ซีรี่ย์เรื่อง SOS skate ซึมซ่าส์ ได้รับคำชมในมุมมองของจิตแพทย์ไปแล้ว ขอขอบคุณในมุมผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบ้างค่ะ


อ่านสเตตัสหมอมีฟ้าเต็มๆ ได้ที่ Fanpage สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
https://www.facebook.com/ThaiPsychiatricAssociation/photos/a.499791366791551.1073741828.483246708446017/1274572845980062/?type=3&theater




สารภาพว่ายังไม่ได้ดูเรื่องนี้เลย
ไม่ดูก็อินกับบทพูดนี้ในฐานะผู้ป่วยคนหนึ่ง
จึงขอเป็นกำลังใจให้บู และเพื่อนร่วมโรคทุกคนแม้เราจะไม่รู้จักกัน
แต่จักรวาลก็เหมือนจองจำเราไว้ด้วยกัน
ทว่าสักวันพวกเราต้องหายป่วย และต้อง 'อยู่เป็น' เนอะ
กลับมายืนหยัดบนโลกอันโหดร้ายนี้ให้ได้ดีกว่าเดิมนะ

เข้าใจแหละว่า เข้าใจยากอ่ะไอ้คนซึมเศร้าเนี่ย
แค่ท่าทางซึมๆ เศร้าๆ เฉยเมย ตาลอยๆ จะบ่งบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้าก็ผิวเผินเกินไป มันมีความลึกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ใจคนยากจะหยั่งถึงยังไง บทที่ต้องมาแสดงให้คนเข้าใจว่าป่วยจริงๆ ก็ยากอย่างนั้น
ลองย้อนกลับไปตอนที่ยังไม่ป่วยใครจะนึกภาพตัวเองว่าจะมาถึงจุดนี้ได้อ่ะ ไม่ซึ้งหรอกจนกว่าจะเป็นเอง

ดังนั้นนอกจากทีมงานซีรี่ย์เรื่องนี้ต้องตีโจทย์แตก เข้าใจหัวใจของโรคนี้
ศึกษาพฤติกรรม อาการ แนวทางรักษาโรคมาเป็นอย่างดี แถมยังต้องผูกโยงเรื่องให้สนุกน่าติดตามเหมาะกับวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงเริ่มเป็นโรคนี้สูง ต้องยกความดีความชอบให้คนเขียนบท และผู้กำกับเลย แน่นอนว่ารวมถึงนักแสดงอนาคตไกลอย่างเจมส์ก็ถ่ายทอดได้ดีถึงขนาดจิตแพทย์เองยังเอ่ยปากชมไว้เลย

ในมุมผู้ป่วยเองก็ต้องขอบคุณทีมสร้างซีรี่ย์เรื่องนี้ที่พยายามตีแผ่ให้คนทั่วไปได้ลองเปิดใจ ทั้งเข้าใจ ทั้งไม่เข้าใจ อย่างน้อยก็อาจสงสัย และเริ่มอยากเข้าใจในตัวละคร จนเริ่มกระเถิบมาใส่ใจโรคนี้เพื่อรับมือกับมันไม่ว่าจะเฝ้าระวังใจตัวเอง หรือรับมือกับคนป่วย จนกระทั่งอาจสังเกตคนรอบตัวอย่างห่วงใย มีความเห็นใจเล็กๆ น้อยๆ ต่อผู้ป่วยโรคนี้ หรือกำลังตกในสภาวะซึมเศร้าชั่วคราว ว่ามันมีอาการประมาณนี้ และป่วยกันจริงๆ ไม่ได้มีใครอยากเป็น ทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้หมด และมีทางหายป่วยได้ แต่อาจต้องใช้เวลา และกำลังใจอย่างมากที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่

ชีวิตสิ้นหวังรันทดก้ำกึ่งโกรธในที จนเริ่มหมดอาลัยตายอยาก ตั้งคำถามต่อตัวเอง น้อยใจ คิดเยอะ ตำหนิตัวเอง น้ำตาอาจไหลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเบะ จู่ๆ ความเศร้าก็ถาโถมเข้ามาไม่จำกัดสถานการณ์ ยกขโยงเรื่องเศร้าผ่านสมองมาเป็นชุด จนมันด้านชาไม่ฟูมฟาย ยับเยินไร้ชีวิต ไร้พลังขับเคลื่อนใดๆ ไร้เป้าหมายแก่นสาร บ่งชี้ถึงสาเหตุที่แน่ชัดได้บ้างไม่ได้บ้าง

ความเศร้าเนิบช้าและหุนหัน เหมือนสึนามิ คลื่นนิ่งๆ จู่ๆ น้ำทะเลลดฮวบ แล้วยกระดับขึ้นสูง ก่อนจะทิ้งมวลน้ำทะเลมหาศาลซัดทะลายใจอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว ต้องเฉียดตายจมดิ่งลงในทะเลขุ่นเศร้ากว่าจะรู้ตัวว่าควรไปพบแพทย์ เพราะกลัวคิดสั้น แบกสังขารที่ยังเรียกว่าโชคดีไปหาหมอมากกว่าโดดน้ำตาย

พูดยากนะเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ มันไม่มีมาตรวัดชั่งตวงความเศร้า
บางทีเครื่องวัดค่าภัยพิบัติความเศร้ามันร้องหวีดจนชินหูไปแล้ว นึกออกมั้ย คือมันเกินพิกัดจนร้องเตือนอยู่เรื่อยทั้งวัน เหมือนตั้งปลุกแล้วเลื่อนปลุกไปเรื่อยๆ จนสายเกินไปนั่นแหละ

พอทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวนานๆ เข้า จนมองว่าสัญญาณเตือนเพี้ยนนี่หว่า ก็ใช้วิธียัดความบันเทิงชั่วคราวเปิดกลบเสียงเตือนก้องใจไปเดี๋ยวก็ลืม ผ่านไปได้วันๆ นึงโดยที่ไม่คิดว่าการเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดทางใจนั้นจะเป็นอันตราย มันอาจบ่อนทำลายปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายที่จะคลายเศร้าลงได้เอง อย่าลืมว่าความเศร้ามันยังคงกัดกร่อนเซาะหัวใจเราไม่หยุดพัก

พอใจระทมบ่มมาได้จังหวะ ประจวบกับปัญหาชีวิตที่อาจไม่ได้มีแค่เรื่องเดียวกระหน่ำมาซ้ำเติม แม้หากเทียบกับทุกข์ของคนอื่นแล้วจะเบาปานใด แต่ในเมื่อไม่เหลือสักมุมของชีวิตให้พอใจต่อโลกที่เป็นอยู่นี้ ก็แทบจะอยากหลุดลอยไปกลางอวกาศทำตัวเป็นอุกกาบาตไปวันๆ ไร้วิถีโคจร ภาวนาจะไปตกในดาวสักดวงให้มันจบๆ ไป มันช่างไร้จุดสิ้นสุด ใจมืดเหมือนหลุมดำ ใครจะอยากอยู่เป็นอนันต์ในสภาวะแบบนี้ตลอดไป

แม้แต่คนซึมเศร้าด้วยกันเอง อาจจะยังไม่เข้าใจเคสของเพื่อนร่วมโรคด้วยกันเลย ความเศร้านั้นต่างกันไปในรายละเอียด รสสัมผัสมันอาจจะละเมียดบาดลึกกว่าความสุขวาบสวยงามเหมือนแสงของดาวหางกลางท้องฟ้ายามค่ำที่มอบความหวังให้ใจฟูชั่วครู่ยาม

นับประสาอะไรกับคนทั่วไปที่ยังไงก็ต้องมีค้านอยู่ในใจแหละ ว่าทำไมเธอถึงเศร้า ทำไมไม่สู้ จมทุกข์ไปได้อะไรขึ้นมา ปลอบก็แล้ว ด่าก็แล้ว เห็นสภาพแล้วน่าหงุดหงิด เวลาผ่านไป อะไรๆ ก็ดีขึ้นเยอะ แต่ก็ยังจะซึมเศร้าไม่หายสักที เชื่อว่าผู้คนแวดล้อมจะต้องมีอารมณ์เหลืออดอยู่มากเหมือนกัน

คงต้องบอกว่ามันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เชื่อสิว่าโรคนี้มันต้องสั่งสมมาจนถึงที่สุดแล้วแหละ ฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง จากคนที่อาจจะแคร์และรับภาระทางใจ รับผิดชอบอะไรมาได้ตั้งหลายอย่าง กดดันตัวเอง และพยายามทำให้ทุกๆ คนพอใจ ถ้าสภาพแวดล้อมดี หมั่นรักษาน้ำใจ เรื่องหนักก็เป็นเบาได้ถ้าเคลียร์ใจกัน ช่วยๆ กัน แต่คนยิ่งใกล้กันก็เหมือนยิ่งทำเป็นมองไม่เห็น ถ้ามีการเยียวยาสมานแผลใจดีๆ ก็คงไม่ป่วยใจหนักขนาดนี้ อย่าลืมสิว่ามีโอกาสแก้ไข หรือเห็นสัญญาณเตือน ช่วยเขาก่อนจะป่วยหนักมาตั้งเท่าไหร่ จนสุดทางหนีจากความเศร้าไม่ได้อีกแล้ว จะมาโทษที่เขาเศร้าอีกน่ะเหรอ (บ่น)

ถ้าเห็นเค้าได้พยายามแม้แต่นิดเดียว นิดเดียวขนาดที่คนใกล้ตัวยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำ แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ปกติชีวิตประจำวัน แต่ต้องเรียกว่าเข้าขั้นฝืนพยายามทำให้ได้ตามปกติ ลองนึกภาพสิ ถ้าใจไม่ยอมเดิน ขาจะก้าวได้ยังไง ไม่ใช่แค่มีพลังกายนะ แต่ต้องมีพลังใจ มีเป้าหมายที่จะเดินไปข้างหน้าด้วย

