[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้++คลิป รู้ไว้ก่อนดู: THE THIRD MURDER กับดักฆาตกรรมครั้งที่ 3 #JUSTดูIT++
วิเคราะห์ The third murder จุดที่รู้สึกแก้ปมไม่ได้
ทำไมต้องฮอกไกโด? (ทุกคนมาจากฮอกไกโด / มีเหตุเกิดที่ฮอกไกโด /
พระเอกเล่นหิมะกับลูกที่ฮอกไกโด)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฆาตกร มิสึมิ?
- เป็นคนดี? / ภาชนะที่ว่างเปล่า?
- ทำเพื่อเด็กสาว / ตัวเอง?
- ฆ่าเพราะเหยื่อเป็นพ่อที่ไม่ดี / เจ้านายที่ไม่ดี /สนุก ?
- ทำเพื่อช่วยเหลือเด็ก เพื่อตัดสิน เพื่อเงิน?
- พูดจริง /โกหก ? อะไรบ้าง? ตัวเองทำ(ทำเพื่อเอาเงิน โดนจ้างฆ่า
ทำเพราะโกรธแค้น ) ตัวเองไม่ได้ฆ่า(ไม่ได้ฆ่าจริง / ให้เด็กไม่ต้องมาพูดในศาล
/ฆ่ากับเด็ก แต่จะรับผิดคนเดียว)
- พ่อแม่เมียตาย? ตายแง่ไหน? ไม่ยุติธรรม?
- ทำไมนกต้องตายพร้อมกันห้าตัว? (ซ้อมฆ่ารึเปล่า เอ๊ะ เราอาจคิดมากไป55555)
- คดีแรก รายละเอียด?
พระเอก(ทนาย) ชิเกะโมริ
- เชื่อจริง / ไม่จริง?
- ตอนแรกไม่สนความจริง เน้นแต่ชนะ แต่ตอนกลางๆก็เริ่มอยากรู้ความจริง
แต่พอสืบไปสืบมาก็มึนกว่าเดิม ก็จะได้เห็นพัฒนาการของพระเอกชัดมาก
จากที่ทำงานแค่งาน กลับต้องทำมากกว่านั้นอย่างการไปสืบเรื่องของผู้ต้องหาเอง
บางคนบอกว่า
พระเอกฟังผู้ต้องหามากไป เชื่อไปหมด แต่สำหรับเรา
เราว่ามันค่อนข้างธรรมดานะที่ผู้ถูกว่าจ้างต้องรับฟังความต้องการของผู้ว่าจ้าง(Clie
nt)ของเขา ถ้าหากผู้ต้องหาบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ทนายยังยัดเยียดข้อกล่าวหาให้
แล้วจะแยกทนายกับอัยการทำไม?
จุดสำคัญอีกที่ที่พีคๆเลยคือที่มิสึมิถามพระเอกว่าเชื่อไหม?
พระเอกบอกว่ามันจะทำให้กลยุทธ์ตอนนี้เสีย มิสึมิจึงบอกว่าเขาไม่สนกลยุทธ์
เขาอยากรู้แค่เชื่อเขาหรือไม่
เด็กสาว(ซากิเอะ)
- ขาเดี้ยงเพราะตกจากหลังคา? ตั้งแต่เกิด? สาเหตุอื่น?
