ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเพิ่มเครื่องหมาย "C"
Caution)บนกระดานหุ้น เตือนให้ระวังการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงฐานะการเงิน- ปัญหาภายใน คาดเริ่มบังคับใช้ปีหน้า ชี้หากหุ้นตัวใดติดเครื่องหมาย "C" จะติดแคชบาลานซ์อัตโนมัติ ด้าน ก.ล.ต.พร้อมทำคู่มือให้ผู้บริหารบจ.เปิดเผยข้อมูลกับนักลงทุน ช่วง Q1/61 ชี้นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างรอบคอบ ด้านบจ.ยกมือหนุนชี้เป็นเรื่องดี เพราะช่วยกรองหุ้นให้ละเอียดมากขึ้น
*** จ่อเพิ่มเครื่องหมาย "C" ให้หุ้นที่มีปัญหาการเงินภายใน
นางสิริวิภา สุพรรณธเนศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. มีแนวคิดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลความคิดเห็นกรรมการบริษัทแบบรายบุคคล ในประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญของบริษัท เช่น การเข้าซื้อกิจการ การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือในประเด็นที่ต้องให้ผู้ถือหุ้นเป็นผู้อนุมัติ เพื่อจะให้นักลงทุนมีข้อมูลความคิดเห็นที่หลากหลาย หากมีกรรมการไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วย และจะสามารถเป็นหนึ่งในเครื่องมือตรวจสอบหากมีการกระทำผิดหรือทุจริตได้ในระยะต่อไป
ส่วนมาตรการเตือนผู้ลงทุน ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ปิดรับฟังความคิดเห็นแล้ว คาดจะบังคับใช้ภายในปี 61 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย C หรือ Caution เพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนว่าบริษัทจดทะเบียนนี้ต้องระมัดระวังการลงทุน โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาขึ้นเครื่องหมาย เช่น บริษัทที่ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงต่ำกว่า 50% , บริษัทที่ยื่นเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ , ถูกจำกัดการทำธุรกิจ , ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นเรื่องงบการเงิน และถูก ก.ล.ต. สั่งให้ทำ Special Audit
โดยบริษัทที่ถูกขึ้นเครื่องหมายจะสามารถซื้อขายได้เฉพาะบัญชี Cash Balance และต้องชี้แจงข้อมูลให้กับผู้ถือหุ้นรับทราบ
***คาดทำคู่มือเสร็จช่วง Q1/61
ก.ล.ต. มีแผนจัดทำคู่มือสำหรับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้กับนักลงทุน เพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลภายในที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจอยู่พอสมควร ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดทำแล้วเสร็จ ช่วงไตรมาสแรกปี 61
?อย่างไรก็ดี ก่อนบริษัทจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น จะมีกระบวนการกลั่นกรองในเบื้องต้นตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG) และเมื่อเข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ก็ยังมีกลไกการกำกับดูแลให้บริษัทจดทะเบียนนั้นมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีระบบควบคุมภายใน รวมถึงมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ โดยหลักการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนของ ก.ล.ต. เกิดจากการแนวคิดที่มุ่งสร้างมาตรฐานและเสนอมาตรการที่ช่วยพัฒนากิจการ พัฒนาผู้ลงทุน โดยการสร้างกลไกให้เกิดจากวินัยของผู้ปฏิบัติเอง รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในตลาด เพื่อเสริมการทำหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมาย โดยจะเน้นการตรวจสอบการทำหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหาร ให้ปฏิบัติตามหลัก CG ด้วยการตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำเพื่อประโยชน์ของบริษัท ไม่ทำสิ่งที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกมาตรการเบื้องต้นไปแล้ว เพื่อช่วยจัดกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีปัญหาฐานะการเงิน ปัญหาด้านงบการเงิน หรือปัญหาลักษณะธุรกิจ โดยการขึ้นเครื่องหมาย “C” และกำหนดให้เป็นหุ้นที่ซื้อขายด้วย cash balance ซึ่งจะได้นำมาใช้ต่อไป
