Murder on the Orient Express : ฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรส
" มีผู้โดยสาร 10 คนในรถด่วน Orient Express ใครเป็นคนร้ายที่แท้จริง ? "
ในช่วงเวลานี้ที่หนังฮีโร่ทั้งจากฝั่ง
DC อย่าง
Justice League และ
Thor : Rangnarok จากค่าย
Marvel ฉายสู้กัน ก็ปรากฏหนังน่าสนใจอย่าง
Murder on the Orient Express (2017) ขึ้น หนังสร้างจากนิยายชื่อดังของ
Agatha Christie มีการทำเรื่องนี้มาแล้วหลากหลายเวอร์ชันทั้งเวอร์ชันภาพยนตร์และละครทีวี สำหรับเวอร์ชัน 2017 นี้ ทางหนังได้รวบรวมเอานักแสดงคุณภาพคับคั่ง จัดหนัก จัดเต็ม สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสายหนังบู๊ ณ เวลานี้ Murder on the Orient Express ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ น่าดู น่าชม
หลังจากที่ผมได้ดูแล้ว ผมว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างคุณภาพนะ ทั้งเนื้อเรื่อง นักแสดง และโปรดักชัน แต่น่าแปลกส่อง Rated คะแนนจาก Imdb และ Rotten Tomatoes แลดูไม่สู้ดีนัก ยังไงก็เถอะส่วนตัวเป็นหนังที่ทำได้สนุกและผมก็ชอบพอสมควรเลย
เรื่องย่อ
Murder on the Orient Express (2017) ได้รับการกำกับโดย
Kenneth Branagh และตัวเขาเองก็แสดงเป็นพระเอกประจำเรื่องด้วย ในบท
แอร์กูล ปัวโรต์ (Hercule Poirot) นักสืบมันสมองอัจฉริยะเชื้อสายเบลเยี่ยม ในฤดูหนาวปี 1934 แอร์กูล ปัวโรต์ ตั้งใจว่าจะลาพักผ่อนหลังจากทำงานที่เยรูซาเล็ม ระหว่างที่เขาเดินทางกลับยุโรป ผ่านเมืองอิสตันบูล เขาได้รับโทรเลขจากลอนดอนให้รีบกลับไปช่วยไขคดี จึงได้ขอร้องเพื่อนเก่า
บุค ผู้จัดการรถด่วน Orient Express ให้ช่วยจัดที่นั่งให้เขากลับลอนดอน
ห้องโดยสารของปัวโรต์ เป็นห้องโดยสารชั้น 1 ที่มีคนระดับร่ำรวยอาชีพต่างๆ ร่วมโดยสารด้วย ระหว่างทางเกิดหิมะถล่ม ขณะเดียวกันก็มีผู้ด้วยสารหนึ่งคนเสียชีวิต ปัวโรต์จึงต้องไขปริศนาหาตัวคนร้ายที่ซ่อนอยู่บนรถไฟให้เจอ
Murder on the Orient Express - ใครคือคนร้ายที่แท้จริง
หลังจากที่ดูจบ ผมว่าเป็นหนังที่เนื้อเรื่องดีมาก ต้องเครดิตให้กับนิยายคลาสสิคของอากาธา คริสตี้ เนื้อเรื่องสนุก น่าติดตาม มีปมให้ขบคิดเยอะ เรื่องอารมณ์หนัง มีครบทุกอารมณ์ ฟีลลิ่งตลกบ้าง ช่วงไขปริศนาก็มีความรู้สึกหวาดระแวง ฟีลตกใจ มีช่วงดราม่าเค้นอารมณ์ มีหักมุมชนิดที่เปลี่ยนทั้งเรื่อง พร้อมกับบทสรุปหนังที่ผมว่าจบได้ดี อาจจะมีช่วงกลางเรื่องที่เนื้อเรื่องดูตกๆไปบ้าง ดูไม่น่าสนใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับขั้นอันตราย ส่วนในช่วงต้นเรื่องกับท้ายเรื่อง ผมว่าทำได้เยี่ยมเลยแหละ การดำเนินเรื่องก็ทำได้โอเค ดูเรียบง่าย รวดเร็ว กระชับ (แม้ว่าบางส่วนจะข้ามไปข้ามมาเร็วเกินไปหน่อย)