- เป็นตัวละครที่ดูลึกลับและน่าสงสัยที่สุดในเรื่อง ดูมีความลับมากมาย
ดูรู้เรื่องราว(ที่เป็นความจริง)เยอะที่สุด ดูฉลาด(จากที่นางรู้ว่าต้องพูดยังไง
วางตัวยังไงในศาล) แต่ก็มีความน่ารักสมวัยปนอยู่ด้วยเช่นกัน
ด้วยบุคลิกนิ่งๆกับดวงตาเศร้าๆของนาง
(+ที่ลูกสาวของพระเอกทำให้เราเข้าใจว่าเด็กสาววัยประมาณนี้ก็ตีสองหน้า
เรียกน้ำตาได้ง่ายๆแล้ว) ทำให้เรายิ่งสงสัยนางและหวาดระแวงหน่อยๆ
ยิ่งตอนท้ายที่นางบอกว่าที่นี่ไม่มีใครพูดความจริงสักคน
ก็อาจจะรวมนางด้วยเช่นกัน
แม่เด็ก
- คือดูจิตและเห็นแก่ตัวมาก มีแนวโน้มจ้างค่าฮุบเงินประกันอยู่นะ
นางดูไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรัก อารมณ์ ความรู้สึกคนอื่นเท่าไร
ที่นางสนใจหลักๆก็มีเงินกับตัวนางเอง ก็เป็นไปได้ที่จะเป็นคนฆ่า
(แต่ส่วนตัวแอบคิดว่าไม่ ถ้าผู้ตายมีชีวิตน่าจะทำเงินให้ได้มากกว่า
ครอบครัวก็ดูไม่ได้ร้อนเงินอะไรขนาดนั้น)
ทนายความเด็กๆ (อากิระ)
- เป็นสัญลักษณ์แห่งความใคร่รู้ความจริง ใฝ่หาความยุติธรรมที่แท้จริง
ซึ่งอยู่ในโลกกระบวนการยุติธรรมนั้นแทบเป็นไปไม่ได้
ฝั่งทนายความเซทสึ ผู้พิพากษา และอัยการ
- เป็นตัวแทนแห่งโลกมายาของศาล ทุกคนเหมือนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือชื่อเสียง
รีวิวThe Third Murder
เป็นเรื่องราวที่สื่อถึงกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม
พระเอก เป็นทนายความที่ขึ้นชื่อว่าเก่ง
ทำทุกอย่างเพื่อให้คำตัดสินออกมาเป็นแบบที่ตนหรือลูกความต้องการ
โดยไม่ได้สนเลยว่าความจริงที่เกิดขึ้นนั้เป็นอย่างไรกันแน่
แต่พอได้มาเจอกับผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ (มิสึมิ) ทำให้ความเชื่อของเขาสั่นคลอนไป
สำหรับเราแล้ว เราว่าที่หลายๆคนผิดหวังนั้น อาจเป็นเพราะ เรื่องนี้ผิดจาก
"ความคาดหวัง" ไปค่ะ ซึ่งถ้าคุณคาดหวังว่าอยากไปดูหนังแนวสืบสวนสอบสวน
มันส์ๆ ค่อยๆคลายปม ลุ้นๆ ระทึกๆ พลิกล็อคหักมุมโชะๆแน่นอน อาจจะต้องผิดหวัง
หรือถ้าคาดหวังว่า เห้ย อาจจะมาแนว How to get away with murderแนวเอเชีย
เดี๋ยวฉันจะเห็นขั้นตอนการทำงานของทนายอันน่าตื่นเต้นในการพลิกคดีเว้ยเห้ย
ก็อาจจะผิดหวังเช่นกัน
แต่ถ้าคุณต้องการดูหนังชีวิตจริงที่ไม่ได้มีแค่ความสนุกตื่นเต้น
แต่ในสถานการณ์นั้นมันเต็มไปด้วยความสับสน วุ่นวาย ตึงเครียด
ผิดถูกดีชั่วตัดสินไม่ได้ เรื่องนี้เหมาะมาก คือมันจะเป็นแนวชีวิตจริงเลยแล