*** ย้ำผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูล บจ.สม่ำเสมอ
ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนกับบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพดีได้โดยศึกษาข้อมูลจากรายงานสำคัญต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ รายงาน 56-1 และรายงานอื่น ๆ ตามรอบระยะเวลา อาทิ รายงานงบการเงินรายไตรมาส งบการเงินประจำปี รายการคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ซึ่งรายงาน 56-1 จะเปิดเผยข้อมูลสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ (1) การประกอบธุรกิจ ครอบคลุมลักษณะของบริษัท หรือกลุ่มบริษัท บริษัทย่อย ที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน (2) การจัดการและการกำกับดูแลกิจการ โครงสร้างกรรมการและผู้บริหาร ค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหาร นโยบายการกำกับดูแลกิจการและความรับผิดชอบต่อสังคม รายการที่เกี่ยวโยงกัน อาทิ การทำรายการระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับบริษัทย่อย (3) ส่วนวิเคราะห์และคำอธิบายฐานะการเงินของบริษัท
สำหรับผู้ลงทุนนอกจากจะต้องศึกษาข้อมูลรายงานสำคัญที่บริษัทเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างสม่ำเสมอ ยังควรใช้รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของบริษัท ( KAM) ให้เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการได้มาหรือจำหน่ายทรัพย์สิน (รายการ MT) และรายการที่เกี่ยวโยงกัน (รายการ RPT) ที่จะเปิดเผยรายการระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทที่ผู้ลงทุนควรทราบ ซึ่งผู้ลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการติดตามดูแลบริษัทที่เลือกลงทุน เพราะหลายครั้งที่หน่วยงานกำกับดูแลอาจไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการห้ามบริษัทไม่ให้กระทำการใด ๆ แต่ด้วยข้อมูลที่เปิดเผยอย่างเพียงพอ จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งสัญญาณสำคัญให้แก่ผู้ลงทุนว่าควรเลือกลงทุนในบริษัท
ดังนั้น ก.ล.ต. จึงกำหนดให้บริษัทต้องรายงานและเปิดเผยข้อมูลอย่างทันท่วงที เมื่อบริษัทประสบความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือหยุดประกอบกิจการ เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะการประกอบธุรกิจ หรือทำสัญญาให้ผู้อื่นมีอำนาจในการบริหาร การถูกครอบงำกิจการ หรือกรณีอื่นที่มีหรือจะมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์หรือการตัดสินใจลงทุนของผู้ถือหุ้น
“ผู้ลงทุนเป็นผู้มีส่วนสำคัญในห่วงโซ่คุณภาพของการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุนจึงควรใช้สิทธิของตนและรักษาผลประโยชน์โดยการศึกษาข้อมูล อ่านรายงานสำคัญ และใช้โอกาสเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นซักถามผู้บริหารเพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจ” นางสิริวิภากล่าว
*** โบรกฯ เชื่อช่วยนลท.กรองบริษัทจดทะเบียนได้ละเอียดมากขึ้น
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยกับ “สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย” ว่า มาตรการการขึ้นเครื่องหมายเตือนผู้ลงทุนของ ก.ล.ต. เชื่อว่าเป็นเจตนาความตั้งใจที่ดีของผู้กำกับดูแล โดยการขึ้นเครื่องหมายเป็นเหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่ง เพื่อให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการลงทุน เพราะการขึ้นเครื่องหมาย ไม่ได้หมายความว่าบริษัทนั้นไม่ดี หรือไม่น่าลงทุน แต่เป็นเพียงการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในช่วงนั้นของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยมีอยู่บางบริษัทที่มีความเสี่ยง
ขณะเดียวกันบริษัทที่ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมายไม่ได้แปลว่าจะไม่มีความเสี่ยง เพราะความเสี่ยงจะเกิดขึ้นช่วงใดก็เป็นได้ แม้ไม่มีสภาพแวดล้อมที่น่ากังวล ดังนั้นนักลงทุนต้องยอมรับให้ได้ว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน
"ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยมีอยู่บางบริษัทที่มีความเสี่ยง ซึ่งต้องแก้ปัญหาไปทีละจุด ส่วนใหญ่เป็นปัญหาภายในเฉพาะตัว โดยการมีเครื่องหมายถือว่าช่วยคัดกรองข้อมูลได้ระดับหนึ่ง" นายมนตรี กล่าว
http://www.efinancethai.com/HotNews/hotnewsmain.aspx?release=y&name=h_241117h&postdate=2017-11-24+17%3A05%3A04
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเพิ่มเครื่องหมาย "C" (Caution)บนกระดานหุ้น...
