ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจมากๆนะคะ inbox ถล่มทลายมาก จนตกใจ
แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน เราไม่แนะนำให้ทำเอง ถ้าไม่รู้ความรู้นะคะ
ส่วนเรื่องที่ วิตามินอีและซีเป็นรูปแบบออย เหตุผลเพราะ
1. เราต้องการใช้กับรอยแผลที่ผิวชั้นนอก ซึ่งผิวชั้นนอกของคนเรา ประกอบด้วยน้ำมัน รูปแบบออยจะเข้ากับผิวชั้นนอกได้ดีกว่า
2. เราต้องการความเสถียรคะ ซึ่งวิตามินสังเคราะห์ในรูปแบบออยเสถียรกว่า ประมาณนี้นะคะ
เพื่อลดการหมิ่นประมาทว่าเราขายของ ซึ่งจริงๆตอนแรกเราไม่ได้ขาย แต่มีคน inbox ขอแบ่งซื้อ ทั้งวิตามินอี และเซรั่มที่ทำเอง
ขออนุญาติแนะนำที่ให้ไปซื้อของเองได้ที่ร้าน (ดูชื่อร้านในรูปด้านล่างๆนะคะ ป.ล.เราไม่มีส่วนได้เสียใดๆนะคะ)
+++ คนที่หลังไมค์เรามาไม่ถึง 500 คนหรอกคะ มันไม่ได้ทำให้เรารวยแบบถล่มทลายแน่นอน ไม่ต้องห่วง +++
*** ขออนุญาตเกริ่นความเป็นมานิดนึงนะคะ ใครรีบข้ามไปอ่านช่วงที่ 3-4 เลยคะ ***
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โดยปกติเราเป็นคนใช้ เวชสำอางคะ ไล่ไปตั้งแต่ ยูเซอริน ลาโลช วิชชี่ ยัน พอลล่าชอยท์
เพราะเรารู้สึกเชื่อใจ ถึงแม้ว่าราคามันจะสูงก็ตาม แต่อยู่มาวันนึงเราต้องทานยาเกี่ยวกับฮอร์โมน
แล้วเกิดอาการสิวบุกคะ ด้วยความคันมือก็แกะคะ แกะมาเป็นฝูง ผลหลังจากนั้นคือ รอยดำบนหน้า
1 เดือนผ่านไป ... รอยดำยังอยู่
2 เดือนผ่านไป ... รอยดำก็ยังอยู่
3 เดือนผ่านไป ... รอยก็ยังอยู่ครบ
อาจจะเพราะอายุ 30 แล้ว ก็เลยหายยาก
แต่สิ่งที่เรารู้สึกคือ เวชสำอาง ช่วยไม่ค่อยได้แฮะ หรือว่ามันอ่อนไปหว่า เราก็เลยไปถามเพื่อนที่เป็นหมอคะ
เป็นแพทย์ชญิง ซึ่งหล่อนบอกว่า มิงงงนี่จะแกะหน้าหาพระแสงหรอ หน้าอย่างนี้ผู้ชายที่ไหนจะเอาเป็นเมีย
เอานี่ไปวิตามินอี เข้มข้น 100g (1 ขีด) 260 บาท ราคาต้นทุน ดีกว่ายี่ห้อ สอู๊ดอี เอาไปใช้ซะ
จะได้ลงจากคานสักที หายแล้วมาพาฉันไปเลี้ยงข้าวด้วย ผู้ชายไม่ต้องฉันมีเยอะแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เอิ่ม ... จะแม่คุณ เห็นเดือนที่แล้วยังโอดโอย เพราะโดนผู้ชายทิ้งอยู่เลย เดือนนี้ปากดีซะละ
แต่เนื่องจากมันเป็นเพียว วิตามินอีคะ มันจะมีความโคตรหนืด หนืดพอๆกับน้ำผึ้ง ส่วนที่มีขายทั่วไป
จะเป็นวิตามินอี ผสมซิลิโคน หรือไม่ก็ทำเป็นครีมนะคะ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาใส่วิตามินอีจริงๆเท่าไหร่
ใช้ไป 7 วัน แม่ทักไปทำอะไรกับหน้ามา มันดีขึ้นแล้วนิ ก็เลยเล่าให้แม่ฟัง
แม่บอกเอามาใช้บ้าง เหิ่ยวจะแย่แล้ว (แม่อายุ 60 แล้วคะ) ไม่เหิ่ยวก็แปลกละแม่