ทั้งไทม์ไลน์ อารมณ์ คือไม่มีวิ่งไล่คนร้าย สืบคดีจากสารลูมินอลแน่นอนนะ
ทำใจเลย แต่จะมีการหาหลักฐาน หาข้อแก้ต่างเพื่อช่วยลูกความ
จะเชื่อสิ่งที่ลูกความบอกหรือไม่ (คือเราต้องดึงสกิลจากLie to meมาช่วยมากๆ
และแน่นอนว่าเดาผิดกระจาย55555) สำหรับเรานี่มันเป็นหนังที่ไม่เอนเตอร์เทน
แน่นอนว่ามันไม่สนุก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบ หรือหนังไม่ดี
บอกเลยว่าเรารู้สึกว่าหนังดีมากๆ คือมันดีในแง่ของความ"Real"ค่ะ ทั้งอารมณ์
สีหน้า การแสดงออก บท การคิด เหมือนเราเป็นพระเอก โดนหลอกพร้อมกัน
เอาใจช่วยแบบเชื่อเถออะนะๆแล้วเหมือนเราคือพระเอกอะ คือเชื่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แล้วก็โดนหลอกหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ ฮา
จริงๆคือไม่รู้เลยว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนหลอก จนดูจบก็ไม่รู้อยู่ดี
เหมือนตั้งใจจบแบบปลายเปิด ให้ผู้ชมไปคิดกันเอง
อีกเรื่องคือประเด็นของศาลยุติธรรม ซึ่งจะมีฉากที่ทั้งผู้พิพากษา อัยการ
ทนายมานั่งคุยกันอย่างประนีประนอมทั้งที่หน้าฉากฉะกันอย่างเดือด
ไม่รู้ว่าจริงๆเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ฉากนี้ทำให้เราได้ฉุกคิดว่า
นี่มันศาลหรือเวทีละคร? คือเหมือนเวลาผู้กำกับบรีฟว่า "เอ้าฝ่ายตัวดี
อย่าฉะฝ่ายตัวร้ายมากสิ แหมๆตัวร้าย จะให้ถ่ายใหม่หมดก็ไม่ไหวนา เอาน่ะ
ไปต่อๆ ถึงถ่ายใหม่ผมก็เอาเหมือนเดิมอยู่ดี"
//แอบรู้สึกเหมือนแก๊งค์เมนเทอร์รายการหนึ่งในไทยนิดๆ อิอิ
หรือตอนที่เซ็ทสึบอกว่า เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เรือที่เรียกว่าความยุติธรรม
แต่จะเห็นได้เลยว่าแทบไม่มีใครแคร์ความยุติธรรม
หรือชีวิตของมิสึมิที่จะโดนประหาร รีบตัดสินเพราะเสียเวลา? เสียชื่อเสียง?
ทั้งๆที่ตัดสินโทษประหารไม่ใช่โทษปรับ5บาท 10บาท
นอกจากนี้ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ได้สะท้อนแนวคิดด้าน"เหตุวิสัย"อย่างชัดเจน คือ
เราไม่ได้เลือกที่จะทำสิ่งต่างๆ เราต่างถูกกำหนดไว้แล้วให้ทำสิ่งนั้นๆ
เพราะฉะนั้นการประหารไม่ใช่การลงโทษให้สำนึกผิดบาป
แต่เหมือนการเอาฟันเฟืองที่เสียออกจากนาฬิกาไม่ให้รบกวนส่วนอื่นๆ
นี่คือการเอามิสึมิออกไป จะได้ไม่ออกไปฆ่าใครอีก
มาในแง่เชิงเทคนิคกันบ้าง นักแสดงไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนคือระดับเทพอยู่แล้ว
