เเชร์ประสบการชีวิตครับ กับการขึ้นสู่จุดสูงสุด เเละตกต่ำที่สุดในชีวิต ในเวลา 7-8 ปี

ผมเกิดอยู่ ต่างจังหวัดครับ มีพี่น้อง 3 คน (รวมผม) ในครอบครัวข้าราชการ พ่อเป็นครู เเม่เป็นพยาบาล

      ผมโตมากับหนี้สิน เนื่องจากคุณพ่อสร้างครอบครัวใหม่ ไม่ได้มั้งมีอะไร (เเทบไม่มีอะไรเลย) บวกกับการกู้เงินที่เเสนง่ายดายของการเป็นครู (สหกรณ์ออมทรัพย์) ทำให้มีหนี้สินเยอะ เงินส่วนใหญ่ที่เอามาใช้ก็เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของครอบครัว สมัยนั้นบัตรเครดิตก็ทำง่าย เเละที่น่าห่วงที่สุดคือวินัยทางการเงินของเเกไม่ค่อยจะมี ครอบครัวเราจึงใช้จ่ายค่อนข้างฟุ่มเฟือย(ไม่มาก เเต่ก็เกินฐานะ)

      คุณพ่อเป็นคนจิตใจดีมากครับ เเกจะนึกถึงคนอื่นตลอด เเกจะรักคนในครอบครัวมาก มีอะไรก็อยากจะให้ได้อยู่ดีกินดี จนลืมความจริงของฐานะการเงินของตัวเองไป การกู้เงินมาโดยไม่คิด เป็นจุดเริ่มต้นความหายนะเลยทีเดียว วลีเด็ดของพ่อผมคือ "หนี้ก็อยู่ส่วนหนี้" (เงินได้มาไม่ใช้หนี้ 55)

ต่อมาถึงคราวที่เงินในอนาคตมันมาตามคืนครับ ปรากฏว่าไม่มีใช้ครับ โดนฟ้อง ยึดบ้าน ขึ้นศาล เงินเดือนพ่อโดนหัก เหลือ 650 บาท พ่อต้องทำงานหนักมากครับ เเกสอนพิเศษที่สถาบันกวดวิชาทุกวันครับ เดือนนึงไม่มีวันหยุด ผมสงสารพ่อมาก เเต่มันก็พอทำให้เราเอาตัวรอดมาจากวิกฤติครั้งนั้นได้

      คุณเเม่ผมเเยกตัวออกไปตอนผมอยู่ ป.4 อยู่กันไปก็มีเเต่จะเเย่ลง เเม่ผมไปลงหลักปักฐานที่จังหวัดใกล้เคียง (ในปัจจุบันก็ฐานะดีที่เดียว)

      ชีวิตส่วนใหญ่ตอนร่ำเรียนผมเเละพี่ชายอยู่กับพ่อ ส่วนน้องชาย คุณเเม่เอาไปเรียนด้วยเป็นเพื่อน (ผมก็เคยไปอยู่กับเเม่ตอนเเกเเยกตัวออกไป เเต่ตอนมัธยมก็ต้องกลับมาอยู่กับพ่ออยู่ดี เพราะเป็นโรงเรียนดังของจังหวัด มีสิทธิ์เข้าเรียนได้โดยไม่ยุ่งยาก)

      ชีวิตอยู่กับพ่อค่อนข้างลำบากครับ เเต่พวกเราก็เลือกที่จะอยู่กับพ่อ เพราะเเกเป็นคนดี(มากๆ) เเละพวกเราก็ผูกพันธ์กับจังหวัดบ้านเกิด  ในบางวันเรามีเงิน 20 บาท เราก็ซื้อส้มตำ 10 บาท ไข่อีก 10 บาท (สมัยนั้นได้ 3-4 ฟอง) กินอื่มกันทั้งครอบครัวครับ บางครั้งมี 40 บาท ก็สูตรเดิม เพิ่มเติมคือของหวานถุงละ 7 บาท 3 ถุง 20 บาท บางครั้งทั้งบ้านต้องค้นตู้เสื้อผ้า เพื่อที่จะหาเศษเงินที่พ่อเเกชอบลืมไว้ในเสื้อผ้าเอามาซื้อกับข้าวกินกัน  บางครั้งก็มีปาฏิหารยืมาช่วย

      ช่วงนั้น ผมน้อยใจชีวิตมาก ว่าทำไมชีวิตถึงลำบากขนาดนี้ ผมกัดฟันคิดมาตลอดว่าซักวัน ถ้าเรามั่งมี จะพาครอบครัวกินอาอาหารหรูๆมันทุกวันเลย (นี่ก็เป็นส่วนนึงของจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวของผม)