ใช้ไป 1 เดือน รอยดงรอยดำหายแทบหมดละคะ หลังจากนั้นเราก็เสริมด้วยน้ำมะเฟืองคั้นสด
ส่วนแม่กลับมาบอกว่า เพื่อนเริ่มทักละว่า หน้าดีกว่าเดิม ไปซื้อมาเพิ่มให้หน่อยจะเอาไปแบ่งเพื่อน
ใช้ไป 3 เดือน หน้าเนียนกิ๊ก แต่งานที่งอกเพิ่มคือ แม่และเพื่อนๆ กลับมาถามว่ามีอะไรที่ดีกว่านี้อีกไหม
เอาวิตามินอี ผสมกับน้ำมะเฟืองเลยได้ไหม มีแบบยกกระชับไหม ไอเราก็เอิ่มมม นู๋ไม่ใช่หมอนะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หลังจากนั้นเราก็เลยชวนเพื่อนที่เป็น แพทย์ชญิงสุดเลิฟของเรา ไปกินข้าวคะ ตอบแทนที่ทำให้หน้าเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม
และรีเควสนางไปว่า แม่และป้าๆ อยากได้อะไรที่ดีๆอีก พอจะมีแนะนำอีกไหม หล่อนก็เลยบอกว่า ถ้าจะเอาแสนดีก็แพงนะแก
ส่วนผสมบางอย่างก็ โลละเป็นแสน และไม่แบ่งขายเป็นขีด ก็เลิกลากกันไปร้านขาย สารสำหรับเครื่องสำอางแถวเยาวราชคะ
ปรากฏว่าตัวที่แสนดีมันราคาแพงจริงๆ (ที่เชื่อว่าดี เพราะเขามีเปเปอร์ให้เราได้อ่าน อย่างน้อยก็เห็นผลการทดลองจากแลป)
หลังจากเราได้ราคามา เนื่องจากเราไม่อยากทำเองคะ เพราะทำไม่เป็น ก็เลยไปไล่ถามโรงงาน ว่าถ้าใส่ส่วนผสมตามนี้
ราคาเท่าไหร่ โดยเราไล่หาจากโรงงานที่มี GMP คะ ในประเทศไทยมีโรงงานได้ GMP ประมาณ 170 โรงงาน
แต่เราจะเลือกที่เขาได้ GMP 2 ปึขึ้นไป เพราะการมี GMP 1 ปีแปลว่า อ.ย. อาจะให้เวลา 1 ปีเพื่อการปรับปรุง
ผลปรากฎว่า โรงงานส่วนใหญ่จะเริ่มฟาดราคาเรา ด้วยการบังคับให้เราพัฒนาสูตรกับเขา และบังคับซื้อ
ขั้นต่ำที่ 5 กิโลขึ้นไป คือถ้าเธอไม่ซื้อสูตรมาตรฐานของฉัน อย่างน้อยต้องจ่าย 50,000 ก่อนนะแจ๊ะ ไม่งั้นฉันไม่ทำ
เราก็บอกโรงงานว่า 5 โลก็ได้ เพราะป้าๆ ไม่เกี่ยงราคา ขอแค่เป็นของดี เพราะปกติก็ใช้ ละเมอ กับ เจอหลีก อยู่แล้ว
เราเซอร์เวย์ไป 30 โรงงานคะ ฝั่งกรุงเทพ นนทบุรี และ ปทุมธานี (พอดีสะดวกฝั่งนี้)
มีไม่ถึง 10 โรงงานที่พอจะมีส่วนผสมที่เราอยากได้ คัดไปคัดมาเหลือ 3 โรงงานที่ดูดี โดยคัดจาก
คุณภาพการตอบคำถามของเซลล์ รวมถึง แคตตาล็อคสารให้เลือก ส่วนมากไม่ค่อยมีกัน มีไม่กี่ที่ที่มี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 4
มาถึงจุดไคล์แม็กคะ เนื่องจากเรารู้ราคาต้นทุนของ สารที่ใส่ในเครื่องสำอางตัวที่เราอยากได้
อยู่ที่ 37,000 คะ / 1 กิโลคะ เป็นตัวที่ได้รางวัลในงาน in-cosmetics เอาตัวเดียวละกันนะคะ
เพื่อจะได้เห็นภาพได้ง่าย โดยปกติที่จุด Effective ของสารตัวนี้อยู่ที่ 2% ต่อน้ำ 100%
เพราะฉะนั้นถ้าเราสั่งทำเบสครีม
1 กิโล จะต้องใส่สารตัวนี้ = 2% x 1000 กรัม = 20 กรัม =
