“...หลังวางสายจากแขกผู้เสียหาย ผมโทรไปเล่าถึงหายนะที่พึ่งเกิดขึ้นให้ผู้หญิงข้างกายฟัง พลางทอดถอนใจ เธอพูดกลับมาทันทีว่า "โชคดีมากเลยอ่ะ" ผมนึกว่าหูฝาดไป เพราะนั่นน่าจะเป็นคำสุดท้ายบนโลกนี้ ที่ผมจะนึกถึงในตอนนี้....”
การทำโฮสเทลนั้น น่าจะหนึ่งในธุรกิจที่สร้างมิตรภาพได้ง่ายมากที่สุด ด้วยว่าเราจะได้พบพานกับนักเดินทางมากหน้าหลายตาทุก ๆวันในบรรยากาศที่เป็นใจ และมีระยะเวลาที่เหมาะสม นักเดินทางแทบทุกคนดูจะพกพาเอาความสุข ความฝัน และพลังงานในการเรียนรู้มาเต็มกระเป๋า เธอและเขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับบ้านเมืองใหม่และวัฒนธรรมที่ตนเองไม่คุ้นเคย เปิดโอกาสให้เราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ต่างๆ ได้ไม่รู้จบ
...ทว่าหลายๆ ครั้ง มิตรภาพก็งอกงามขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ชวนใจหายใจคว่ำ สร้างความทรงจำที่มิอาจลืมเลือน...
เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องต้อนรับพายุฝนกระหน่ำเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า กรุงเทพฯ นั้นเป็นเมืองที่ค่อยๆ ขยายตัวเติบโตอย่างไม่ได้มีการวางแผนระบบสาธารณูปโภคไว้รองรับอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้นั้นจมน้ำได้ง่ายอย่างไม่เชื่อ ไม่เว้นแม้แต่ถนนสายสำคัญกลางเมืองทั้งหลาย รวมถึงถนน พหลโยธิน และสถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย อันเป็นที่ตั้งของ adventure hostel
เช้ามืดคืนหนึ่งช่วงกลางเดือน ตุลาคม หลังจากฝนตกหนักอยู่หลายชั่วโมง น้ำก็เริ่มท่วมย่านพหลโยธินสะพานควายแบบเฉียบพลันตอนตี 4 เข้ามาถึงทางเข้าชั้น 1 ที่เป็นจุดวาง locker ของแขก ที่น่าแปลกคือแถวๆ ย่านสะพานควายนั้น ท่วมฝั่งขาออกเมืองอยู่ฝั่งเดียว อีกฝั่งหนึ่งแห้งสนิท ใครบางคนที่อาศัยอยู่แถวนี้มานาน เคยตั้งข้อสังเกตให้ผมฟังว่า ช่วงหลังจากที่เริ่มมีคอนโดมิเนียมมาเปิดในย่านสะพานควายหลายต่อหลายตึกมากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งด้านขาออกนอกเมือง อาจจะมีผลต่อการขัดขวางการระบายน้ำ ทั้งๆ ที่ย่านนี้ น้ำไม่ท่วมเลยในช่วงปี 2554
เนื่องจาก adventure hostel ไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง กว่าทีมงานจะทราบว่าน้ำท่วม ก็เอาตอนเกือบ 7 โมงเช้า น้องๆ รีบย้ายข้าวของขึ้นที่สูง แต่มีอยู่ locker หนึ่งที่ล๊อคอยู่ ต้องมีของข้างในนั้นแน่นอน ได้แต่นึกภาวนาว่า จะไม่มีของมีค่าใดๆ ในนั้น
เหล่า adventurers ต่างก็ปลุกปล้ำกับน้ำท่วมอยู่เกือบ 3 -4 ชั่วโมง ช่วยกันวิดน้ำ น้ำก็ระบายออกหมด ลดแห้งสนิท สักพักใหญ่ๆ เกือบ 11 โมงแล้ว แขกหนุ่มหน้าตา asia แต่พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันปร๋อ เจ้าของ locker ที่ปิดล๊อคก็ตื่นพอดี พวกเรารีบแจ้งให้เค้าลงมาดูทรัพย์สิน เจ้าตัวรีบลงมาเปิด locker แบบงัวเงีย โดยไม่รู้สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะน้ำแห้ง จนดูไม่ออกว่าเมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน บริเวณนี้น้ำท่วมเป็นคืบหมดแล้ว
