แอบชอบเพื่อนมานานมาก แต่ไม่กล้าบอก กลัวกระทบมิตรภาพที่สร้างมา เราทำถูกแล้วใช่ไหม?

เราไม่รู้ว่าควรบอกเขามั้ย แต่เราอยากให้เขารู้ แต่เราก็รู้ว่าไม่ควรบอกออกไปตรงๆ เพราะมันอาจจะทำให้เราเสียมิตรภาพที่เราสร้างกันมา
...
เรารู้จักผู้ชายคนหนึ่งตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 ค่ะ เราอยู่ห้องเดียวกัน
ในสายตาเราตั้งแต่ตอนนั้น เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูงมาก มีความทะเยอทะยานเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายของตัวเองถึงขั้นสุด
หลายครั้งที่เราผลัดกันแข่งแย่งที่ 1 ของชั้นเรียน แต่กลับได้แค่สลับกันได้ที่ 2 และ ที่ 3
(เมื่อก่อนตอนประถมจะมีผลสอบ 4 ครั้ง สำหรับการเรียน 1 ปี เราได้ที่ 2 เขาได้ที่ 3 แล้วพอเราได้ที่ 3  เขาก็ได้ที่ 2)
ความน่ารักของเขาคือ การใช้แค่เพียงดินสอไม้เท่านั้นค่ะ
ตอนนั้นจำได้ว่าเหตุผลที่เขาบอกคือ จะทำให้ลายมือคงที่และไม่หวัด และแน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ลายมือสวยมากกก
เราแข่งกันทุกเรื่อง แม้แต่การประกวดคัดลายมือ เราก็ยังแข่งกัน
คงไม่ต้องสงสัยนะคะว่าใครจะติดลำดับ 1 ใน 3 ฮ่าาา (เขาค่ะ ไม่ใช่เราแน่นอน)
ตอนป.1สมัยนั้น โทรศัพท์ยังเป็นการสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดรองจากโทรศัพท์มือถือแท่งใหญ่ๆ มีเสา และต้องออกไปต่อคิวโทรที่ร้านข้างนอกค่ะ
เบอร์บ้านเพื่อนที่เราจำได้ตอนนั้นก็คือเขากับเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันอีกคน
เวลาจะโทรไปถามการบ้านหรือถามว่าวันพรุ่งนี้มีอะไรที่ต้องเอาไปบ้างมั้ย เพราะกลัวตัวเองจะหลงลืม เราก็จะโทรไปหาแค่สองคนนี้ค่ะ
แต่เพื่อนผู้หญิงที่เราสนิทมักจะขาดโรงเรียนบ่อยกว่าเรา และขี้ลืมบ่อยกว่าเราค่ะ การโทรหาเขาบ่อยที่สุดเลยเป๋นแบบนั้นมาตลอด ฮ่าๆๆ
เราเคยโทรไปแล้วแม่เขารับด้วยค่ะ ตอนเด็กๆ รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ก๋ากั่นไร้ยางอายมาก เพราะว่าไม่รู้สึกอะไรเลยที่ต้องโทรไปหาผู้ชายก่อน ฮ่าๆๆ
รู้แค่ว่าฉันต้องได้คำตอบที่ต้องการและสามารถไปโรงเรียนวันรุ่งขึ้นได้แบบที่ไม่หลงไม่ลืมอะไรค่ะ
พอนานเข้า เขาก็มีมาบ่นบ้างค่ะ ว่าโทรไปหาเขาที่บ้านบ่อยมาก แล้วก็แซ็วว่าแอบชอบเขารึเปล่าเนี่ย
แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นค่ะ คิดแค่ว่ามีแค่เขาที่เราจำเบอร์บ้านและพึ่งพาเรื่องเรียนได้
อาจจะเรียกว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากติดอันดับต้นๆ ในชีวิตตอนนั้นก็ได้มั้ง แต่ตอนนั้นไม่ได้ใช้คำว่าเพื่อนสนิทค่ะ เป็นแค่เพื่อนกัน