หากใครติดตามฝั่งญี่ปุ่นอยู่ นักแสดงนำแต่ละคนผ่านละครมาไม่รู้กี่สิบเรื่อง
ยังไม่รวมหนังใหญ่เข้าโรงอีก ประสบการณ์มาเต็มเปี่ยม
ผู้กำกับเองก็คว้ารางวัลมามากมาย และในหนังเรื่องนี้การกำกับภาพ ลำดับภาพ
เขียนบท คือเป็นเลิศ หนังจะดูแล้วรู้สึกเอื่อยๆ ทำไมเวลามันผ่านไปช้าขนาดนี้
มันเป็นเพราะเรื่องดำเนินแบบ Real time สุดๆไปเลย เพิ่มความกดดัน
ความRealของหนังไปอี๊กกกก การแต่งหน้าและคอสตูมที่ไม่เว่อร์เกินไป
(หน้าอัยการนี่ หน้าสดมาก เด็กสาวที่ไม่แต่งหน้าจัดก็ดูน่ารัก สดใส สมวัยดี)
มันทำให้เรารับรู้ เข้าใจ รู้สึก ถึงอารมณ์แบบเหมือนเราเข้าไปอยู่ในนั้นเองได้
รู้สึกอึดอัด หมั่นไส้ หงุดหงิดไปกับพระเอกสุดๆ ในแง่เพลงประกอบ อืมมมม
ไม่ค่อยมีนะ น้อยถึงน้อยที่สุด ทั้งเรื่องดำเนินด้วยบทสนทนาเป็นส่วนมาก
(บอกตามตรงว่าก้มดูซับเยอะเกินไปจนแทบไม่ได้มองหน้าคนสักเท่าไหร่
มันทำให้รู้สึกว่าเห้ยยย ในชีวิตจริงเราก็ทำอย่างงั้นเหมือนกันนะ
ไม่ค่อยมองหน้าคนที่พูดด้วย พยายามจับผิดคนตรงหน้า เห้ย
พูดจริงหรือโกหกอยู่ตลอดเวลา //รู้สึกเหมือนโดนผู้กำกับแซะหน่อยๆ)
เรื่องภาพ สวยมาก แสงดี สีดี การใช้สัญลักษณ์แทนความรู้สึกดีมาก
อีกเรื่องที่ติดใจอยู่คือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เหมือนว่าผู้กำกับต้องการถ่ายให้หนังมันดูย้อนยุคหน่อยๆ
แต่เรื่องราวมันก็เกิดในปี 2017 นะ
หรือว่าต้องการสื่อถึงกระบวนการยุติธรรมที่ดูอนุรักษ์นิยม (อันนี้ก็ไม่แน่ใจ)
สมมติฐาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1.เป็นไปได้ไหมที่เด็กคนนั้น(ซากิเอะ)คือลูกเขาจริงๆ?(แต่ตอนไปตามหาลูกมิสึมิที่ฮ
อกไกโด พระเอกไปสถานที่คล้ายๆกับแหล่งรวมตัวสาวนั่งดริ๊งค์
แถมยังบอกว่าลูกของมิสึมิเพิ่งหนีไปหลังจากตำรวจชุดแรกมาสอบถาม
ซึ่งเด็กผู้หญิงก็อยู่ที่เมืองตลอด ไม่ได้มาฮอกไกโด
แล้วก็ไม่น่าจะมาอยู่กับสาวนั่งดริ๊งค์)
2.เด็กผู้หญิง(ซากิเอะ)กับผู้ตาย เป็นพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง ไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ
(ปกติในกรณีพ่อข่มขืนลูก มักเกิดในกรณีพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยง
แม่ก็อาจไม่ใช่แม่แท้ๆด้วย เพราะดูแล้วแม่ไม่ค่อยมีความรักให้ลูก ห่วงตัวเอง
กลัวตัวเองเหงาไม่ได้กลัวลูกไปเรียนไกลแล้วลำบาก
ลูกโดนข่มขืนก็ทำเป็นไม่เห็น)?