ที่ชอบมากอีกอย่างคือ บทสรุปและข้อคิดของเรื่องที่ปิดฉากได้สมบูรณ์ ในตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นหนังนักสืบดูสนุกๆธรรมดาที่ผสมด้วยดาราคุณภาพ แต่พอดูจบก็พบว่า หนังสอดแทรกแง่คิดที่ลึกพอสมควรเกี่ยวกับเรื่อง
ความยุติธรรม มโนธรรม การลงทัณฑ์ และจิตใจคน (ฟีลลิ่งคล้าย Les Miserable) ซึ่งผมประทับใจนะ โดยเฉพาะข้อคิดที่ว่า
" แม้จะเป็นความยุติธรรม เฉกเช่นหนึ่งชีวิตแลกอีกหนึ่งชีวิต แต่มโนธรรมในจิตใจเรามันหายไปไหนกันหมด ? "
ในบทสรุปหนัง จริงๆผมว่า อาจจะมีคนรู้สึกขัดอารมณ์ที่มันดูขัดแย้งกับความเป็นจริงไปบ้าง แต่ถ้าเข้าใจเจตนารมย์ที่แท้จริงของหนังหรือแก่นเรื่องจากนิยาย ก็จะเข้าใจถึงการกระทำของปัวโรต์ว่าทำไมปัวโรต์ถึงได้กระทำเช่นนั้น
โปรดักชันสุดอลังการ
จุดที่น่าประทับใจอีกอย่างที่ไม่พูดไม่ได้ของ
Murder on the Orient Express ก็คือ
โปรดักชันหนัง ทำได้โคตรเนี้ยบเลย ทั้งฉากสถานที่ต่างๆ บรรยากาศหนังดูยิ่งใหญ่ ชุดนักแสดงดูสมจริง CG เนียน มุมกล้องสวยงามมาก เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ทำโปรดักชันได้ครบองค์ประกอบ ในส่วนนี้ผมคะแนนเต็ม
ในหนังก็มีการใช้ฉาก Long Take ก็มีใช้เยอะพอสมควร ทำได้สวย เสริมอารมณ์หนังดี เพราะ Long Take เป็นการถ่ายยาวและเรื่องราวทั้งหลายก็เป็นเรื่องราวที่เกิดในขบวนรถด่วน การถ่ายยาวไปตามขบวนรถไฟ ทำให้มุมกล้องดูสวยงาม ดูลึกลับ สอดคล้องกับธีมหนัง
Murder on the Orient Express - Justice
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ผมชอบดี ประกอบฉากต่างๆได้ดี น่าประทับใจ บางฉากอลังการ บางฉากลึกลับ ระทึก เข้ากับโทนหนังในช่วงนั้นๆ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายตอนเฉลยการฆาตกรรม ดนตรีนี่โคตรเศร้าเลย ดูน่าเจ็บปวดใจ เล่าผ่านเพลง
Justice ส่วนตอน End-Credit คือเพลง
Never Forget ก็มาในธีมเดียวกัน ฟังแล้วหดหู่
Murder on the Orient Express - Never Forget
Murder on the Orient Express - The Orient Express : บรรยากาศขณะรถไฟเดินทาง
Murder on the Orient Express - The Wailing Wall : บรรยากาศที่เยรูซาเล็ม
มุมนักแสดง
ส่วนของนักแสดงคงต้องบอกว่าแสดงดีทุกคน แต่ละคนที่มาแสดง นี่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ทั้งผ่านงานแสดงมาอย่างโชกโชน ดีกรีออสการ์ก็หลายคน โดยรวมจึงแสดงได้เยี่ยมทุกคน
มีที่เป็นไฮไลท์คงต้องยกให้