740 บาท
โรงงานเสนอราคาที่
4,500-5,000 บาท
แต่ไม่รับทำ
5 กิโล จะต้องใส่สารตัวนี้ = 2% x 5000 กรัม = 100 กรัม =
3,700 บาท
โรงงานเสนอราคาที่
22,500-25,000 บาท
แต่ไม่รับทำ
10 กิโล จะต้องใส่สารตัวนี้ = 2% x 10000 กรัม = 200 กรัม =
7,400 บาท
โรงงานเสนอราคาที่
44,400-50,000 บาท
รับทำ
เราให้ราคาเบสครีมที่ + รวมค่าดำเนินงานที่ 1,000 บาท / กิโล
เปรียบเทียบกับสูตรมาตรฐานที่ราคาถูกหน่อย จริงๆ 500 บาท / กิโล ก็มี
ค่าพัฒนาสูตรไปอีก 2,000-5,000 บาท แยกต่างหากนะคะ
เพราะพัฒนาสูตรโดยเภสัช ส่วนคนกวนครีมก็แค่คนธรรมดาแบบเรานี่แหละคะ
เพราะฉะนั้น คนทำแบรนด์จะโดนบวกราคาไปแล้ว 5-6 เท่าตัว
ส่วนผู้บริโภคจะโดนบวกราคาเข้าไปอีก 3-5 เท่าตัว ตามที่เราดูราคาตลาด
และไม่นับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ต้องใช้ค่าการโฆษณามหาศาล และยิ่งถ้าขายราคาถูก
ก็แปลว่าคุณภาพต้องยิ่งน้อยลงๆ ถึงจะมี economics of scale ก็ตาม
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 5
สุดท้ายเราตัดสินใจไปซื้อส่วนผสมเอง แล้วให้เพื่อนเราทำให้คะ นางทำได้เพราะนางจบแพทย์ และ คอสเมติก
หมดค่าส่วนผสมไป 20,000 นิสๆ และ ค่าเลี้ยงข้าว + ค่ารถคุณเพื่อนไปอีกเหมาๆ ก็แค่ 5,000 ให้ค่าความ
เป็นหมอของนาง โดยได้ส่วนผสมดีๆ มาทั้งหมด 8 ตัว ซึ่งเมื่อลองเทียบแบบขำๆ กับราคาโรงงานแล้ว
25,000 ได้ที่ 5 กิโลกับ ส่วนผสมดีๆ 1 ตัว (โรงงาน) ใส่ที่ 2 %
25,000 ได้ที่ 5 กิโลกับ ส่วนผสมดีๆ 8 ตัว (จ้างเพื่อน) ใส่ไปรวมๆ 24%
ส่วนค่าอุปกรณ์ก็มีกิโลดิจิตอล 1,500 บาท บีกเกอร์ ไซลิงค์ ช้อนตวง รวมๆเราให้ 2,000 บาท
ส่วนค่าอื่นๆที่เราเซอร์เวย์เล่นๆ แถวแหล่งถนนหลานหลวง มีตามนี้คะ
พวกนี้เป็นราคามาตรฐานนะคะ ไม่รวมบล็อคสีเงิน สีทอง ปั้มนูน หรือออปชั่นพิเศษ
ค่าบรรจุภัณฑ์ แล้วแต่แบบคะ
ค่าบรรจุผลิตภัณฑ์ลงกระปุก 5-7 บาท / ชิ้น
ค่าออกแบบลายสกรีน 1,500 - 3,000 บาท
ค่าสติ๊กเกอร์หน้าหลังเริ่มต้นที่ 6 บาท / 2 ชิ้น
ค่าสติ๊กเกอร์แบบ ตร.เมตร 750-1000 / ตร.เมตร
ค่าสกรีน หลอด ขวด กระปุก 7-10 บาท / ด้าน
ค่ากล่องพร้อมพิมพ์ตกประมาณ 25-30 บาท / ชิ้น
สรุป ผู้บริโภคจะโดนค่า บรรจุและบรรจุภัณฑ์ ขั้นต่ำที่ 60 บาท ถ้ามีกล่องคะ
หลอดถูกๆ ก็ 5-10 บาท ค่าสติ๊กเกอร์ / สกรีน 15-30 บาท / ค่ากล่อง 25-30 บาท
เบ็ดเสร็จผู้บริโภคจะซื้อของแพงกว่าราคาต้นทุนประมาณ 5-10 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ
หรืออาจจะมากกว่านั้น และบวกค่าบรรจุภัณฑ์ต่างหากนะเค๊อะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ จบ