3.มิสึมิเป็นคนฆ่าเพียงคนเดียว (ส่วนเหตุผลค่อยมาคุยกันอีกที)
4.มิสึมิกับซากิเอะช่วยกันฆ่า (เหตุผลค่อยว่ากัน)
5.ซากิเอะฆ่า แต่มิสึมิช่วยปกปิด(หรือแค่มีส่วนรู้เห็น เลยรับผิดแทน)
6.แม่จ้างมิสึมิฆ่าสามีตัวเองจริงๆ เพื่อเอาเงินประกัน
(แต่บทสนทนากับลูกมันทำให้คิดว่าไม่ใช่
เพราะซากิเอะเสนอให้แม่บอกความจริงไปเลยว่าไม่ได้จ้างฆ่า
แต่เงิน5แสนนั่นเป็นฆ่าปิดปากเรื่องโกงของโรงงาน)
7.แม่ฆ่า แล้วจ้างมิสึมิรับผิดแทน
8.แม่กับลูกรวมหัวฆ่าพ่อ แล้วเห็นว่ามิสึมิเหมาะกับการเป็นเพะ
เลยจ้างให้รับผิดแทน
9.ซากิเอะร่วมมือกับมิสึมิ ฆ่าพ่อเป็นการแก้แค้นที่ข่มขืนตน
และใส่ร้ายแม่ด้วยอีเมลเพราะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
10.มิสึมิฆ่าคนเดียวเลยเพราะ
โกรธที่ไล่ออก/ขโมยเงิน/โกรธที่ทำกับซากิเอะเพราะมิสึมิเอ็นดูซากิเอะเหมือนลูกตั
วเอง
เป็นหนังที่ใช้สมองเยอะมากจริงๆ "หนังจบคนไม่จบ"
คือเราออกมาจากโรงแล้วปวดสมองส่วนหน้าซีกซ้าย+ปวดหัว+ปวดท้อง+จะอ้วก(ป
วดอุสด้วย) ซึ่งแบบนี่มันอาการของคนมีความเครียด55555555
คือรู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายคือตอนสอบCalculus
แปลว่าหนังเรื่องนี้นี่คือระดับนั้นเลยสำหรับเรา 5555
แนะนำให้ทุกคนวอร์มอัพสมองก่อนไปดูนะฮะ
ไม่ก็ปล่อยให้หนังหลอกเราให้เต็มที่อย่าคิดเยอะไป(เช่นเรา)
ภาพ : 8.5/10
บท : 9/10
นักแสดง : 9.5/10
ความสนุก : (ในด้านคิดตาม) 8/10
(ความบันเทิง เอาสนุก เอาฮา ระทึก) 0.5/10
ภาพรวม : (ถ้าดูแล้วหนังตรงกับความคาดหวัง) 9/10
(ถ้าไปดูแล้วไม่ตรงตามคาดหวัง) 4/10
ถ้าใครดูแล้วก็มาช่วยกันวิเคราะห์ได้นะคะ อยากอ่านความเห็นหลายๆคน
เผื่อได้แลกเปลี่ยนกันๆ คิดต่างเสนอได้นะคะ เรื่องนี้วิเคราะห์สนุกมากจริงๆ
[Spoil]ชวนวิเคราะห์ The Third Murder ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ
วิเคราะห์ The third murder จุดที่รู้สึกแก้ปมไม่ได้
ทำไมต้องฮอกไกโด? (ทุกคนมาจากฮอกไกโด / มีเหตุเกิดที่ฮอกไกโด /
พระเอกเล่นหิมะกับลูกที่ฮอกไกโด)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รีวิวThe Third Murder
เป็นเรื่องราวที่สื่อถึงกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม
พระเอก เป็นทนายความที่ขึ้นชื่อว่าเก่ง
ทำทุกอย่างเพื่อให้คำตัดสินออกมาเป็นแบบที่ตนหรือลูกความต้องการ
โดยไม่ได้สนเลยว่าความจริงที่เกิดขึ้นนั้เป็นอย่างไรกันแน่
