพรรดิ จึงเหมือนการถูกจองจำไม่มีผิด ในตอนนั้น องค์ชายชุนที่ 2 ทรงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน จนกระทั่งถึงวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2454 เกิดการปฏิวัติซินไห่โดยซุนยัตเซ็น กองทัพรัฐบาลพ่ายแพ้แก่ฝ่ายปฏิวัติ เนื่องจากว่าองค์ชายชุนเป็นผู้ปกครองที่ไม่ใส่ใจต่อการบริหารประเทศ ส่งผลให้ฝ่ายต่อต้านตำหนิว่าพระองค์ทรงอ่อนแอเกินไปที่จะปกครองประเทศ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้กระแสความเกลียดชังที่มีต่อชาวต่างชาติและราชวงศ์แมนจูทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาณาจักรจีนระส่ำระสาย มณฑลต่างๆ ประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกันพระบิดาของจักรพรรดิปูยี ประกาศว่า ตนไม่มีความเหมาะสมที่จะปกครองอาณาจักรในฐานะผู้สำเร็จราชการอีกต่อไป จึงขอลาออก ซึ่งในตอนนั้นจักรพรรดิปูยียังพระเยาว์เกินกว่าที่จะทรงรับรู้ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 มีพระบรมราชโองการของจักรพรรดิปูยี รัชกาลซวนถ่ง ยินยอมสละราชสมบัติแต่โดยดี โดยมอบให้
หยวนซือไข่ มีอำนาจสมบูรณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐชั่วคราวขึ้น ตอนนั้นปูยีมีอายุได้ 6 ขวบ และฝ่ายรัฐบาลของซุนฮัดเซ็นที่หนานจิง (นานกิง) ก็ได้เสนอที่จะปฏิบัติต่อจักรพรรดิราชวงศ์ชิงที่สละราชสมบัติแล้วด้วยความเคารพเช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ชาวต่างประเทศ รัฐบาลสาธารณรัฐจะจัดสรรรายได้ให้ปีละ 4 ล้านเหรียญต่อปี อภิสิทธิ์ส่วนพระองค์ รวมทั้งพระราชวัง ข้าราชบริพารและทหารรักษาพระองค์ก็ให้คงไว้ หลังจากที่สละราชสมบัติแล้ว ปูยีและข้าราชบริพารได้รับอนุญาตให้อยู่ในวังต้องห้ามส่วนเหนือและพระราชวังฤดูร้อนต่อไป แต่เป็นจักรพรรดิทางสัญลักษณ์เท่านั้น อีกทั้งยังถูกจำกัดอิสรภาพเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งงานศพของพระมารดาก็ยังไม่สามารถออกไปคารวะศพได้
ปูยีได้รับการศึกษาแบบดั้งเดิม คือเรียนวรรณคดีคลาสิก โคลงกลอน ประวัติศาสตร์ ทั้งหมดเป็นภาษาจีนและแมนจู ได้เรียนภาษาอังกฤษเมื่อตอนที่มีอายุ 13 ปีกับ
เรจินัลด์ จอห์นสตัน ครูชาวสก๊อตแลนด์ ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดหลายๆ อย่างของปูยี นอกจากนี้เขายังตั้งชื่อให้ปูยีว่า “
เฮนรี่ ปูยี” ซึ่งเป็นชื่อที่คนต่างชาตินิยมเรียกพระองค์ ในปี 2460 ปูยีได้กลับมาเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจีนอีกครั้ง แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียง 12 วันเท่านั้น จากแผนการของแม่ทัพฉางซุน ที่ต้องการให้พระองค์กลับขึ้นมาครองราชย์อีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วแผนการก็ล้มเหลว และพระองค์ต้องทรงสละราชบัลลังก์เป็นครั้งที่สองโดยไม่ต่างกับในครั้งแรกสักเท่าใดนัก