*** จ่อเพิ่มเครื่องหมาย "C" ให้หุ้นที่มีปัญหาการเงินภายใน
นางสิริวิภา สุพรรณธเนศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. มีแนวคิดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลความคิดเห็นกรรมการบริษัทแบบรายบุคคล ในประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญของบริษัท เช่น การเข้าซื้อกิจการ การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือในประเด็นที่ต้องให้ผู้ถือหุ้นเป็นผู้อนุมัติ เพื่อจะให้นักลงทุนมีข้อมูลความคิดเห็นที่หลากหลาย หากมีกรรมการไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วย และจะสามารถเป็นหนึ่งในเครื่องมือตรวจสอบหากมีการกระทำผิดหรือทุจริตได้ในระยะต่อไป
ส่วนมาตรการเตือนผู้ลงทุน ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ปิดรับฟังความคิดเห็นแล้ว คาดจะบังคับใช้ภายในปี 61 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย C หรือ Caution เพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนว่าบริษัทจดทะเบียนนี้ต้องระมัดระวังการลงทุน โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาขึ้นเครื่องหมาย เช่น บริษัทที่ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงต่ำกว่า 50% , บริษัทที่ยื่นเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ , ถูกจำกัดการทำธุรกิจ , ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นเรื่องงบการเงิน และถูก ก.ล.ต. สั่งให้ทำ Special Audit
โดยบริษัทที่ถูกขึ้นเครื่องหมายจะสามารถซื้อขายได้เฉพาะบัญชี Cash Balance และต้องชี้แจงข้อมูลให้กับผู้ถือหุ้นรับทราบ
***คาดทำคู่มือเสร็จช่วง Q1/61
ก.ล.ต. มีแผนจัดทำคู่มือสำหรับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้กับนักลงทุน เพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลภายในที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจอยู่พอสมควร ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดทำแล้วเสร็จ ช่วงไตรมาสแรกปี 61
?อย่างไรก็ดี ก่อนบริษัทจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น จะมีกระบวนการกลั่นกรองในเบื้องต้นตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG) และเมื่อเข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ก็ยังมีกลไกการกำกับดูแลให้บริษัทจดทะเบียนนั้นมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีระบบควบคุมภายใน รวมถึงมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ โดยหลักการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนของ ก.ล.ต. เกิดจากการแนวคิดที่มุ่งสร้างมาตรฐานและเสนอมาตรการที่ช่วยพัฒนากิจการ พัฒนาผู้ลงทุน โดยการสร้างกลไกให้เกิดจากวินัยของผู้ปฏิบัติเอง รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในตลาด เพื่อเสริมการทำหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมาย โดยจะเน้นการตรวจสอบการทำหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหาร ให้ปฏิบัติตามหลัก CG ด้วยการตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำเพื่อประโยชน์ของบริษัท ไม่ทำสิ่งที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกมาตรการเบื้องต้นไปแล้ว เพื่อช่วยจัดกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีปัญหาฐานะการเงิน ปัญหาด้านงบการเงิน หรือปัญหาลักษณะธุรกิจ โดยการขึ้นเครื่องหมาย “C” และกำหนดให้เป็นหุ้นที่ซื้อขายด้วย cash balance ซึ่งจะได้นำมาใช้ต่อไป