Kenneth Branagh (นักสืบปัวโรต์) ผมว่าแกแสดงได้โคตรดีเลย คุณภาพมาก เมื่อช่วงต้นปีก็ได้เห็นแกในเรื่อง Dunkirk มาในเรื่องนี้ แอ็คชันท่าทางของแกให้กับบทนักสืบปัวโรต์จริงๆ หรือช่วงบีบอารมณ์ เวลาแกน้ำตาคลอ ดูเนียนมาก ตอนไขปริศนาต่างๆ ที่ต้องแสดงไหวพริบและความฉลาด ก็ตีบทแตก
นี่ถือเป็นความโชคดีอีกอย่าง ถ้าไม่ได้นักแสดงที่มีความสามารถมารับบทนำ แบกหนังไว้ หนังก็คงดูไม่เนียนและไม่น่าสนใจเท่านี้ เพราะหัวใจของเรื่องอยู่ที่ปัวโรต์ ถ้าปัวโรต์แสดงไม่ดี ภาพรวมหนังทั้งเรื่องก็จะแย่ตามไปด้วย คนอื่นๆ ไม่ได้มีบทเด่นเท่ากับบทปัวโรต์ (แถมบางคนกลับดูน้อยไปด้วยซ้ำ)
ข้อเสีย
จุดที่ผมรู้สึกเสียดายคือ หนังรวมนักแสดงคุณภาพมาคับคั่งมาก แต่ใช้ได้ไม่คุ้มเลย เนื่องจากในระยะเวลา 2 ชม. หนังไม่สามารถกระจายบทได้อย่างทั่วถึง อย่างบางตัวละครพอดูแล้วไม่ต้องมีก็ยังได้ สาเหตุตรงนี้ผมเข้าใจว่า เนื่องจากหนังสร้างมาจากนิยาย แถมนิยายยังเป็นแนวนักสืบที่มีปริศนาเชื่อมโยงไปมากับตัวละครถึง 10 คน ผู้สร้างต้องบีบอัดเรื่องราวทั้งหมดให้จบภายใน 2 ชม. เรื่องราวปมแต่ละส่วนของตัวละครจึงต้องโดนตัดทอนไป ไม่ได้มีบทให้กับนักแสดงมากนัก ไม่ได้เจาะลึกครบทุกคน ทำให้รู้สึกว่าหนังใช้ตัวละครได้ไม่คุ้มเลย (แต่แกนเรื่องหลักยังคงคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมไว้ได้นะ)
นอกจากรายละเอียดที่เยอะมากๆ การดำเนินเรื่องก็รวดเร็วมากด้วยเช่นกัน ปมปริศนาถูกเฉลยข้ามไปข้ามมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องรวดเร็วมาก ทำให้คนดูไม่ได้ซึมซับความรู้สึกหนังอย่างเต็มที่ บางคนก็อาจเก็บรายละเอียดได้ไม่ทัน
ถ้ามองในแง่ดี ผมมองว่าช่วงกลางเรื่องที่มีปมปริศนามามากมาย เป็นจุดที่หนังไม่ได้ต้องการจะสื่อที่แท้จริง จุดที่หนังจะสื่อแท้จริงคือบทสรุปท้ายเรื่อง ดังนั้นปมปริศนาก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งของการเฉลยปริศนา อันนำไปสู่บทสรุปท้ายเรื่อง (ที่ดูเหมือนหนังต้องการเน้นเป็นพิเศษ)
สรุป
สำหรับผม
Murder on the Orient Express (2017) ผมให้
8.5/10 (เป็นหนังที่ทั้งดี สนุกใช้ได้ โปรดักชันเยี่ยม) *เรื่องนี้ห้ามอ่านสปอยล์ก่อนเด็ดขาด
ถือว่าเป็นหนังสืบสวนที่ดูเพื่อเอาแนวคิดจริงจังก็ได้ หรือว่าจะดูแบบบันเทิง ลุ้นว่าใครเป็นฆาตกรก็ดูได้เช่นกัน หนังมีเนื้อเรื่องที่ดีจากนิยาย หักมุมอ้าปากค้าง บทสรุปสุดท้ายกินใจ แม้หนังจะดูหล่อเกินไปบ้างตามภาษานิยาย แต่ก็สอนเราได้ลึก เรื่องโปรดักชัน ซีจี มุมกล้อง ก็ทำได้เยี่ยม สวยงาม นักแสดงตีบทแตกผ่านฉลุยกันทุกคน จะมีข้อเสียก็ตรงที่ว่าบางช่วงดำเนินเรื่องไวมากจนตามไม่ทัน