เมื่ออายุได้ 16 ปี จักรพรรดิ์ปูยีได้แต่งงานกับ
วานจง และ
เหวินซิ่ว โดยวานจงได้เป็นฮองเฮา และเหวินซิ่วได้เป็นสนมเอก ยังทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังต้องห้าม จนกระทั่งวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467
เฟิง ยู่เสียง ทำการรัฐประหารสำเร็จ และกราบบังคมทูลเชิญให้พระองค์เสด็จฯ ออกจากวัง เขาเช็คแฮนด์กับพระองค์แล้วเรียกพระองค์ว่า
นายปูยี ถึงกระนั้น องค์จักรพรรดิ์กลับทรงรู้สึกว่า นี่เป็นอิสรภาพ หลังจากนั้น สถานทูตญี่ปุ่น ได้เชิญเสด็จพระองค์พร้อมพระมเหสีไปประทับอยู่ที่เมืองเทียน สิน ในแคว้นแมนจูเรีย มาตุภูมิของพระองค์ พระองค์ทรงใช้พระชนม์ชีพอย่างสำราญเยี่ยงหนุ่มไฮโซ จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2471 เจียงไคเช็ค ขุดสุสานของซูสีไทเฮาและทำลายพระศพของพระนางกับขนสมบัติล้ำค่าไปจนเกลี้ยง ซ้ำยังเอาไข่มุกของพระนางไปประดับรองเท้าให้กับ ซ่งเหม่ยหลิง ภรรยาใหม่ เรื่องนี้ทำให้ปูยีทรงกริ้วมาก พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต ภายใต้พระราชอำนาจนี้ ญี่ปุ่นจึงสถาปนา
รัฐแมนจูกัว ขึ้นมา และอัญเชิญจักรพรรดิ์ปูยีเป็นพระประมุขแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2475 แต่เป็นเพียงจักรพรรดิหุ่นเชิดของญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งในมุมมองของทั้งฝ่ายกั๋วหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ถือว่า คนจีนที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์ต่อญี่ปุ่นอย่างปูยีอดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนแล้วสถาปนารัฐแมนจูกัว เป็นผู้ทรยศต่อประเทศด้วยกันทั้งนั้น และตั้งข้อหาปูยีว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน
ชีวิตสมรสของปูยีนั้น ล้มเหลวอย่างชัดเจน เมื่อภรรยาคนที่สองคือเหวินซิ่วจากไปเมื่อครั้งเขาย้ายไปอยู่เทียนสิน ภรรยาคนแรกคือวานจงก็มีความขัดแย้งกัน แถมตั้งครรภ์กับคนอื่น เมื่อตอนที่เขาดำรงตำแหน่งจักรพรรดิหุ่นเชิดของแมนจูกัวนั้น เธอเริ่มมีสัมพันธ์กับองครักษ์ และติดฝิ่นอีกด้วย พ.ศ. 2482 ปูยีพบรักกับนักเรียนสาวชาวญี่ปุ่นวัย 17 ปี เขาตั้งชื่อจีนให้เธอว่า ถังอี้หลิง และแต่งงานกัน บางข้อมูลว่าญี่ปุ่นส่งเธอมา แต่ต่อมาไม่นานเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคไข้รากสาดน้อย แหล่งข่าวบางแห่งบอกว่าเธอถูกพวกญี่ปุ่นวางยาพิษ ต่อมาทางญี่ปุ่นก็เสนอผู้หญิงคนใหม่ให้เป็นสนมอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งปูยีก็สุ่มเลือกขึ้นมา 1 คน คือ อี้จิน เด็กสาววัย 14 ปี อี้จิน จึงเป็นภรรยาคนที่ 4 ของปูยี