ป้อนคำสั่งผ่านสมองไปแล้วเงียบกริบนี่ต้องแปลว่าใจพังไปแล้ว การ์ดจอประสาทยิ้มดับสนิทละ เหมือนคอมพังอ่ะ เปิดเครื่องได้แต่จอดับ ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง ป่วยใจนี่มันไม่ง่ายที่จะควักส่วนใดส่วนนึงออกมารักษา แก้ไขจุดบกพร่อง อัพเกรด เปลี่ยนอะไหล่ใหม่ใส่กลับที่แล้วจะทำงานปกติได้ มันต้องแก้กันโดยใช้ยาไปเติมเซลล์ประสาท กระตุ้นสารเคมีในสมอง คือเหมือนรื้อวางสายเดินไฟเดินระบบร่างกายใหม่หมดเลย โหแล้วกว่าจะโปรแกรมชีวิตให้กลับมาปกติได้ แทบเหมือนฟื้นคืนชีพนะ ต้องพึ่งยาดึงสติ ไม่งั้นหลุดโฟกัสทุกเรื่องในชีวิต กระบวนการระหว่างทางมันทรมานตัวเอง และคนรอบข้างมากจริงๆ นะ

แต่ถึงใจเราอ่อนแอ เมื่อเราได้รับการรักษาที่ถูกต้องเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนดีขึ้นระดับหนึ่ง ร่างกายเราอาจอ่อนแอตาม แต่พอกลับมาฟิตได้หน่อย ขอแรงช่วยกันดึงหน่อยนะ จากที่แค่อยากให้รับฟังให้กำลังใจเฉยๆ ก็อาจอยากให้เพื่อนมองเราเหมือนเดิม คุยเล่น และชวนไปไหนมาไหนได้ ไม่ได้เป็นวัตถุอันตรายระเบิดได้ จู่ๆ จะกรี๊ดจะหัวเราะร้องไห้ขึ้นมาแบบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวร้ายลงท้ายกลายเป็นบ้าไปในละครน้ำเน่าตอนจบเน้อ

คนซึมเศร้าโคตรจะไม่มีพิษสง มีแต่จะเป็นพิษต่อตัวเอง ไม่มีอารมณ์จะด่าใคร มัวแต่กลัวและกังวลไปต่างๆ นานา แคร์และคิดมากไปหมดแบบหยุดไม่ได้ หดหู่ใส่คนอื่นจนน่ารำคาญ สักพักก็จะรู้ตัวเองว่าเผลอปล่อยพลังงานลบออกมามากเกินไป ก็จะล่าถอยตัวเองออกมาจากสังคมไม่ไปทำร้ายคนอื่น จุดนี้ถ้าห่างผู้คนไปแล้วอาจดิ่งยาวเลย ดีก็จะดีขึ้นมาเพราะมีวินัยและกินยา มีความพยายามแหกคุกซึมเศร้าของตัวเองออกมาทำบางอย่างที่ดีต่อใจได้เองได้นานขึ้น เช่น ทำอาหาร ทำสวน อาการมันถึงมีแนวโน้มจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บางทีเร่งรัดมาก หรือเจอดราม่าอะไรจู่โจมอีกก็จะวนลูปกลับไปดิ่ง เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่กว่าจะโงหัวขึ้นมาได้อีก

และออกจะต้องยอมรับว่ามันเป็นโรคที่ต้องการกำลังใจมากสุดๆ แต่กลับเป็นโรคที่ได้รับความเห็นใจน้อยที่สุด มีผลกระทบต่อชีวิตมากไม่ต่างจากร่างกายพิการชั่วคราว แทบจะปิดโอกาสชีวิตหลายๆ อย่างไปเลย งานการก็ทำไม่ได้ ความบันเทิงก็เสพไม่สนุก ความหวังที่จะหายขาดก็มักตามมาพร้อมกับความสิ้นหวังว่าเราอาจจะไม่หาย ต้องกินยาตลอดชีวิตรึเปล่านะ ผ่านมาสองเดือนจะมีความคืบหน้าไปบอกหมอมั้ยนะ เป็นโรคที่เรียกว่าฝันร้ายทั้งตอนหลับ และตื่นเลยจริงๆ

ดังนั้นฝากทุกคนอย่าละเลยสภาพจิตใจทั้งของตัวเองและคนรอบข้างเด็ดขาดนะ อย่าไปทนถ้าสิ่งที่ผิดไม่ใช่เพราะเรา หรือบางเรื่องแก้ไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ค่อยๆ สะสาง ยอมรับความจริง ไม่สมควรต้องฝืนทนกล้ำกลืนกับอะไรที่มากไป ถามใจตัวเองดีๆ ชั่งเหตุผลแล้วอย่าลืมรวมมวลอารมณ์ ชั่งใจด้วย

เชื่อสิ... โลกนี้ยังมีทางเลือกอื่นที่สวยงามกว่าเดิมเสมอแหละ แค่มองให้เห็นโอกาสในโชคร้าย ด้วยใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น รอจนกว่าจะมีสติไตร่ตรองให้ดี แล้วก็ตัดสินใจมีชีวิตอย่างรู้คุณค่าของตัวเองต่อไปให้ได้นะ.... รักตัวเองให้มากๆ นะ ฝากความรักความห่วงใยจากทุกคนช่วยโอบกอดผู้ป่วยโรคซึมเศร้าด้วยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่