เจ้าหนุ่มอเมริกันค่อยๆ ทยอย รื้อของออกมาให้ดูทีละชิ้น อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือโลหะ หลายต่อหลายชิ้น ที่พวกเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เจ้าตัวเริ่มงงว่าทำไมข้าวของเปียกชุ่มไปหมด พลางสบถไปด้วยความหงุดหงิด สุดท้ายพี่เค้าหยิบเอา ipad และ mac book pro 15 นิ้ว ออกมา มีน้ำไหลจ๊อกออกมาจาก mac book pro เหมือนฟองน้ำที่อมน้ำอยู่เต็มปรี่ ทีมงานใบ้รับประทานขึ้นมากระทันหัน แขกเริ่มโวยวาย และเรียกร้องให้หา macbook pro เครื่องใหม่ให้เค้า น้องๆ ทีมงานรีบโทรหาผม พร้อมส่งสายให้คุย เพราะเป็นความเสียหายเกินกว่าจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
แค่ได้เริ่มคุย ผมก็รู้ว่าแขกหงุดหงิดมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ผมถามเค้าในเบื้องต้นก่อนว่า มีประกันภัยการเดินทางครั้งนี้หรือเปล่า เจ้าตัวตอบกลับห้วนๆ ว่าไม่ได้ทำ ผมรีบเสนอ upgrade ห้องให้เค้าไปอยู่ห้องส่วนตัวก่อนตลอดช่วงเวลาที่เค้าพักที่นี่ แล้วขอนัดทานข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อหาทางออกร่วมกัน ท่าทีเจ้าตัวเริ่มผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย
วางสายจากแขกผู้เสียหาย ผมโทรไปเล่าถึงหายนะที่พึ่งเกิดขึ้น ให้ผู้หญิงข้างกายฟัง พลางทอดถอนใจ เธอพูดกลับมาทันทีว่า "โชคดีมากเลยอ่ะ" ผมนึกว่าหูฝาดไป เพราะนั่นน่าจะเป็นคำสุดท้ายบนโลกนี้ ที่ผมจะนึกถึงในตอนนี้ เลยถามกลับไปแบบงงๆ ว่าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เธอตอบกลับมาเสียงใสว่า "โชคดีที่เราอยู่ชั้นสองไง ถ้าเราอยู่ชั้นหนึ่ง สงสัยจะเสียหายกว่านี้เยอะ"
ผมหัวเราะกร๊ากออกมาลั่นโทรศัพท์....เอ่อ คือมันจะมองมุมนั้น มันก็ได้เหมือนกันอ่ะนะ....แต่ก็นะ...ใช้ชีวิตข้างๆ ผู้หญิงโลกสวยมันดีอย่างนี้ นี่เอง น้ำท่วมป่ามิดจมูกแล้ว แต่คุณเธอยังวิ่งหัวเราะหน้าบานฝ่าทุ่งลาเวนเดอร์มาหากูได้เสียนี่
เมื่อได้วิธีมองโลกในมุมกลับจากภรรยาสาว ผมเลยพยายามปรับวิธีคิด และมองปัญหาในมุมใหม่ ว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรนัก และนั่งใคร่ครวญหาวิธีจัดการกับสถานการณ์นี้ให้ได้
ราคาค่าที่พักของโฮสเทลนั้น เริ่มต้นที่ 390 / 490 / 590 ต่อเตียง สนนราคาเพียงเท่านี้ หากจะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายในระดับหลักแสน คงเป็นเรื่องที่ไม่สู้จะสมเหตุสมผลนัก แต่จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์และมูลค่าของธุรกิจ และที่สำคัญที่สุด คือให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับมันได้?