พ.ศ. 2488 รัสเซียบุกแมนจูเรีย ปูยีพาน้องชาย หลาน 3 คน น้องเขย 2 คน หมอ 1 คน และคนใช้ 1 คน เตรียมบินไปญี่ปุ่น แต่ถูกรัสเซียจับกุมได้เสียก่อนเพราะถือว่าปูยีอยู่ฝ่ายตรงข้าม ขณะนั้นญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จักรพรรดิปูยีถูกทหารโซเวียตคุมขังในฐานะเชลยศึก และจองจำในบ้านพักที่ความเป็นอยู่ค่อนข้างดี สตาลินไม่ฆ่าปูยีเพราะคิดว่าปูยีคงมีประโยชน์ต่อเขาในอนาคต ปี พ.ศ. 2489 ปูยีถูกนำตัวไปขึ้นศาลที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศก่อสงคราม แต่เนื่องจากสตาลินต้องการกระชับความสัมพันธ์กับมิตรใหม่ทางการเมืองอย่างเหมาเจ๋อตุง ดังนั้นในปี พ.ศ. 2493 ปูยีจึงถูกส่งตัวกลับมาให้รัฐบาลจีนที่ตอนนั้นเปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ปูยีถูกสอบสวนและจำคุกนานถึง 9 ปี ซึ่งที่นี่เขาต้องอยู่ร่วมกับนักโทษคนอื่นๆ ต้องใช้แรงงาน ต้องเรียนรู้ที่จะเก็บเตียงเอง แปรงฟันเอง แต่งตัวเอง ล้างเท้าเอง และทำสิ่งต่างๆ เอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปูยีไม่เคยทำเองมาก่อน
พ.ศ. 2502 เขาถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระ และถูกถอดเป็นสามัญชน สิ้นความยิ่งใหญ่และสะดวกสบายที่เคยได้รับมาทั้งหมด ขณะนั้นเขามีอายุได้ 53 ปี ดูเหมือนเขาจะเป็นอิสระ แต่ที่จริง เขายังมีสภาพเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลจีน ปูยีประกาศตนเป็นคอมมิวนิสต์ ในวัยชราเขาต้องเย็บผ้าเอง ถูกจัดหน้าที่ให้เป็นคนทำสวนของสถาบันพฤกษศาสตร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังต้องห้ามที่ปูยีเคยพำนักเมื่อครั้งที่ยังเป็นฮ่องเต้น้อย เพื่อสร้างภาพให้กับคอมมิวนิสต์ว่า แม้กระทั่งอดีตจักรพรรดิจีน ก็ยังปฎิวัติตนเป็นคอมมิวนิสต์เลย ดังนั้นชาวบ้านธรรมดาก็ย่อมเป็นคอมมิวนิสต์ได้เช่นกัน
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2505 เขาแต่งงานใหม่กับหลี่ซู่เสียน นางพยาบาลและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์วัย 37 ปี เป็นภรรยาคนที่ 5 การแต่งงานครั้งนี้ เหมาเจ๋อตุง เป็นคนจัดให้ และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จักรพรรดิแมนจูแต่งงานกับสตรีชาวจีน โดยธรรมเนียมแล้ว ชาวแมนจูผู้สูงศักดิ์จะแต่งงานกับชาวแมนจูด้วยกันเท่านั้น
และในที่สุด วาระสุดท้ายของอดีตจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายก็มาถึง พ.ศ. 2510 ปูยี เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไต ในวัย 61 ปี ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีนโดยเหมาเจ๋อตุง ปิดตำนานจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายในราชวงศ์แมนจูและแห่งประวัติศาสตร์จีน
เป็นอุทาหรณ์ให้ชาวโลกได้เห็นว่า ไม่มีอำนาจใดๆ ณ ที่ไหน จะจีรังยั่งยืนได้ตลอดกาล เช่นเดียวกันกับราชวงศ์ชิงหรือแมนจู ที่เคยยิ่งใหญ่แล้วก็ต้องล่มสลาย และคนเราไม่ว่าใคร ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ สักวันหนึ่ง ก็คืนสู่สามัญได้เช่นเดียวกัน มันเป็นสัจธรรม !!!