ป.ล. จริงๆ เรายอมจ่ายนะ ถ้าสินค้าจะเป็นของดี ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตใคร เพราะยังไงก็ซื้อเวชสำอางอยู่แล้ว
แต่วงการนี้ เรามองไม่เห็นว่าที่บอกใส่ 2% จะเป็น 2% จริงหรือหลอก หรือแค่เบสครีมธรรมดาแล้วเอามาเปลี่ยนกลิ่น
หรือจะหลอกเราก็ได้ แต่ขอคำมโนที่ชัดๆหน่อยจะขอบคุณมาก ไม่ใช่ถามว่าวิตามินซีตัวไหนสเถียรสุด แต่กลับตอบไม่ได้
แบบเซลล์หลายๆที่ เพราะเราไม่รู้จะเชื่อใจโรงงานได้จากอะไร นอกจากคำอธิบายดีๆ หรือ เปเปอร์การทดสอบที่ชัดเจน
แชร์ประสบการณ์ หาโรงงานผลิตครีม ความจริงที่ผู้บริโภคโดนฟาดราคาหัวแบะ
แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน เราไม่แนะนำให้ทำเอง ถ้าไม่รู้ความรู้นะคะ
ส่วนเรื่องที่ วิตามินอีและซีเป็นรูปแบบออย เหตุผลเพราะ
1. เราต้องการใช้กับรอยแผลที่ผิวชั้นนอก ซึ่งผิวชั้นนอกของคนเรา ประกอบด้วยน้ำมัน รูปแบบออยจะเข้ากับผิวชั้นนอกได้ดีกว่า
2. เราต้องการความเสถียรคะ ซึ่งวิตามินสังเคราะห์ในรูปแบบออยเสถียรกว่า ประมาณนี้นะคะ
เพื่อลดการหมิ่นประมาทว่าเราขายของ ซึ่งจริงๆตอนแรกเราไม่ได้ขาย แต่มีคน inbox ขอแบ่งซื้อ ทั้งวิตามินอี และเซรั่มที่ทำเอง
ขออนุญาติแนะนำที่ให้ไปซื้อของเองได้ที่ร้าน (ดูชื่อร้านในรูปด้านล่างๆนะคะ ป.ล.เราไม่มีส่วนได้เสียใดๆนะคะ)
+++ คนที่หลังไมค์เรามาไม่ถึง 500 คนหรอกคะ มันไม่ได้ทำให้เรารวยแบบถล่มทลายแน่นอน ไม่ต้องห่วง +++
*** ขออนุญาตเกริ่นความเป็นมานิดนึงนะคะ ใครรีบข้ามไปอ่านช่วงที่ 3-4 เลยคะ ***
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 4
มาถึงจุดไคล์แม็กคะ เนื่องจากเรารู้ราคาต้นทุนของ สารที่ใส่ในเครื่องสำอางตัวที่เราอยากได้
อยู่ที่ 37,000 คะ / 1 กิโลคะ เป็นตัวที่ได้รางวัลในงาน in-cosmetics เอาตัวเดียวละกันนะคะ
เพื่อจะได้เห็นภาพได้ง่าย โดยปกติที่จุด Effective ของสารตัวนี้อยู่ที่ 2% ต่อน้ำ 100%
เพราะฉะนั้นถ้าเราสั่งทำเบสครีม
1 กิโล จะต้องใส่สารตัวนี้ = 2% x 1000 กรัม = 20 กรัม = 740 บาท
โรงงานเสนอราคาที่ 4,500-5,000 บาท แต่ไม่รับทำ
5 กิโล จะต้องใส่สารตัวนี้ = 2% x 5000 กรัม = 100 กรัม = 3,700 บาท
โรงงานเสนอราคาที่ 22,500-25,000 บาท แต่ไม่รับทำ
10 กิโล จะต้องใส่สารตัวนี้ = 2% x 10000 กรัม = 200 กรัม = 7,400 บาท
โรงงานเสนอราคาที่ 44,400-50,000 บาท รับทำ
เราให้ราคาเบสครีมที่ + รวมค่าดำเนินงานที่ 1,000 บาท / กิโล
เปรียบเทียบกับสูตรมาตรฐานที่ราคาถูกหน่อย จริงๆ 500 บาท / กิโล ก็มี
ค่าพัฒนาสูตรไปอีก 2,000-5,000 บาท แยกต่างหากนะคะ