พลบค่ำมื้อเย็น ผมไปเจอหนุ่มอเมริกันตามนัด เค้าแนะนำตัวว่าชื่อ Todd พี่แกมีรอยสักลวดลาย geometrical graphic เต็มพรืดทั้งตัว ทำให้ผมรู้สึกฉงนสนเท่ห์ พร้อมกับหนาวๆ ร้อนๆ ไปกับภาพลักษณ์ของพ่อหนุ่ม punk rock เราไปทานร้านอาหารทะเลเจ้าดังใกล้ๆ ที่พัก
Todd เป็นคนเปิดเผยเรื่องส่วนตัว มากเกินกว่ามาตรฐานทั่วไปของคนที่พึ่งเคยเจอกันครั้งแรก คุยกันได้ไม่นานก็ถูกคอเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เค้าเป็นคนเกาหลีที่ชะตาชีวิตชักพาให้ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 6 เดือน และเรียนหนังสือ เติบโตและทำงานที่นั่น ปัจจุบัน เค้าทำงานเป็นช่างสัก Tattoo Artist อยู่ที่ Brooklyn New York
ด้วยความที่พึ่งเลิกกับแฟนสาวอินดี้ได้ไม่นาน ทำให้รู้สึกเหมือนถูก Knock Out คาเวที รู้สึกอยากออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต จึงตัดสินใจมาท่องเที่ยวที่ Southeast Asia โดยตั้งใจว่าจะทำงานเป็นช่างสักพร้อมกับ ท่องเที่ยวในแถบนี้ไปด้วย สัก 2-3 ปี ผมเริ่มเดาได้ว่า ไอ้พวกเครื่องมือโลหะที่โดนน้ำท่วมนั้น คงเป็นอุปกรณ์สักเป็นแน่
เรื่องการสักตามร่างกายนี่ เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ผมเคยได้นั่งคุยกับแขกของ adventure hostel หลายคนที่หลงใหลการสักตามร่างกาย หลายคนสักรูปสัตว์เลี้ยงของตนที่จากไป บ้างก็เป็นชื่อของพ่อแม่ ใครอีกหลายคนสักคำคมไว้เตือนใจตนเอง
ครั้งหนึ่งเคยมีแขกสาวชาวรัสเซียมาเที่ยวกัน 2 คน พวกเธอหลงรักเมืองไทยมากจนอยากจะจารึกความทรงจำสุดพิเศษเอาไว้บนร่างกาย สองสาวถึงกับคะยั้นคะยอให้ผมช่วยแนะนำว่าจะสักคำภาษาไทย ที่แสดงถึงปรัชญาชีวิตแบบไทยๆ ที่ให้ความหมายของชีวิตที่ดี ออกมา ผมทนเสียงรบเร้าไม่ไหว นั่งนึกๆอยู่ตลอดบ่าย ก่อนจะเขียนไปให้เค้าว่า “อยู่เย็น เป็นสุข” ไม่กี่วันต่อมา ผมเห็นรอยสักภาษาไทยสองคำนี้ แยกกันอยู่ ที่แขนของสองสาวอย่างละคำ ราวกับจะประกาศให้โลกรู้ว่ามิตรภาพจะล่ามร้อยเราทั้งสองเอาไว้เป็นหนึ่งเดียว โดยไม่มีวันพรากจากกัน
ผมกับ Todd คุยเรื่องสัพเพเหระ เกี่ยวกับชีวิต ความฝัน และการเดินทางกันอยู่นานหลายชั่วโมง หันไปรอบๆ อีกที กลายเป็นโต๊ะสุดท้ายของร้านเสียแล้ว คุยกันออกทะเลไปเสียนาน ผมเลยเริ่มพายเรือกลับมาหาต้นเหตุของอาหารมื้อนี้ ผมเปิดฉากสรุปเข้าเรื่อง ถึงแนวทางการแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมกับเอารูปถ่ายสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพ จากสำนักข่าวต่างๆ ให้เจ้าตัวดู
ผมเล่าต่อให้เค้าฟังว่า ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมตามธรรมชาติ เมื่อเช้านั้นเป็น "ภัยธรรมชาติ" ที่บริษัทประกันภัยการเดินทางจัดให้อยู่ในระดับเดียวกันกับ "สงครามกลางเมือง" และ "การก่อการร้าย" ซึ่งแม้แต่ประกันการเดินทางปรกติ ก็ยังไม่ครอบคลุมกับความเสียหายดังกล่าว ซึ่งถ้าจะพูดกันตามกฎหมายแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายแต่อย่างใด (ตรงนี้ผมได้เช็คกับทางการท่องเที่ยวฯ แล้ว)
...แต่อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ผมเห็นว่าเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของผมคนหนึ่ง...
