คือผมป่วยเป็นผู้ติดเชื้อHIVอยู่แล้วและรับการรักษาต่อเนื่องมาแล้ว3ปีกับรพ.ประกันสังคมต้นสังกัด
อาการดีขึ้นเรื่อยๆ รับยาต้านทุกครั้ง จนมาถึง ต้นเดือนตุลาคม60
เกิดก้อนเล็กๆ ตรงก้น ตอนแรกนึกว่าเป็นริดสีดวง จึงไปหาหมอที่รพ.ที่ประกันตนไว้
ทางหมอได้ตัดชื้นส่วนไปย้อมสี และพบว่าตัวเองเป็นก้อนเนื้องอกพร้อมกับข่าวร้ายอีกว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ทางรพ.ต้นสังกัดจึงส่งตัวผมไปที่รพ.แห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับมะเร็งโดยเฉพาะ ให้ทำการรักษาต่อเนื่อง
ผมได้พบหมอคนแรกที่ตรวจดูอาการ เป็นหมอสำหรับผู้ป่วยส่งต่อ ซึ่งตอนนั้นกว่าจะดำเนินการก็เกือบ
1 เดือนกว่า ก้อนเริ่มโตอย่างเห็นได้ชัดแต่ไม่รู้สึกเจ็บ หมอบอกว่า มันโตเกือบ 10 ซม.
ทางคุณหมอเลยส่งไปที่แผนกเคมีบับัด กว่าจะได้คิวนัดก็เป็นวันนี้พอดี 30พย.60 รวมแล้ว 2 เดือน
ช่างเวลานั้นผมต้องใส่ผ้าอนามัย และล้างแผลทุกเช้าเย็น ทรมานมากเพราะเริ่มมีนำ้เหลืองและเลือดออกมาตลอด
วันนี้พบกับหมออีกคนที่ทำการนัด ท่านได้มองเอกสารแล้วมองหน้าเกือบ 5 นาทีโดยไม่พูดอะไรเลย
ช่วงนั้นผมกังวลมากแต่ยังดีมีน้องเข้าไปฟังผลการรักษาด้วย และอีกใจคือทำใจแล้วว่า ต้องมีการใช้เคมีและฉายแสง
แต่คำพูดแรกที่ได้ยินจากปากคุณหมอ คือ ตายนะ คำพูดนี้มันก้องอยู่ในหัวผมตลอดเลย มือไม้สั่นน้ำตาคลอ
แล้วหมอก็พูดอีกว่า "ทำใจได้นะ 2-3 เดือนนี้ จะปล่อยไม่ต้องให้เคมีหรือจะให้เคมีก็ตายอยู่ดี "
"หมอเจอเคสนี้มาเยอะ" ผมเลยตอบว่า"ขอรับเคมีครับ ยังไงก็ขอให้ได้รักษา"
ในใจผมคิดว่าหมอเขาจิตวิทยากับผมอยู่หรือเปล่า แต่อีกใจก็เสียใจที่ท่านไม่ให้กำลังใจบ้างเลย
หมอเลยให้ผมไปทำ ทีซีแสกนอีกครั้งว่าผลเป็นไง แล้วกลับมาให้เคมีและรับการรักษา
ผมเลยต้องกลับมาที่รพ.ต้นสังกัดเพื่อทำทีซีแสกน ได้วันทีซี กลางเดือนธันวา สรุป ผมต้องทนกับก้อนนี้อีกครึ่งเดือน เฮ้อ...
ยังดีที่ผมมีกำลังใจและคนรอบข้างก็คอยให้กำลังใจด้วย
อยาากทราบว่า หมอทุกคนพูดยังงี้กับคนไข้ทุกคนไหม ?
คิดในแง่บวกว่า คงวัดใจคนไข้ของตัวเองดูว่าเข้มแข็งหรือป่าวมั้ง
กับการรับคำปรึกษาและวางแผนครั้งแรกกับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ทำให้จุก พูดไม่ออกเลย
อาการดีขึ้นเรื่อยๆ รับยาต้านทุกครั้ง จนมาถึง ต้นเดือนตุลาคม60
เกิดก้อนเล็กๆ ตรงก้น ตอนแรกนึกว่าเป็นริดสีดวง จึงไปหาหมอที่รพ.ที่ประกันตนไว้
ทางหมอได้ตัดชื้นส่วนไปย้อมสี และพบว่าตัวเองเป็นก้อนเนื้องอกพร้อมกับข่าวร้ายอีกว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ทางรพ.ต้นสังกัดจึงส่งตัวผมไปที่รพ.แห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับมะเร็งโดยเฉพาะ ให้ทำการรักษาต่อเนื่อง
ผมได้พบหมอคนแรกที่ตรวจดูอาการ เป็นหมอสำหรับผู้ป่วยส่งต่อ ซึ่งตอนนั้นกว่าจะดำเนินการก็เกือบ
1 เดือนกว่า ก้อนเริ่มโตอย่างเห็นได้ชัดแต่ไม่รู้สึกเจ็บ หมอบอกว่า มันโตเกือบ 10 ซม.
ทางคุณหมอเลยส่งไปที่แผนกเคมีบับัด กว่าจะได้คิวนัดก็เป็นวันนี้พอดี 30พย.60 รวมแล้ว 2 เดือน
ช่างเวลานั้นผมต้องใส่ผ้าอนามัย และล้างแผลทุกเช้าเย็น ทรมานมากเพราะเริ่มมีนำ้เหลืองและเลือดออกมาตลอด
วันนี้พบกับหมออีกคนที่ทำการนัด ท่านได้มองเอกสารแล้วมองหน้าเกือบ 5 นาทีโดยไม่พูดอะไรเลย
ช่วงนั้นผมกังวลมากแต่ยังดีมีน้องเข้าไปฟังผลการรักษาด้วย และอีกใจคือทำใจแล้วว่า ต้องมีการใช้เคมีและฉายแสง
แต่คำพูดแรกที่ได้ยินจากปากคุณหมอ คือ ตายนะ คำพูดนี้มันก้องอยู่ในหัวผมตลอดเลย มือไม้สั่นน้ำตาคลอ
แล้วหมอก็พูดอีกว่า "ทำใจได้นะ 2-3 เดือนนี้ จะปล่อยไม่ต้องให้เคมีหรือจะให้เคมีก็ตายอยู่ดี "
"หมอเจอเคสนี้มาเยอะ" ผมเลยตอบว่า"ขอรับเคมีครับ ยังไงก็ขอให้ได้รักษา"
ในใจผมคิดว่าหมอเขาจิตวิทยากับผมอยู่หรือเปล่า แต่อีกใจก็เสียใจที่ท่านไม่ให้กำลังใจบ้างเลย
หมอเลยให้ผมไปทำ ทีซีแสกนอีกครั้งว่าผลเป็นไง แล้วกลับมาให้เคมีและรับการรักษา
ผมเลยต้องกลับมาที่รพ.ต้นสังกัดเพื่อทำทีซีแสกน ได้วันทีซี กลางเดือนธันวา สรุป ผมต้องทนกับก้อนนี้อีกครึ่งเดือน เฮ้อ...
ยังดีที่ผมมีกำลังใจและคนรอบข้างก็คอยให้กำลังใจด้วย
อยาากทราบว่า หมอทุกคนพูดยังงี้กับคนไข้ทุกคนไหม ?
คิดในแง่บวกว่า คงวัดใจคนไข้ของตัวเองดูว่าเข้มแข็งหรือป่าวมั้ง