*** ย้ำผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูล บจ.สม่ำเสมอ
ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนกับบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพดีได้โดยศึกษาข้อมูลจากรายงานสำคัญต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ รายงาน 56-1 และรายงานอื่น ๆ ตามรอบระยะเวลา อาทิ รายงานงบการเงินรายไตรมาส งบการเงินประจำปี รายการคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ซึ่งรายงาน 56-1 จะเปิดเผยข้อมูลสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ (1) การประกอบธุรกิจ ครอบคลุมลักษณะของบริษัท หรือกลุ่มบริษัท บริษัทย่อย ที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน (2) การจัดการและการกำกับดูแลกิจการ โครงสร้างกรรมการและผู้บริหาร ค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหาร นโยบายการกำกับดูแลกิจการและความรับผิดชอบต่อสังคม รายการที่เกี่ยวโยงกัน อาทิ การทำรายการระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับบริษัทย่อย (3) ส่วนวิเคราะห์และคำอธิบายฐานะการเงินของบริษัท
สำหรับผู้ลงทุนนอกจากจะต้องศึกษาข้อมูลรายงานสำคัญที่บริษัทเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างสม่ำเสมอ ยังควรใช้รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของบริษัท ( KAM) ให้เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการได้มาหรือจำหน่ายทรัพย์สิน (รายการ MT) และรายการที่เกี่ยวโยงกัน (รายการ RPT) ที่จะเปิดเผยรายการระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทที่ผู้ลงทุนควรทราบ ซึ่งผู้ลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการติดตามดูแลบริษัทที่เลือกลงทุน เพราะหลายครั้งที่หน่วยงานกำกับดูแลอาจไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการห้ามบริษัทไม่ให้กระทำการใด ๆ แต่ด้วยข้อมูลที่เปิดเผยอย่างเพียงพอ จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งสัญญาณสำคัญให้แก่ผู้ลงทุนว่าควรเลือกลงทุนในบริษัท
ดังนั้น ก.ล.ต. จึงกำหนดให้บริษัทต้องรายงานและเปิดเผยข้อมูลอย่างทันท่วงที เมื่อบริษัทประสบความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือหยุดประกอบกิจการ เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะการประกอบธุรกิจ หรือทำสัญญาให้ผู้อื่นมีอำนาจในการบริหาร การถูกครอบงำกิจการ หรือกรณีอื่นที่มีหรือจะมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์หรือการตัดสินใจลงทุนของผู้ถือหุ้น
“ผู้ลงทุนเป็นผู้มีส่วนสำคัญในห่วงโซ่คุณภาพของการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุนจึงควรใช้สิทธิของตนและรักษาผลประโยชน์โดยการศึกษาข้อมูล อ่านรายงานสำคัญ และใช้โอกาสเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นซักถามผู้บริหารเพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจ” นางสิริวิภากล่าว
*** โบรกฯ เชื่อช่วยนลท.กรองบริษัทจดทะเบียนได้ละเอียดมากขึ้น
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยกับ “สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย” ว่า มาตรการการขึ้นเครื่องหมายเตือนผู้ลงทุนของ ก.ล.ต. เชื่อว่าเป็นเจตนาความตั้งใจที่ดีของผู้กำกับดูแล โดยการขึ้นเครื่องหมายเป็นเหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่ง เพื่อให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการลงทุน เพราะการขึ้นเครื่องหมาย ไม่ได้หมายความว่าบริษัทนั้นไม่ดี หรือไม่น่าลงทุน แต่เป็นเพียงการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในช่วงนั้นของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยมีอยู่บางบริษัทที่มีความเสี่ยง
ขณะเดียวกันบริษัทที่ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมายไม่ได้แปลว่าจะไม่มีความเสี่ยง เพราะความเสี่ยงจะเกิดขึ้นช่วงใดก็เป็นได้ แม้ไม่มีสภาพแวดล้อมที่น่ากังวล ดังนั้นนักลงทุนต้องยอมรับให้ได้ว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน
"ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยมีอยู่บางบริษัทที่มีความเสี่ยง ซึ่งต้องแก้ปัญหาไปทีละจุด ส่วนใหญ่เป็นปัญหาภายในเฉพาะตัว โดยการมีเครื่องหมายถือว่าช่วยคัดกรองข้อมูลได้ระดับหนึ่ง" นายมนตรี กล่าว
http://www.efinancethai.com/HotNews/hotnewsmain.aspx?release=y&name=h_241117h&postdate=2017-11-24+17%3A05%3A04