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคะแนนจากเว็บวิจารณ์มันน้อยผิดปกติ เดาว่ามันเคยเป็นหนังมาหลายเวอร์ชัน คนรู้เนื้อเรื่องหมดแล้วหรือชอบเวอร์ชันเก่ามากกว่า อีกอย่างที่เป็นไปได้คือ หนังไม่สามารถถอดความจากนิยายอย่างได้สมบูรณ์ คนจึงไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ผมไม่เคยดูเวอร์ชันอื่นด้วยแหละ ไม่รู้ว่ามันดีกว่ามากมั้ย บางคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกว่าหนังทำได้เกินความคาดหมายนะ ตอนแรกผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ด้วยแหละ (รู้แค่ว่ารวมนักแสดงคุณภาพ) แถมเห็นว่าหนังทำจากนิยายด้วย เลยไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีมาก
" สำหรับผมรู้สึกชอบมาก ประทับใจ ชอบในสไตล็หนังคลาสสิค แก่นหนังที่ต้องการสื่อดี ชอบที่มันไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องเฉลยคนร้ายแล้วจบ แต่พูดถึงเรื่องที่เป็นนามธรรมเชิงลึกอย่างเรื่องความยุติธรรม มโนธรรม มันทำให้หนังดูลึก ดูมีมิติดี "
ถ้าเป็นคอหนังแนวสืบสวน Murder on the Orient Express เหมาะกับคุณ แต่ถ้าไม่ใช่คอหนังสืบสวน เป็นคอหนังธรรมดาที่อยากดูหนังสนุก โปรดักชันดี Murder on the Orient Express ก็ตอบโจทย์เช่นกัน
8.5/10
-------------------------------------------------------
ป.ล. ดูเหมือนทางค่ายจะมีแผนสร้างภาคต่อด้วยเป็น
Death on the Nile มาจากนิยายของอากาธา คริสตี้เช่นกัน
" Murder on the Orient Express sequel Death on the Nile announced "
Kenneth Branagh is expected to return as Hercule Poirot
ป.ล.2 สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ
[SR] (Review) Murder on the Orient Express (2017) - ใครคือคนร้ายที่แท้จริง ท่ามกลางความยุติธรรมและมโนธรรม
ในช่วงเวลานี้ที่หนังฮีโร่ทั้งจากฝั่ง DC อย่าง Justice League และ Thor : Rangnarok จากค่าย Marvel ฉายสู้กัน ก็ปรากฏหนังน่าสนใจอย่าง Murder on the Orient Express (2017) ขึ้น หนังสร้างจากนิยายชื่อดังของ Agatha Christie มีการทำเรื่องนี้มาแล้วหลากหลายเวอร์ชันทั้งเวอร์ชันภาพยนตร์และละครทีวี สำหรับเวอร์ชัน 2017 นี้ ทางหนังได้รวบรวมเอานักแสดงคุณภาพคับคั่ง จัดหนัก จัดเต็ม สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสายหนังบู๊ ณ เวลานี้ Murder on the Orient Express ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ น่าดู น่าชม
หลังจากที่ผมได้ดูแล้ว ผมว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างคุณภาพนะ ทั้งเนื้อเรื่อง นักแสดง และโปรดักชัน แต่น่าแปลกส่อง Rated คะแนนจาก Imdb และ Rotten Tomatoes แลดูไม่สู้ดีนัก ยังไงก็เถอะส่วนตัวเป็นหนังที่ทำได้สนุกและผมก็ชอบพอสมควรเลย