ผมนิ่งไปสักพักเพื่อดูท่าที ก่อนจะ offer ไปว่า ยังไงเค้าก็มีแผนจะอยู่กรุงเทพนานพอสมควร ผมอยากให้เค้าคิดว่ามาพักอยู่ที่ adventure hostel เหมือนมาพักบ้านเพื่อนเค้า ผมจะไม่คิดค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่เหลือ
และจากฝีมือช่างสักของเขา ซึ่งผมชื่นชอบมากเป็นการส่วนตัว แม้ผมจะไม่เคยคิดสักมาก่อน แต่หากจะต้องสักลวดลายอะไรผมก็คิดว่าคงจะสักแบบนี้แหละ มันเป็นรอยสักที่มีความแตกต่างจาก รอยสัก แนว realistic หรือ Gothic แบบที่เราเคยเห็นโดยทั่วไป (เช่น ของ Beckham) ผมเลย offer เค้าไปเพิ่มเติม ให้เค้าสามารถวาง portfolio ผลงานสักของเค้าได้ หากมีลูกค้า ก็ให้ใช้ adventure hostel เป็น studio ไปได้เลย แล้วค่อยมาแบ่งผลประโยชน์กันตามความเหมาะสม
หลังจาก offer 2 ข้อเสนอนี้ไป หนุ่ม Todd อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขอบคุณ ตอบรับน้ำใจที่ผมหยิบยื่นให้ด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างยิ่ง ผมรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาผ่านพ้นไปได้โดยทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ก่อนแวะกลับไปที่โฮสเทล ผมซื้อข้าวสารมา 2 ถุง มาเทท่วมทับถม macbook pro พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ website หลายแห่งแนะนำ เรากล่าวคำร่ำลากัน พร้อมกับมิตรภาพใหม่ๆ ที่พึ่งงอกงามขึ้น
(ภาพข้างบน คือข้าวสาร 2 ถุงใหญ่ ที่เอามาเททับ mcbook pro และวัสดุอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ต่างๆ เพื่อดูดความชื้น)
ดอกบัวงอกงามขึ้นจากโคลนตมได้ฉันใด มิตรภาพใหม่ๆ ก็อาจงอกงามได้จากหายนะได้เช่นกัน ผมนึกดีใจที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ครั้งนี้ได้แบบใจหายใจคว่ำ เป็นบทเรียนครั้งหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าการเจรจาแบบใช้ความเป็นมนุษย์หันหน้าเข้าหากันนั้นสามารถทำให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิตได้เสมอ
...แต่หากจะขอร้องอะไรกับชีวิตได้บ้างในครั้งหน้า ก็อยากขอให้มิตรภาพมันมาแบบอนุรักษ์นิยมกว่านี้สักหน่อย ก็คงจะดีนะ...
:::HOMELESS 04 : วิกฤตน้ำท่วม และความเป็นไปได้ของมิตรภาพใหม่ๆ ในโฮสเทล:::
การทำโฮสเทลนั้น น่าจะหนึ่งในธุรกิจที่สร้างมิตรภาพได้ง่ายมากที่สุด ด้วยว่าเราจะได้พบพานกับนักเดินทางมากหน้าหลายตาทุก ๆวันในบรรยากาศที่เป็นใจ และมีระยะเวลาที่เหมาะสม นักเดินทางแทบทุกคนดูจะพกพาเอาความสุข ความฝัน และพลังงานในการเรียนรู้มาเต็มกระเป๋า เธอและเขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับบ้านเมืองใหม่และวัฒนธรรมที่ตนเองไม่คุ้นเคย เปิดโอกาสให้เราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ต่างๆ ได้ไม่รู้จบ
...ทว่าหลายๆ ครั้ง มิตรภาพก็งอกงามขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ชวนใจหายใจคว่ำ สร้างความทรงจำที่มิอาจลืมเลือน...
เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องต้อนรับพายุฝนกระหน่ำเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า กรุงเทพฯ นั้นเป็นเมืองที่ค่อยๆ ขยายตัวเติบโตอย่างไม่ได้มีการวางแผนระบบสาธารณูปโภคไว้รองรับอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้นั้นจมน้ำได้ง่ายอย่างไม่เชื่อ ไม่เว้นแม้แต่ถนนสายสำคัญกลางเมืองทั้งหลาย รวมถึงถนน พหลโยธิน และสถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย อันเป็นที่ตั้งของ adventure hostel
เช้ามืดคืนหนึ่งช่วงกลางเดือน ตุลาคม หลังจากฝนตกหนักอยู่หลายชั่วโมง น้ำก็เริ่มท่วมย่านพหลโยธินสะพานควายแบบเฉียบพลันตอนตี 4 เข้ามาถึงทางเข้าชั้น 1 ที่เป็นจุดวาง locker ของแขก ที่น่าแปลกคือแถวๆ ย่านสะพานควายนั้น ท่วมฝั่งขาออกเมืองอยู่ฝั่งเดียว อีกฝั่งหนึ่งแห้งสนิท ใครบางคนที่อาศัยอยู่แถวนี้มานาน เคยตั้งข้อสังเกตให้ผมฟังว่า ช่วงหลังจากที่เริ่มมีคอนโดมิเนียมมาเปิดในย่านสะพานควายหลายต่อหลายตึกมากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งด้านขาออกนอกเมือง อาจจะมีผลต่อการขัดขวางการระบายน้ำ ทั้งๆ ที่ย่านนี้ น้ำไม่ท่วมเลยในช่วงปี 2554
เนื่องจาก adventure hostel ไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง กว่าทีมงานจะทราบว่าน้ำท่วม ก็เอาตอนเกือบ 7 โมงเช้า น้องๆ รีบย้ายข้าวของขึ้นที่สูง แต่มีอยู่ locker หนึ่งที่ล๊อคอยู่ ต้องมีของข้างในนั้นแน่นอน ได้แต่นึกภาวนาว่า จะไม่มีของมีค่าใดๆ ในนั้น
เหล่า adventurers ต่างก็ปลุกปล้ำกับน้ำท่วมอยู่เกือบ 3 -4 ชั่วโมง ช่วยกันวิดน้ำ น้ำก็ระบายออกหมด ลดแห้งสนิท สักพักใหญ่ๆ เกือบ 11 โมงแล้ว แขกหนุ่มหน้าตา asia แต่พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันปร๋อ เจ้าของ locker ที่ปิดล๊อคก็ตื่นพอดี พวกเรารีบแจ้งให้เค้าลงมาดูทรัพย์สิน เจ้าตัวรีบลงมาเปิด locker แบบงัวเงีย โดยไม่รู้สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะน้ำแห้ง จนดูไม่ออกว่าเมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน บริเวณนี้น้ำท่วมเป็นคืบหมดแล้ว
เจ้าหนุ่มอเมริกันค่อยๆ ทยอย รื้อของออกมาให้ดูทีละชิ้น อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือโลหะ หลายต่อหลายชิ้น ที่พวกเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เจ้าตัวเริ่มงงว่าทำไมข้าวของเปียกชุ่มไปหมด พลางสบถไปด้วยความหงุดหงิด สุดท้ายพี่เค้าหยิบเอา ipad และ mac book pro 15 นิ้ว ออกมา มีน้ำไหลจ๊อกออกมาจาก mac book pro เหมือนฟองน้ำที่อมน้ำอยู่เต็มปรี่ ทีมงานใบ้รับประทานขึ้นมากระทันหัน แขกเริ่มโวยวาย และเรียกร้องให้หา macbook pro เครื่องใหม่ให้เค้า น้องๆ ทีมงานรีบโทรหาผม พร้อมส่งสายให้คุย เพราะเป็นความเสียหายเกินกว่าจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
แค่ได้เริ่มคุย ผมก็รู้ว่าแขกหงุดหงิดมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ผมถามเค้าในเบื้องต้นก่อนว่า มีประกันภัยการเดินทางครั้งนี้หรือเปล่า เจ้าตัวตอบกลับห้วนๆ ว่าไม่ได้ทำ ผมรีบเสนอ upgrade ห้องให้เค้าไปอยู่ห้องส่วนตัวก่อนตลอดช่วงเวลาที่เค้าพักที่นี่ แล้วขอนัดทานข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อหาทางออกร่วมกัน ท่าทีเจ้าตัวเริ่มผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย
วางสายจากแขกผู้เสียหาย ผมโทรไปเล่าถึงหายนะที่พึ่งเกิดขึ้น ให้ผู้หญิงข้างกายฟัง พลางทอดถอนใจ เธอพูดกลับมาทันทีว่า "โชคดีมากเลยอ่ะ" ผมนึกว่าหูฝาดไป เพราะนั่นน่าจะเป็นคำสุดท้ายบนโลกนี้ ที่ผมจะนึกถึงในตอนนี้ เลยถามกลับไปแบบงงๆ ว่าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เธอตอบกลับมาเสียงใสว่า "โชคดีที่เราอยู่ชั้นสองไง ถ้าเราอยู่ชั้นหนึ่ง สงสัยจะเสียหายกว่านี้เยอะ"
ผมหัวเราะกร๊ากออกมาลั่นโทรศัพท์....เอ่อ คือมันจะมองมุมนั้น มันก็ได้เหมือนกันอ่ะนะ....แต่ก็นะ...ใช้ชีวิตข้างๆ ผู้หญิงโลกสวยมันดีอย่างนี้ นี่เอง น้ำท่วมป่ามิดจมูกแล้ว แต่คุณเธอยังวิ่งหัวเราะหน้าบานฝ่าทุ่งลาเวนเดอร์มาหากูได้เสียนี่ เมื่อได้วิธีมองโลกในมุมกลับจากภรรยาสาว ผมเลยพยายามปรับวิธีคิด และมองปัญหาในมุมใหม่ ว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรนัก และนั่งใคร่ครวญหาวิธีจัดการกับสถานการณ์นี้ให้ได้
ราคาค่าที่พักของโฮสเทลนั้น เริ่มต้นที่ 390 / 490 / 590 ต่อเตียง สนนราคาเพียงเท่านี้ หากจะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายในระดับหลักแสน คงเป็นเรื่องที่ไม่สู้จะสมเหตุสมผลนัก แต่จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์และมูลค่าของธุรกิจ และที่สำคัญที่สุด คือให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับมันได้?