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://board.postjung.com/519020.html
พบกันใหม่ เสาร์อาทิตย์หน้าครับ
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 18/6/2017 - ปูยี THE LAST EMPEROR
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ วันอาทิตย์ ผม MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการ อีก 1 วันครับ
วันนี้ นำเรื่องราวของ "ปูยี" จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน มาฝากครับ
จักรพรรดิ์ปูยี ทรงมีพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1906 (พ.ศ. 2449) มีพระนามเต็มว่า อ้ายซิน เจี๋ยหลอ ปูยี เป็นจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ชาวแมนจูองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ชิง และองค์สุดท้ายของจีน พระมารดาของปูยีคือ ยู่หลาน ปูยี มีพระอนุชานามว่า ปูเจี๋ย การที่พระนางซูสีไทเฮาแต่งตั้งให้ปูยีเป็นจักรพรรดิทั้งๆ ที่ปูยียังมีอายุไม่ถึง 3 ขวบปี เพราะพระนางเล็งเห็นว่า ต่อไปจะสามารถควบคุมและแทรกแซงได้ง่าย และพระนางก็คิดว่า ตนเองก็คงจะดำรงพระราชอำนาจได้อีกยาวนาน แต่หลังจากที่สถาปนาปูยีขึ้นครองบัลลังก์มังกรได้ไม่นาน พระนางก็ต้องสวรรคตไปเสียก่อน
จักรพรรดิ์ปูยี ทรงมีสายพระเนตรสั้น ทอดพระเนตรอะไรไม่ชัด เรจินัลด์ จอห์นสตัน พระอาจารย์ชาวสก็อตแลนด์ กราบทูลให้ทรงฉลองพระเนตร โดยสั่งให้ช่างหลวงตัดทูลกล้าฯ ถวาย ซึ่งตามกฎในราชสำนักจีน ยังไม่เคยมีฮ่องเต้พระองค์ใดฉลองพระเนตรเลยสักองค์เดียว ดังนั้น พระองค์จึงเป็นฮ่องเต้พระองค์แรกและพระองค์สุดท้ายของจีนที่ทรงฉลองพระเนตร
ปูยีต้องประทับอยู่ในพระราชวังต้องห้าม ซึ่งสามัญชนไม่อาจย่างเท้าเข้าไปได้ อันล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูง ตั้งอยู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่งสร้างโดยราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1949 - 1963) ประกอบด้วยพระราชวังในยุคหมิงและชิง รวม 24 หลัง ที่ตบแต่งไปด้วยระเบียงหินอ่อน พระราชอุทยาน และศาสนสถาน ในเนื้อที่กว่า 600 ไร่ อดีตฮ่องเต้ปูยี ต้องใช้ชีวิตอยู่ในรั้วพระราชวังแห่งนี้แต่เพียงลำพังพระองค์กับคณะขันทีเท่านั้น ด้วยมีการจำกัดสิทธิในการสนองพระโอษฐ์ จนกระทั่งพระชนมายุได้ 7 พรรษา จึงทรงได้รับอนุญาตให้พบกับครอบครัวของพระองค์ คนที่สามารถติดตามพระองค์ได้ คือพระพี่เลี้ยง ปูยีต้องพรากจากพระมารดาโดยที่ไม่ได้พบหน้ากันนานถึง 6 ปี จนกระทั่งเมื่อตอนอายุได้ 10 ปี ปูยีน้อย ถูกปฏิบัติดั่งเป็นเทพเจ้า เพราะชาวจีนถือว่าฮ่องเต้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ดังนั้นปูยีจึงไม่สามารถแสดงออกได้แบบเด็กๆ ธรรมดาทั่วไป ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ปูยี ยกเว้นพระพี่เลี้ยง ล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้า ไม่อาจเข้ามาอยู่ใกล้ชิดได้ และไม่อาจมาบังคับกะเกณฑ์องค์จักรพรรดิน้อยปูยีได้ เวลาปูยีเสด็จไปไหน บรรดาองครักษ์ต้องคุกเข่าก้มหน้า ห้ามมิให้สบตากับจักรพรรดิ แม้กระทั่งพระบิดาก็ต้องคุกเข่าให้กับปูยีบุตรชายของตนเองและไม่ค่อยได้พบกัน เวลาที่พบกันก็มีเพียงประมาณ 2 นาทีเท่านั้น ดังนั้น การเป็นจักรพรรดิ จึงเหมือนการถูกจองจำไม่มีผิด ในตอนนั้น องค์ชายชุนที่ 2 ทรงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน จนกระทั่งถึงวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2454 เกิดการปฏิวัติซินไห่โดยซุนยัตเซ็น กองทัพรัฐบาลพ่ายแพ้แก่ฝ่ายปฏิวัติ เนื่องจากว่าองค์ชายชุนเป็นผู้ปกครองที่ไม่ใส่ใจต่อการบริหารประเทศ ส่งผลให้ฝ่ายต่อต้านตำหนิว่าพระองค์ทรงอ่อนแอเกินไปที่จะปกครองประเทศ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้กระแสความเกลียดชังที่มีต่อชาวต่างชาติและราชวงศ์แมนจูทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาณาจักรจีนระส่ำระสาย มณฑลต่างๆ ประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกันพระบิดาของจักรพรรดิปูยี ประกาศว่า ตนไม่มีความเหมาะสมที่จะปกครองอาณาจักรในฐานะผู้สำเร็จราชการอีกต่อไป จึงขอลาออก ซึ่งในตอนนั้นจักรพรรดิปูยียังพระเยาว์เกินกว่าที่จะทรงรับรู้ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 มีพระบรมราชโองการของจักรพรรดิปูยี รัชกาลซวนถ่ง ยินยอมสละราชสมบัติแต่โดยดี โดยมอบให้ หยวนซือไข่ มีอำนาจสมบูรณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐชั่วคราวขึ้น ตอนนั้นปูยีมีอายุได้ 6 ขวบ และฝ่ายรัฐบาลของซุนฮัดเซ็นที่หนานจิง (นานกิง) ก็ได้เสนอที่จะปฏิบัติต่อจักรพรรดิราชวงศ์ชิงที่สละราชสมบัติแล้วด้วยความเคารพเช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ชาวต่างประเทศ รัฐบาลสาธารณรัฐจะจัดสรรรายได้ให้ปีละ 4 ล้านเหรียญต่อปี อภิสิทธิ์ส่วนพระองค์ รวมทั้งพระราชวัง ข้าราชบริพารและทหารรักษาพระองค์ก็ให้คงไว้ หลังจากที่สละราชสมบัติแล้ว ปูยีและข้าราชบริพารได้รับอนุญาตให้อยู่ในวังต้องห้ามส่วนเหนือและพระราชวังฤดูร้อนต่อไป แต่เป็นจักรพรรดิทางสัญลักษณ์เท่านั้น อีกทั้งยังถูกจำกัดอิสรภาพเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งงานศพของพระมารดาก็ยังไม่สามารถออกไปคารวะศพได้
ปูยีได้รับการศึกษาแบบดั้งเดิม คือเรียนวรรณคดีคลาสิก โคลงกลอน ประวัติศาสตร์ ทั้งหมดเป็นภาษาจีนและแมนจู ได้เรียนภาษาอังกฤษเมื่อตอนที่มีอายุ 13 ปีกับ เรจินัลด์ จอห์นสตัน ครูชาวสก๊อตแลนด์ ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดหลายๆ อย่างของปูยี นอกจากนี้เขายังตั้งชื่อให้ปูยีว่า “เฮนรี่ ปูยี” ซึ่งเป็นชื่อที่คนต่างชาตินิยมเรียกพระองค์ ในปี 2460 ปูยีได้กลับมาเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจีนอีกครั้ง แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียง 12 วันเท่านั้น จากแผนการของแม่ทัพฉางซุน ที่ต้องการให้พระองค์กลับขึ้นมาครองราชย์อีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วแผนการก็ล้มเหลว และพระองค์ต้องทรงสละราชบัลลังก์เป็นครั้งที่สองโดยไม่ต่างกับในครั้งแรกสักเท่าใดนัก