เรื่องย่อ
Murder on the Orient Express (2017) ได้รับการกำกับโดย Kenneth Branagh และตัวเขาเองก็แสดงเป็นพระเอกประจำเรื่องด้วย ในบท แอร์กูล ปัวโรต์ (Hercule Poirot) นักสืบมันสมองอัจฉริยะเชื้อสายเบลเยี่ยม ในฤดูหนาวปี 1934 แอร์กูล ปัวโรต์ ตั้งใจว่าจะลาพักผ่อนหลังจากทำงานที่เยรูซาเล็ม ระหว่างที่เขาเดินทางกลับยุโรป ผ่านเมืองอิสตันบูล เขาได้รับโทรเลขจากลอนดอนให้รีบกลับไปช่วยไขคดี จึงได้ขอร้องเพื่อนเก่า บุค ผู้จัดการรถด่วน Orient Express ให้ช่วยจัดที่นั่งให้เขากลับลอนดอน
ห้องโดยสารของปัวโรต์ เป็นห้องโดยสารชั้น 1 ที่มีคนระดับร่ำรวยอาชีพต่างๆ ร่วมโดยสารด้วย ระหว่างทางเกิดหิมะถล่ม ขณะเดียวกันก็มีผู้ด้วยสารหนึ่งคนเสียชีวิต ปัวโรต์จึงต้องไขปริศนาหาตัวคนร้ายที่ซ่อนอยู่บนรถไฟให้เจอ
Murder on the Orient Express - ใครคือคนร้ายที่แท้จริง
หลังจากที่ดูจบ ผมว่าเป็นหนังที่เนื้อเรื่องดีมาก ต้องเครดิตให้กับนิยายคลาสสิคของอากาธา คริสตี้ เนื้อเรื่องสนุก น่าติดตาม มีปมให้ขบคิดเยอะ เรื่องอารมณ์หนัง มีครบทุกอารมณ์ ฟีลลิ่งตลกบ้าง ช่วงไขปริศนาก็มีความรู้สึกหวาดระแวง ฟีลตกใจ มีช่วงดราม่าเค้นอารมณ์ มีหักมุมชนิดที่เปลี่ยนทั้งเรื่อง พร้อมกับบทสรุปหนังที่ผมว่าจบได้ดี อาจจะมีช่วงกลางเรื่องที่เนื้อเรื่องดูตกๆไปบ้าง ดูไม่น่าสนใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับขั้นอันตราย ส่วนในช่วงต้นเรื่องกับท้ายเรื่อง ผมว่าทำได้เยี่ยมเลยแหละ การดำเนินเรื่องก็ทำได้โอเค ดูเรียบง่าย รวดเร็ว กระชับ (แม้ว่าบางส่วนจะข้ามไปข้ามมาเร็วเกินไปหน่อย)
ที่ชอบมากอีกอย่างคือ บทสรุปและข้อคิดของเรื่องที่ปิดฉากได้สมบูรณ์ ในตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นหนังนักสืบดูสนุกๆธรรมดาที่ผสมด้วยดาราคุณภาพ แต่พอดูจบก็พบว่า หนังสอดแทรกแง่คิดที่ลึกพอสมควรเกี่ยวกับเรื่อง ความยุติธรรม มโนธรรม การลงทัณฑ์ และจิตใจคน (ฟีลลิ่งคล้าย Les Miserable) ซึ่งผมประทับใจนะ โดยเฉพาะข้อคิดที่ว่า
ในบทสรุปหนัง จริงๆผมว่า อาจจะมีคนรู้สึกขัดอารมณ์ที่มันดูขัดแย้งกับความเป็นจริงไปบ้าง แต่ถ้าเข้าใจเจตนารมย์ที่แท้จริงของหนังหรือแก่นเรื่องจากนิยาย ก็จะเข้าใจถึงการกระทำของปัวโรต์ว่าทำไมปัวโรต์ถึงได้กระทำเช่นนั้น
โปรดักชันสุดอลังการ
จุดที่น่าประทับใจอีกอย่างที่ไม่พูดไม่ได้ของ Murder on the Orient Express ก็คือ โปรดักชันหนัง ทำได้โคตรเนี้ยบเลย ทั้งฉากสถานที่ต่างๆ บรรยากาศหนังดูยิ่งใหญ่ ชุดนักแสดงดูสมจริง CG เนียน มุมกล้องสวยงามมาก เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ทำโปรดักชันได้ครบองค์ประกอบ ในส่วนนี้ผมคะแนนเต็ม