พลบค่ำมื้อเย็น ผมไปเจอหนุ่มอเมริกันตามนัด เค้าแนะนำตัวว่าชื่อ Todd พี่แกมีรอยสักลวดลาย geometrical graphic เต็มพรืดทั้งตัว ทำให้ผมรู้สึกฉงนสนเท่ห์ พร้อมกับหนาวๆ ร้อนๆ ไปกับภาพลักษณ์ของพ่อหนุ่ม punk rock เราไปทานร้านอาหารทะเลเจ้าดังใกล้ๆ ที่พัก
Todd เป็นคนเปิดเผยเรื่องส่วนตัว มากเกินกว่ามาตรฐานทั่วไปของคนที่พึ่งเคยเจอกันครั้งแรก คุยกันได้ไม่นานก็ถูกคอเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เค้าเป็นคนเกาหลีที่ชะตาชีวิตชักพาให้ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 6 เดือน และเรียนหนังสือ เติบโตและทำงานที่นั่น ปัจจุบัน เค้าทำงานเป็นช่างสัก Tattoo Artist อยู่ที่ Brooklyn New York
ด้วยความที่พึ่งเลิกกับแฟนสาวอินดี้ได้ไม่นาน ทำให้รู้สึกเหมือนถูก Knock Out คาเวที รู้สึกอยากออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต จึงตัดสินใจมาท่องเที่ยวที่ Southeast Asia โดยตั้งใจว่าจะทำงานเป็นช่างสักพร้อมกับ ท่องเที่ยวในแถบนี้ไปด้วย สัก 2-3 ปี ผมเริ่มเดาได้ว่า ไอ้พวกเครื่องมือโลหะที่โดนน้ำท่วมนั้น คงเป็นอุปกรณ์สักเป็นแน่
เรื่องการสักตามร่างกายนี่ เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ผมเคยได้นั่งคุยกับแขกของ adventure hostel หลายคนที่หลงใหลการสักตามร่างกาย หลายคนสักรูปสัตว์เลี้ยงของตนที่จากไป บ้างก็เป็นชื่อของพ่อแม่ ใครอีกหลายคนสักคำคมไว้เตือนใจตนเอง
ครั้งหนึ่งเคยมีแขกสาวชาวรัสเซียมาเที่ยวกัน 2 คน พวกเธอหลงรักเมืองไทยมากจนอยากจะจารึกความทรงจำสุดพิเศษเอาไว้บนร่างกาย สองสาวถึงกับคะยั้นคะยอให้ผมช่วยแนะนำว่าจะสักคำภาษาไทย ที่แสดงถึงปรัชญาชีวิตแบบไทยๆ ที่ให้ความหมายของชีวิตที่ดี ออกมา ผมทนเสียงรบเร้าไม่ไหว นั่งนึกๆอยู่ตลอดบ่าย ก่อนจะเขียนไปให้เค้าว่า “อยู่เย็น เป็นสุข” ไม่กี่วันต่อมา ผมเห็นรอยสักภาษาไทยสองคำนี้ แยกกันอยู่ ที่แขนของสองสาวอย่างละคำ ราวกับจะประกาศให้โลกรู้ว่ามิตรภาพจะล่ามร้อยเราทั้งสองเอาไว้เป็นหนึ่งเดียว โดยไม่มีวันพรากจากกัน
ผมกับ Todd คุยเรื่องสัพเพเหระ เกี่ยวกับชีวิต ความฝัน และการเดินทางกันอยู่นานหลายชั่วโมง หันไปรอบๆ อีกที กลายเป็นโต๊ะสุดท้ายของร้านเสียแล้ว คุยกันออกทะเลไปเสียนาน ผมเลยเริ่มพายเรือกลับมาหาต้นเหตุของอาหารมื้อนี้ ผมเปิดฉากสรุปเข้าเรื่อง ถึงแนวทางการแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมกับเอารูปถ่ายสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพ จากสำนักข่าวต่างๆ ให้เจ้าตัวดู