แต่พอได้มาเจอกับผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ (มิสึมิ) ทำให้ความเชื่อของเขาสั่นคลอนไป
สำหรับเราแล้ว เราว่าที่หลายๆคนผิดหวังนั้น อาจเป็นเพราะ เรื่องนี้ผิดจาก
"ความคาดหวัง" ไปค่ะ ซึ่งถ้าคุณคาดหวังว่าอยากไปดูหนังแนวสืบสวนสอบสวน
มันส์ๆ ค่อยๆคลายปม ลุ้นๆ ระทึกๆ พลิกล็อคหักมุมโชะๆแน่นอน อาจจะต้องผิดหวัง
หรือถ้าคาดหวังว่า เห้ย อาจจะมาแนว How to get away with murderแนวเอเชีย
เดี๋ยวฉันจะเห็นขั้นตอนการทำงานของทนายอันน่าตื่นเต้นในการพลิกคดีเว้ยเห้ย
ก็อาจจะผิดหวังเช่นกัน
แต่ถ้าคุณต้องการดูหนังชีวิตจริงที่ไม่ได้มีแค่ความสนุกตื่นเต้น
แต่ในสถานการณ์นั้นมันเต็มไปด้วยความสับสน วุ่นวาย ตึงเครียด
ผิดถูกดีชั่วตัดสินไม่ได้ เรื่องนี้เหมาะมาก คือมันจะเป็นแนวชีวิตจริงเลยแล
ทั้งไทม์ไลน์ อารมณ์ คือไม่มีวิ่งไล่คนร้าย สืบคดีจากสารลูมินอลแน่นอนนะ
ทำใจเลย แต่จะมีการหาหลักฐาน หาข้อแก้ต่างเพื่อช่วยลูกความ
จะเชื่อสิ่งที่ลูกความบอกหรือไม่ (คือเราต้องดึงสกิลจากLie to meมาช่วยมากๆ
และแน่นอนว่าเดาผิดกระจาย55555) สำหรับเรานี่มันเป็นหนังที่ไม่เอนเตอร์เทน
แน่นอนว่ามันไม่สนุก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบ หรือหนังไม่ดี
บอกเลยว่าเรารู้สึกว่าหนังดีมากๆ คือมันดีในแง่ของความ"Real"ค่ะ ทั้งอารมณ์
สีหน้า การแสดงออก บท การคิด เหมือนเราเป็นพระเอก โดนหลอกพร้อมกัน
เอาใจช่วยแบบเชื่อเถออะนะๆแล้วเหมือนเราคือพระเอกอะ คือเชื่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกเรื่องคือประเด็นของศาลยุติธรรม ซึ่งจะมีฉากที่ทั้งผู้พิพากษา อัยการ
ทนายมานั่งคุยกันอย่างประนีประนอมทั้งที่หน้าฉากฉะกันอย่างเดือด
ไม่รู้ว่าจริงๆเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ฉากนี้ทำให้เราได้ฉุกคิดว่า
นี่มันศาลหรือเวทีละคร? คือเหมือนเวลาผู้กำกับบรีฟว่า "เอ้าฝ่ายตัวดี
อย่าฉะฝ่ายตัวร้ายมากสิ แหมๆตัวร้าย จะให้ถ่ายใหม่หมดก็ไม่ไหวนา เอาน่ะ
ไปต่อๆ ถึงถ่ายใหม่ผมก็เอาเหมือนเดิมอยู่ดี"
//แอบรู้สึกเหมือนแก๊งค์เมนเทอร์รายการหนึ่งในไทยนิดๆ อิอิ
หรือตอนที่เซ็ทสึบอกว่า เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เรือที่เรียกว่าความยุติธรรม
แต่จะเห็นได้เลยว่าแทบไม่มีใครแคร์ความยุติธรรม
หรือชีวิตของมิสึมิที่จะโดนประหาร รีบตัดสินเพราะเสียเวลา? เสียชื่อเสียง?