แต่ก็นั่งติดกันและวอแวกันมาตั้งแต่ตอนป.1 เลย จนเพื่อนในห้องชอบแซ็วชอบล้อว่าเป็นแฟนกัน
จนเวลาผ่านมาถึงป.6 ค่ะ เขาอยู่ห้องตรงข้ามกับเรา
เราลืมเล่าว่าการแข่งกันเรียนของเรากับเขามาเจอกันห้องเดียวกันอีกครั้งตอนป.3
ตอนนั้นก็ตบตีกันเรื่องลำดับนี่เกือบทุกวันค่ะ ก็สนุกดี เหมือนเป็นสีสันในชีวิต
พอมาป.6 เราก็ได้ไปแข่งขันเปิดพจนานุกรมภาษาไทยด้วยกันค่ะ แต่ของเค้าจะแข่งเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษ
เวลาซ้อมก็จะมาซ้อมใกล้ๆ กัน ก็เลยได้มีโอกาสพูดคุยกันบ้างตามประสาคนแข่งขันแนวเดียวกัน ก็เหมือนกันตามปกติค่ะ
แต่เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าเขาน่ารักดี เป็นคนเรียบร้อย และเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้มากๆ
จนมาเข้าม.ต้นที่โรงเรียนเดียวกัน แต่อยู่กันคนละห้อง พูดกันน้อยกว่าเดิมมาก เพราะเค้าอยู่ห้องคนเก่งที่ห่างจากเราไปสองสามห้องเลย
ความพูดน้อยและความเรียบร้อยของเขาทำให้เรายิ่งคุยกันแทบจะนับครั้งได้ลงไปอีก จนมาเจอกันอีกครั้งตอนรวมวงดนตรีไทยค่ะ
ตอนนั้นเราอยู่ชุมนุมนี้ตั้งแต่ม.1เลย ส่วนเขาเป็นเด็กที่ครูประจำชุมนุมไปจีบมาให้เล่นให้วง เขาอยู่ตำแหน่งซออู้มั้งคะถ้าจำไม่ผิด
ก็ได้มีเรื่องคุยกันมากขึ้นและเจอกันมากขึ้นค่ะ เรื่องที่คุยส่วนมากก็เป็นเรื่องโน้ตดนตรีไทย
เราเคยบอกว่าเราก๋ากั่นมาก เราเคยมีวีรกรรมเตะเป้าผู้ชายตอนประถม จนเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่กลัวการอยู่ใกล้เราค่ะ
การกลับมาเจอกันบ่อยขึ้นอีกครั้งตอนม.ต้น ทำให้ทุกครั้งที่เราเข้าไปทักทายเขาก่อน เขาจะถอยกรูดห่างออกไปสามก้าวจนเราขำ ฮ่าๆๆ
แต่เราก็ใช้การพูดคุยเรื่อยๆ จนเขากลับมาเลิกกลัวการเข้าใกล้เราอีกครั้งค่ะ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองน่ากลัวไม่เบา
แล้วพอขึ้นม.ปลาย เราก็ได้อยู่ห้องเดียวกันค่ะ ม.ปลายนี่อยู่ห้องเดียวกันตลอดสามปีเลย
เขาคือคนที่เราพึ่งพาได้เหมือนเดิม โจทย์คณิตศาสตร์จะสนุกขึ้นกว่าเดิมทุกครั้งที่เราได้ร่วมมือกันคิดหาวิธีแก้หาค่าตัวแปร ฮ่าๆ
เรารู้สึกว่าจากวิชาที่โหดจนน่าเบื่อกลับกลายมาเป็นวิชาที่น่ารักขึ้นทันที เพราะมีเขาที่พร้อมจะแก้ปัญหาหาคำตอบนั้นไปด้วยกันค่ะ
การถกในแต่ละข้อทำให้เราได้พูดคุยกันมากขึ้นจนนับว่าสนิทกันอีกครั้งเลย เราเลยรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่พึ่งพาทางความคิดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