ในหนังก็มีการใช้ฉาก Long Take ก็มีใช้เยอะพอสมควร ทำได้สวย เสริมอารมณ์หนังดี เพราะ Long Take เป็นการถ่ายยาวและเรื่องราวทั้งหลายก็เป็นเรื่องราวที่เกิดในขบวนรถด่วน การถ่ายยาวไปตามขบวนรถไฟ ทำให้มุมกล้องดูสวยงาม ดูลึกลับ สอดคล้องกับธีมหนัง
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ผมชอบดี ประกอบฉากต่างๆได้ดี น่าประทับใจ บางฉากอลังการ บางฉากลึกลับ ระทึก เข้ากับโทนหนังในช่วงนั้นๆ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายตอนเฉลยการฆาตกรรม ดนตรีนี่โคตรเศร้าเลย ดูน่าเจ็บปวดใจ เล่าผ่านเพลง Justice ส่วนตอน End-Credit คือเพลง Never Forget ก็มาในธีมเดียวกัน ฟังแล้วหดหู่
มุมนักแสดง
ส่วนของนักแสดงคงต้องบอกว่าแสดงดีทุกคน แต่ละคนที่มาแสดง นี่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ทั้งผ่านงานแสดงมาอย่างโชกโชน ดีกรีออสการ์ก็หลายคน โดยรวมจึงแสดงได้เยี่ยมทุกคน
มีที่เป็นไฮไลท์คงต้องยกให้ Kenneth Branagh (นักสืบปัวโรต์) ผมว่าแกแสดงได้โคตรดีเลย คุณภาพมาก เมื่อช่วงต้นปีก็ได้เห็นแกในเรื่อง Dunkirk มาในเรื่องนี้ แอ็คชันท่าทางของแกให้กับบทนักสืบปัวโรต์จริงๆ หรือช่วงบีบอารมณ์ เวลาแกน้ำตาคลอ ดูเนียนมาก ตอนไขปริศนาต่างๆ ที่ต้องแสดงไหวพริบและความฉลาด ก็ตีบทแตก
นี่ถือเป็นความโชคดีอีกอย่าง ถ้าไม่ได้นักแสดงที่มีความสามารถมารับบทนำ แบกหนังไว้ หนังก็คงดูไม่เนียนและไม่น่าสนใจเท่านี้ เพราะหัวใจของเรื่องอยู่ที่ปัวโรต์ ถ้าปัวโรต์แสดงไม่ดี ภาพรวมหนังทั้งเรื่องก็จะแย่ตามไปด้วย คนอื่นๆ ไม่ได้มีบทเด่นเท่ากับบทปัวโรต์ (แถมบางคนกลับดูน้อยไปด้วยซ้ำ)
ข้อเสีย
จุดที่ผมรู้สึกเสียดายคือ หนังรวมนักแสดงคุณภาพมาคับคั่งมาก แต่ใช้ได้ไม่คุ้มเลย เนื่องจากในระยะเวลา 2 ชม. หนังไม่สามารถกระจายบทได้อย่างทั่วถึง อย่างบางตัวละครพอดูแล้วไม่ต้องมีก็ยังได้ สาเหตุตรงนี้ผมเข้าใจว่า เนื่องจากหนังสร้างมาจากนิยาย แถมนิยายยังเป็นแนวนักสืบที่มีปริศนาเชื่อมโยงไปมากับตัวละครถึง 10 คน ผู้สร้างต้องบีบอัดเรื่องราวทั้งหมดให้จบภายใน 2 ชม. เรื่องราวปมแต่ละส่วนของตัวละครจึงต้องโดนตัดทอนไป ไม่ได้มีบทให้กับนักแสดงมากนัก ไม่ได้เจาะลึกครบทุกคน ทำให้รู้สึกว่าหนังใช้ตัวละครได้ไม่คุ้มเลย (แต่แกนเรื่องหลักยังคงคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมไว้ได้นะ)
นอกจากรายละเอียดที่เยอะมากๆ การดำเนินเรื่องก็รวดเร็วมากด้วยเช่นกัน ปมปริศนาถูกเฉลยข้ามไปข้ามมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องรวดเร็วมาก ทำให้คนดูไม่ได้ซึมซับความรู้สึกหนังอย่างเต็มที่ บางคนก็อาจเก็บรายละเอียดได้ไม่ทัน