ทั้งๆที่ตัดสินโทษประหารไม่ใช่โทษปรับ5บาท 10บาท
นอกจากนี้ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ได้สะท้อนแนวคิดด้าน"เหตุวิสัย"อย่างชัดเจน คือ
เราไม่ได้เลือกที่จะทำสิ่งต่างๆ เราต่างถูกกำหนดไว้แล้วให้ทำสิ่งนั้นๆ
เพราะฉะนั้นการประหารไม่ใช่การลงโทษให้สำนึกผิดบาป
แต่เหมือนการเอาฟันเฟืองที่เสียออกจากนาฬิกาไม่ให้รบกวนส่วนอื่นๆ
นี่คือการเอามิสึมิออกไป จะได้ไม่ออกไปฆ่าใครอีก
มาในแง่เชิงเทคนิคกันบ้าง นักแสดงไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนคือระดับเทพอยู่แล้ว
หากใครติดตามฝั่งญี่ปุ่นอยู่ นักแสดงนำแต่ละคนผ่านละครมาไม่รู้กี่สิบเรื่อง
ยังไม่รวมหนังใหญ่เข้าโรงอีก ประสบการณ์มาเต็มเปี่ยม
ผู้กำกับเองก็คว้ารางวัลมามากมาย และในหนังเรื่องนี้การกำกับภาพ ลำดับภาพ
เขียนบท คือเป็นเลิศ หนังจะดูแล้วรู้สึกเอื่อยๆ ทำไมเวลามันผ่านไปช้าขนาดนี้
มันเป็นเพราะเรื่องดำเนินแบบ Real time สุดๆไปเลย เพิ่มความกดดัน
ความRealของหนังไปอี๊กกกก การแต่งหน้าและคอสตูมที่ไม่เว่อร์เกินไป
(หน้าอัยการนี่ หน้าสดมาก เด็กสาวที่ไม่แต่งหน้าจัดก็ดูน่ารัก สดใส สมวัยดี)
มันทำให้เรารับรู้ เข้าใจ รู้สึก ถึงอารมณ์แบบเหมือนเราเข้าไปอยู่ในนั้นเองได้
รู้สึกอึดอัด หมั่นไส้ หงุดหงิดไปกับพระเอกสุดๆ ในแง่เพลงประกอบ อืมมมม
ไม่ค่อยมีนะ น้อยถึงน้อยที่สุด ทั้งเรื่องดำเนินด้วยบทสนทนาเป็นส่วนมาก
(บอกตามตรงว่าก้มดูซับเยอะเกินไปจนแทบไม่ได้มองหน้าคนสักเท่าไหร่
มันทำให้รู้สึกว่าเห้ยยย ในชีวิตจริงเราก็ทำอย่างงั้นเหมือนกันนะ
ไม่ค่อยมองหน้าคนที่พูดด้วย พยายามจับผิดคนตรงหน้า เห้ย
พูดจริงหรือโกหกอยู่ตลอดเวลา //รู้สึกเหมือนโดนผู้กำกับแซะหน่อยๆ)
เรื่องภาพ สวยมาก แสงดี สีดี การใช้สัญลักษณ์แทนความรู้สึกดีมาก
อีกเรื่องที่ติดใจอยู่คือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สมมติฐาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เป็นหนังที่ใช้สมองเยอะมากจริงๆ "หนังจบคนไม่จบ"
คือเราออกมาจากโรงแล้วปวดสมองส่วนหน้าซีกซ้าย+ปวดหัว+ปวดท้อง+จะอ้วก(ป
วดอุสด้วย) ซึ่งแบบนี่มันอาการของคนมีความเครียด55555555
คือรู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายคือตอนสอบCalculus
แปลว่าหนังเรื่องนี้นี่คือระดับนั้นเลยสำหรับเรา 5555
แนะนำให้ทุกคนวอร์มอัพสมองก่อนไปดูนะฮะ
ไม่ก็ปล่อยให้หนังหลอกเราให้เต็มที่อย่าคิดเยอะไป(เช่นเรา)
ภาพ : 8.5/10
บท : 9/10
นักแสดง : 9.5/10
ความสนุก : (ในด้านคิดตาม) 8/10
(ความบันเทิง เอาสนุก เอาฮา ระทึก) 0.5/10
ภาพรวม : (ถ้าดูแล้วหนังตรงกับความคาดหวัง) 9/10
(ถ้าไปดูแล้วไม่ตรงตามคาดหวัง) 4/10
ถ้าใครดูแล้วก็มาช่วยกันวิเคราะห์ได้นะคะ อยากอ่านความเห็นหลายๆคน
เผื่อได้แลกเปลี่ยนกันๆ คิดต่างเสนอได้นะคะ เรื่องนี้วิเคราะห์สนุกมากจริงๆ