เมื่ออายุได้ 16 ปี จักรพรรดิ์ปูยีได้แต่งงานกับ วานจง และเหวินซิ่ว โดยวานจงได้เป็นฮองเฮา และเหวินซิ่วได้เป็นสนมเอก ยังทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังต้องห้าม จนกระทั่งวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467 เฟิง ยู่เสียง ทำการรัฐประหารสำเร็จ และกราบบังคมทูลเชิญให้พระองค์เสด็จฯ ออกจากวัง เขาเช็คแฮนด์กับพระองค์แล้วเรียกพระองค์ว่า นายปูยี ถึงกระนั้น องค์จักรพรรดิ์กลับทรงรู้สึกว่า นี่เป็นอิสรภาพ หลังจากนั้น สถานทูตญี่ปุ่น ได้เชิญเสด็จพระองค์พร้อมพระมเหสีไปประทับอยู่ที่เมืองเทียน สิน ในแคว้นแมนจูเรีย มาตุภูมิของพระองค์ พระองค์ทรงใช้พระชนม์ชีพอย่างสำราญเยี่ยงหนุ่มไฮโซ จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2471 เจียงไคเช็ค ขุดสุสานของซูสีไทเฮาและทำลายพระศพของพระนางกับขนสมบัติล้ำค่าไปจนเกลี้ยง ซ้ำยังเอาไข่มุกของพระนางไปประดับรองเท้าให้กับ ซ่งเหม่ยหลิง ภรรยาใหม่ เรื่องนี้ทำให้ปูยีทรงกริ้วมาก พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต ภายใต้พระราชอำนาจนี้ ญี่ปุ่นจึงสถาปนา รัฐแมนจูกัว ขึ้นมา และอัญเชิญจักรพรรดิ์ปูยีเป็นพระประมุขแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2475 แต่เป็นเพียงจักรพรรดิหุ่นเชิดของญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งในมุมมองของทั้งฝ่ายกั๋วหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ถือว่า คนจีนที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์ต่อญี่ปุ่นอย่างปูยีอดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนแล้วสถาปนารัฐแมนจูกัว เป็นผู้ทรยศต่อประเทศด้วยกันทั้งนั้น และตั้งข้อหาปูยีว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน
ชีวิตสมรสของปูยีนั้น ล้มเหลวอย่างชัดเจน เมื่อภรรยาคนที่สองคือเหวินซิ่วจากไปเมื่อครั้งเขาย้ายไปอยู่เทียนสิน ภรรยาคนแรกคือวานจงก็มีความขัดแย้งกัน แถมตั้งครรภ์กับคนอื่น เมื่อตอนที่เขาดำรงตำแหน่งจักรพรรดิหุ่นเชิดของแมนจูกัวนั้น เธอเริ่มมีสัมพันธ์กับองครักษ์ และติดฝิ่นอีกด้วย พ.ศ. 2482 ปูยีพบรักกับนักเรียนสาวชาวญี่ปุ่นวัย 17 ปี เขาตั้งชื่อจีนให้เธอว่า ถังอี้หลิง และแต่งงานกัน บางข้อมูลว่าญี่ปุ่นส่งเธอมา แต่ต่อมาไม่นานเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคไข้รากสาดน้อย แหล่งข่าวบางแห่งบอกว่าเธอถูกพวกญี่ปุ่นวางยาพิษ ต่อมาทางญี่ปุ่นก็เสนอผู้หญิงคนใหม่ให้เป็นสนมอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งปูยีก็สุ่มเลือกขึ้นมา 1 คน คือ อี้จิน เด็กสาววัย 14 ปี อี้จิน จึงเป็นภรรยาคนที่ 4 ของปูยี