ผมเล่าต่อให้เค้าฟังว่า ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมตามธรรมชาติ เมื่อเช้านั้นเป็น "ภัยธรรมชาติ" ที่บริษัทประกันภัยการเดินทางจัดให้อยู่ในระดับเดียวกันกับ "สงครามกลางเมือง" และ "การก่อการร้าย" ซึ่งแม้แต่ประกันการเดินทางปรกติ ก็ยังไม่ครอบคลุมกับความเสียหายดังกล่าว ซึ่งถ้าจะพูดกันตามกฎหมายแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายแต่อย่างใด (ตรงนี้ผมได้เช็คกับทางการท่องเที่ยวฯ แล้ว)
...แต่อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ผมเห็นว่าเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของผมคนหนึ่ง...
ผมนิ่งไปสักพักเพื่อดูท่าที ก่อนจะ offer ไปว่า ยังไงเค้าก็มีแผนจะอยู่กรุงเทพนานพอสมควร ผมอยากให้เค้าคิดว่ามาพักอยู่ที่ adventure hostel เหมือนมาพักบ้านเพื่อนเค้า ผมจะไม่คิดค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่เหลือ
และจากฝีมือช่างสักของเขา ซึ่งผมชื่นชอบมากเป็นการส่วนตัว แม้ผมจะไม่เคยคิดสักมาก่อน แต่หากจะต้องสักลวดลายอะไรผมก็คิดว่าคงจะสักแบบนี้แหละ มันเป็นรอยสักที่มีความแตกต่างจาก รอยสัก แนว realistic หรือ Gothic แบบที่เราเคยเห็นโดยทั่วไป (เช่น ของ Beckham) ผมเลย offer เค้าไปเพิ่มเติม ให้เค้าสามารถวาง portfolio ผลงานสักของเค้าได้ หากมีลูกค้า ก็ให้ใช้ adventure hostel เป็น studio ไปได้เลย แล้วค่อยมาแบ่งผลประโยชน์กันตามความเหมาะสม
หลังจาก offer 2 ข้อเสนอนี้ไป หนุ่ม Todd อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขอบคุณ ตอบรับน้ำใจที่ผมหยิบยื่นให้ด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างยิ่ง ผมรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาผ่านพ้นไปได้โดยทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ก่อนแวะกลับไปที่โฮสเทล ผมซื้อข้าวสารมา 2 ถุง มาเทท่วมทับถม macbook pro พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ website หลายแห่งแนะนำ เรากล่าวคำร่ำลากัน พร้อมกับมิตรภาพใหม่ๆ ที่พึ่งงอกงามขึ้น
(ภาพข้างบน คือข้าวสาร 2 ถุงใหญ่ ที่เอามาเททับ mcbook pro และวัสดุอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ต่างๆ เพื่อดูดความชื้น)
ดอกบัวงอกงามขึ้นจากโคลนตมได้ฉันใด มิตรภาพใหม่ๆ ก็อาจงอกงามได้จากหายนะได้เช่นกัน ผมนึกดีใจที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ครั้งนี้ได้แบบใจหายใจคว่ำ เป็นบทเรียนครั้งหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าการเจรจาแบบใช้ความเป็นมนุษย์หันหน้าเข้าหากันนั้นสามารถทำให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิตได้เสมอ
...แต่หากจะขอร้องอะไรกับชีวิตได้บ้างในครั้งหน้า ก็อยากขอให้มิตรภาพมันมาแบบอนุรักษ์นิยมกว่านี้สักหน่อย ก็คงจะดีนะ...