แต่เขาไม่ถนัดใช้กำลังเลย เขาไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ เขาชอบตื่นมาดูการ์ตูนตั้งแต่ตี5และค่อนข้างติดบ้าน
นอกจากวิชาคณิตแล้ว วิชาที่เราได้ร่วมถกกับเขาอีกวิชานึงก็คือ วิชาศิลปะค่ะ
ทุกครั้งที่เราได้ไปนั่งห้องสมุดเพื่อร่างแบบกัน เราจะแลกกันดูและพูดคุยกันเรื่อยๆ รวมถึงเพื่อนสนิทของเราอีกคนด้วยค่ะ
เนื่องจากเราสามคนมาจากโรงเรียนเดียวกันตอนประถม เลยทำให้เรารวมกลุ่มกันและสนิทกันง่ายขึ้น
ถึงตอนนี้เราประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
เวลาเดินกลับห้องเรียนแล้วเราคุยกันไปด้วย เขาจะให้เราเดินหน้าแล้วเขาเดินตามติดๆ กันตลอด มันอบอุ่นมากกก เรารู้สึกอย่างนั้น
ทุกครั้งที่ถกกันเรื่องต่างๆ เขาจะเป็นผู้รับฟังที่ดีเสมอ และเมื่อจะค้านเรื่องอะไร เหตุผลของเขาจะมีน้ำหนัก ไม่ใช่การใช้อารมณ์เข้ามาถกเลยสักนิด
ทุกอย่างดูสงบและร่มเย็น นั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสได้ค่ะ
ความผูกพันที่เรามีต่อเขามันเพิ่มขึ้นมาโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว เราเริ่มรู้สึกว่าเขาไว้ใจได้ วางใจได้ และเขาทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองสามารถไว้ใจตัวเองได้เสมอ
เขาจะพูดทุกครั้งที่เราว่าตัวเองไม่รู้จะทำเรื่องนั้นได้มั้ยจะทำเรื่องนี้ได้รึเปล่าว่า เราทำได้อยู่แล้ว
เขาคงไม่รู้ค่ะ ว่าการที่เขาซัพพอร์ตเราด้วยคำๆ นี้มันทำให้ใจเราแกร่งขึ้น เราอยากจะเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น
และเราจะสามารถผ่านเรื่องยากๆ ไปได้เพียงเพราะคำพูดที่เหมือนเข้าใจเราของเขาค่ะ
พอม.หก มันก็เหมือนเราสนิทกันมาสองปีแล้วค่ะ การพูดเล่นมันก็จะสนิทใจกันมากขึ้น
จนมาถึงจุดที่เราเอาตัวเองเข้าไปปกป้องเขาจากการแซ็วของเพื่อนสนิทในห้องในทำนองว่าจะจีบเขา แล้วเราก็เอาตัวเองเข้าไปขวางก่อนจะพูดว่า
"ถ้าจะจีบเขาก็คงต้องผ่านศพเราไปก่อน เพราะเขาคือ....ของเรา"
เว้นวรรคที่เว้นไว้ คือฉายาที่เราใช้เรียกเขาตั้งแต่ตอนทำคัตเอ้าท์กีฬาสีด้วยกันค่ะ
มันมาจากการที่เขาเป็นคนเรียบร้อยมากแล้วเป็นคนเก็บกวาดพื้นที่ที่ตั้งกองขยะหลังทำงานเสร็จจนเกลี้ยงและสะอาดมาก
แต่เราขอไม่บอกตรงๆนะคะ จะออกแนว "คุณสามี" "คุณที่รัก" "คุณคนดี" อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ แต่ขอไม่เขียนไว้
เพราะถ้าเขาผ่านมาอ่านอาจจะรู้ตัวทันที แหะๆ
(ต่อในคอมเม้นท์)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่