ถ้ามองในแง่ดี ผมมองว่าช่วงกลางเรื่องที่มีปมปริศนามามากมาย เป็นจุดที่หนังไม่ได้ต้องการจะสื่อที่แท้จริง จุดที่หนังจะสื่อแท้จริงคือบทสรุปท้ายเรื่อง ดังนั้นปมปริศนาก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งของการเฉลยปริศนา อันนำไปสู่บทสรุปท้ายเรื่อง (ที่ดูเหมือนหนังต้องการเน้นเป็นพิเศษ)
สรุป
สำหรับผม Murder on the Orient Express (2017) ผมให้ 8.5/10 (เป็นหนังที่ทั้งดี สนุกใช้ได้ โปรดักชันเยี่ยม) *เรื่องนี้ห้ามอ่านสปอยล์ก่อนเด็ดขาด
ถือว่าเป็นหนังสืบสวนที่ดูเพื่อเอาแนวคิดจริงจังก็ได้ หรือว่าจะดูแบบบันเทิง ลุ้นว่าใครเป็นฆาตกรก็ดูได้เช่นกัน หนังมีเนื้อเรื่องที่ดีจากนิยาย หักมุมอ้าปากค้าง บทสรุปสุดท้ายกินใจ แม้หนังจะดูหล่อเกินไปบ้างตามภาษานิยาย แต่ก็สอนเราได้ลึก เรื่องโปรดักชัน ซีจี มุมกล้อง ก็ทำได้เยี่ยม สวยงาม นักแสดงตีบทแตกผ่านฉลุยกันทุกคน จะมีข้อเสียก็ตรงที่ว่าบางช่วงดำเนินเรื่องไวมากจนตามไม่ทัน
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคะแนนจากเว็บวิจารณ์มันน้อยผิดปกติ เดาว่ามันเคยเป็นหนังมาหลายเวอร์ชัน คนรู้เนื้อเรื่องหมดแล้วหรือชอบเวอร์ชันเก่ามากกว่า อีกอย่างที่เป็นไปได้คือ หนังไม่สามารถถอดความจากนิยายอย่างได้สมบูรณ์ คนจึงไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ผมไม่เคยดูเวอร์ชันอื่นด้วยแหละ ไม่รู้ว่ามันดีกว่ามากมั้ย บางคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกว่าหนังทำได้เกินความคาดหมายนะ ตอนแรกผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ด้วยแหละ (รู้แค่ว่ารวมนักแสดงคุณภาพ) แถมเห็นว่าหนังทำจากนิยายด้วย เลยไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีมาก
" สำหรับผมรู้สึกชอบมาก ประทับใจ ชอบในสไตล็หนังคลาสสิค แก่นหนังที่ต้องการสื่อดี ชอบที่มันไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องเฉลยคนร้ายแล้วจบ แต่พูดถึงเรื่องที่เป็นนามธรรมเชิงลึกอย่างเรื่องความยุติธรรม มโนธรรม มันทำให้หนังดูลึก ดูมีมิติดี "
ถ้าเป็นคอหนังแนวสืบสวน Murder on the Orient Express เหมาะกับคุณ แต่ถ้าไม่ใช่คอหนังสืบสวน เป็นคอหนังธรรมดาที่อยากดูหนังสนุก โปรดักชันดี Murder on the Orient Express ก็ตอบโจทย์เช่นกัน
ป.ล. ดูเหมือนทางค่ายจะมีแผนสร้างภาคต่อด้วยเป็น Death on the Nile มาจากนิยายของอากาธา คริสตี้เช่นกัน
Kenneth Branagh is expected to return as Hercule Poirot
ป.ล.2 สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