เพราะพัฒนาสูตรโดยเภสัช ส่วนคนกวนครีมก็แค่คนธรรมดาแบบเรานี่แหละคะ
เพราะฉะนั้น คนทำแบรนด์จะโดนบวกราคาไปแล้ว 5-6 เท่าตัว
ส่วนผู้บริโภคจะโดนบวกราคาเข้าไปอีก 3-5 เท่าตัว ตามที่เราดูราคาตลาด
และไม่นับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ต้องใช้ค่าการโฆษณามหาศาล และยิ่งถ้าขายราคาถูก
ก็แปลว่าคุณภาพต้องยิ่งน้อยลงๆ ถึงจะมี economics of scale ก็ตาม
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ช่วงที่ 5
สุดท้ายเราตัดสินใจไปซื้อส่วนผสมเอง แล้วให้เพื่อนเราทำให้คะ นางทำได้เพราะนางจบแพทย์ และ คอสเมติก
หมดค่าส่วนผสมไป 20,000 นิสๆ และ ค่าเลี้ยงข้าว + ค่ารถคุณเพื่อนไปอีกเหมาๆ ก็แค่ 5,000 ให้ค่าความ
เป็นหมอของนาง โดยได้ส่วนผสมดีๆ มาทั้งหมด 8 ตัว ซึ่งเมื่อลองเทียบแบบขำๆ กับราคาโรงงานแล้ว
25,000 ได้ที่ 5 กิโลกับ ส่วนผสมดีๆ 1 ตัว (โรงงาน) ใส่ที่ 2 %
25,000 ได้ที่ 5 กิโลกับ ส่วนผสมดีๆ 8 ตัว (จ้างเพื่อน) ใส่ไปรวมๆ 24%
ส่วนค่าอุปกรณ์ก็มีกิโลดิจิตอล 1,500 บาท บีกเกอร์ ไซลิงค์ ช้อนตวง รวมๆเราให้ 2,000 บาท
ส่วนค่าอื่นๆที่เราเซอร์เวย์เล่นๆ แถวแหล่งถนนหลานหลวง มีตามนี้คะ
พวกนี้เป็นราคามาตรฐานนะคะ ไม่รวมบล็อคสีเงิน สีทอง ปั้มนูน หรือออปชั่นพิเศษ
ค่าบรรจุภัณฑ์ แล้วแต่แบบคะ
ค่าบรรจุผลิตภัณฑ์ลงกระปุก 5-7 บาท / ชิ้น
ค่าออกแบบลายสกรีน 1,500 - 3,000 บาท
ค่าสติ๊กเกอร์หน้าหลังเริ่มต้นที่ 6 บาท / 2 ชิ้น
ค่าสติ๊กเกอร์แบบ ตร.เมตร 750-1000 / ตร.เมตร
ค่าสกรีน หลอด ขวด กระปุก 7-10 บาท / ด้าน
ค่ากล่องพร้อมพิมพ์ตกประมาณ 25-30 บาท / ชิ้น
สรุป ผู้บริโภคจะโดนค่า บรรจุและบรรจุภัณฑ์ ขั้นต่ำที่ 60 บาท ถ้ามีกล่องคะ
หลอดถูกๆ ก็ 5-10 บาท ค่าสติ๊กเกอร์ / สกรีน 15-30 บาท / ค่ากล่อง 25-30 บาท
เบ็ดเสร็จผู้บริโภคจะซื้อของแพงกว่าราคาต้นทุนประมาณ 5-10 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ
หรืออาจจะมากกว่านั้น และบวกค่าบรรจุภัณฑ์ต่างหากนะเค๊อะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ จบ
ป.ล. จริงๆ เรายอมจ่ายนะ ถ้าสินค้าจะเป็นของดี ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตใคร เพราะยังไงก็ซื้อเวชสำอางอยู่แล้ว
แต่วงการนี้ เรามองไม่เห็นว่าที่บอกใส่ 2% จะเป็น 2% จริงหรือหลอก หรือแค่เบสครีมธรรมดาแล้วเอามาเปลี่ยนกลิ่น
หรือจะหลอกเราก็ได้ แต่ขอคำมโนที่ชัดๆหน่อยจะขอบคุณมาก ไม่ใช่ถามว่าวิตามินซีตัวไหนสเถียรสุด แต่กลับตอบไม่ได้
แบบเซลล์หลายๆที่ เพราะเราไม่รู้จะเชื่อใจโรงงานได้จากอะไร นอกจากคำอธิบายดีๆ หรือ เปเปอร์การทดสอบที่ชัดเจน