พ.ศ. 2488 รัสเซียบุกแมนจูเรีย ปูยีพาน้องชาย หลาน 3 คน น้องเขย 2 คน หมอ 1 คน และคนใช้ 1 คน เตรียมบินไปญี่ปุ่น แต่ถูกรัสเซียจับกุมได้เสียก่อนเพราะถือว่าปูยีอยู่ฝ่ายตรงข้าม ขณะนั้นญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จักรพรรดิปูยีถูกทหารโซเวียตคุมขังในฐานะเชลยศึก และจองจำในบ้านพักที่ความเป็นอยู่ค่อนข้างดี สตาลินไม่ฆ่าปูยีเพราะคิดว่าปูยีคงมีประโยชน์ต่อเขาในอนาคต ปี พ.ศ. 2489 ปูยีถูกนำตัวไปขึ้นศาลที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศก่อสงคราม แต่เนื่องจากสตาลินต้องการกระชับความสัมพันธ์กับมิตรใหม่ทางการเมืองอย่างเหมาเจ๋อตุง ดังนั้นในปี พ.ศ. 2493 ปูยีจึงถูกส่งตัวกลับมาให้รัฐบาลจีนที่ตอนนั้นเปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ปูยีถูกสอบสวนและจำคุกนานถึง 9 ปี ซึ่งที่นี่เขาต้องอยู่ร่วมกับนักโทษคนอื่นๆ ต้องใช้แรงงาน ต้องเรียนรู้ที่จะเก็บเตียงเอง แปรงฟันเอง แต่งตัวเอง ล้างเท้าเอง และทำสิ่งต่างๆ เอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปูยีไม่เคยทำเองมาก่อน
พ.ศ. 2502 เขาถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระ และถูกถอดเป็นสามัญชน สิ้นความยิ่งใหญ่และสะดวกสบายที่เคยได้รับมาทั้งหมด ขณะนั้นเขามีอายุได้ 53 ปี ดูเหมือนเขาจะเป็นอิสระ แต่ที่จริง เขายังมีสภาพเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลจีน ปูยีประกาศตนเป็นคอมมิวนิสต์ ในวัยชราเขาต้องเย็บผ้าเอง ถูกจัดหน้าที่ให้เป็นคนทำสวนของสถาบันพฤกษศาสตร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังต้องห้ามที่ปูยีเคยพำนักเมื่อครั้งที่ยังเป็นฮ่องเต้น้อย เพื่อสร้างภาพให้กับคอมมิวนิสต์ว่า แม้กระทั่งอดีตจักรพรรดิจีน ก็ยังปฎิวัติตนเป็นคอมมิวนิสต์เลย ดังนั้นชาวบ้านธรรมดาก็ย่อมเป็นคอมมิวนิสต์ได้เช่นกัน
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2505 เขาแต่งงานใหม่กับหลี่ซู่เสียน นางพยาบาลและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์วัย 37 ปี เป็นภรรยาคนที่ 5 การแต่งงานครั้งนี้ เหมาเจ๋อตุง เป็นคนจัดให้ และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จักรพรรดิแมนจูแต่งงานกับสตรีชาวจีน โดยธรรมเนียมแล้ว ชาวแมนจูผู้สูงศักดิ์จะแต่งงานกับชาวแมนจูด้วยกันเท่านั้น
และในที่สุด วาระสุดท้ายของอดีตจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายก็มาถึง พ.ศ. 2510 ปูยี เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไต ในวัย 61 ปี ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีนโดยเหมาเจ๋อตุง ปิดตำนานจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายในราชวงศ์แมนจูและแห่งประวัติศาสตร์จีน เป็นอุทาหรณ์ให้ชาวโลกได้เห็นว่า ไม่มีอำนาจใดๆ ณ ที่ไหน จะจีรังยั่งยืนได้ตลอดกาล เช่นเดียวกันกับราชวงศ์ชิงหรือแมนจู ที่เคยยิ่งใหญ่แล้วก็ต้องล่มสลาย และคนเราไม่ว่าใคร ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ สักวันหนึ่ง ก็คืนสู่สามัญได้เช่นเดียวกัน มันเป็นสัจธรรม !!!
ขอบคุณข้อมูลจาก https://board.postjung.com/519020.html
พบกันใหม่ เสาร์อาทิตย์หน้าครับ