      การศึกษาพี่ผมเรียนเก่ง จบวิศวะ การงานค่อนข้างดี เเต่ก็ยังลุ่มๆดอนๆ (คงเป็นเพราะวินัยทางการเงินรึเปล่าไม่รู้ ฮ่า)
ส่วนของผมเเย่ครับ ผมเรียนไม่จบ ม.6 ผมได้เข้าเรียนอาชีวะ 2 รอบ ไม่จบทั้งสองรอบ จนสุดท้ายได้มาจบ กศน.ครับ ตอนนั้นคิดได้ เลยไปสอบเข้ามหาลัยชื่อดังได้ เเต่ก็เรียนไม่จบอีกเช่นเคย ต่อมาไปเรียนราม ก็เเน่นอนครับว่าไม่จบ ต่อไปเข้ามหายลัยเเถวบ้าน ก็ยังไม่รอดครับ ผมรู้สึกว่าผมเข้ากับระบบการศึกษาไม่ได้ (หรือผมอาจจะเป็นคนไม่ตั้งใจก็ได้นะครับ ฮ่าๆ)

      มีครั้งนึงตอนอายุ 18-19 ปี ผมมีโอกาสได้หุ้นกับพี่คนนึงทำร้านจิ้มจุ่ม  (ตอนเเรกแกเปิดร้านคนเดียวครับ เเล้วท่าจะเจ๊ง) ลงหุ้นกับเเกเเค่ 2500 บาท ที่น้อยเพราะสถานที่มีเเล้ว อุปกรณ์มีหมดเเล้ว ผมเเค่ไปซื้อของมาทำขาย โดยพี่เเกสอนวิธีทำให้หมด หลังจากผมเข้าไปทำ มันไปได้ดีครับ ผมได้กำไรวันละ 500 บาทขึ้นตลอด บางวัน 1000 ก็มี (สำหรับเด็กอายุขนาดนั้นถือว่าเยอะครับ)

      ขอเล่านิดนึงนะครับ ตอนเข้าไปทำวันเเรกก็ตกเเต่งร้านให้มันเด่น ปรับเรื่องความสะอาดต่างๆนาๆ ลูกค้าเก่าก้มาประปราย เลยไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรมากมาย วันที่สองเป็นวันที่มันมากครับ โต๊ะมี 7 โต๊ะ ลูกค้าเข้าเต็ม เเต่หม้อจิ้มจุ่มมี 5 หม้อ ตอนนั้นประมาณ 20.00น.!!! จะไปหาซื้อหม้อจากไหนวะเนี่ย ดีที่ไปเจออยู่เเม็คโคร (ไม่คิดว่าจะมี)  ต่อมาเเก้วไม่พอ!!! วิ่งไปยืมบ้านน้องๆที่รู้จักมาจนครบ เดี่ยวก็กระดาษทิชชู่ไม่พอ ไม่จิ้มฟันไม่มี  เเต่ผมรู้สึกสนุกมากครับ เเต่ก็ผ่านมันมาได้  

     นี่คือคือความสำเร็จเเรกในชีวิตของผม!

     ทำอยู่ 5-6 เดือน ต่อมากิจการจำเป็นต้องเลิกกิจการครับ ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ด้านสถานที่ เเละหุ้นส่วน กอปรกับผมต้องไปเรียนต่อ

      ต่อมาผมรู้จักกับผู้หญิงคนนึง ใช้ชื่อย่อว่า P เเล้วกันนะครับ คบกันซักพักผมก็เอามาอยู่บ้านเลย เพราะบ้านขาดคนงาน เย้ย...ไม่ใช่ ตอนนั้นผมอายุประมาณ 22 ปี (อายุเท่ากัน) อยู่ไปๆมาๆ P ท้องครับ!!! นึกในใจ ตายห่า! งานก็ไม่มี ครอบครัวก้ยังลำบาก ยังมามีภาระเพิ่มอีก จะอยู่ยังไงวะเนี่ย  

     ตอนนั้นเริ่มคิดละครับว่าจะหาเงินยังไง อ่อ...ลืมบอก ผมเป็นคนมีหัวธุรกิจตั้งเเต่เด็กๆ เเต่สิ่งที่เสนอคุณเเม่ไป ไม่ค่อยได้รับการยอมรับซักเท่าไหร่ (ที่ต้องขอคุณเเม่เพราะเเกเเยกไปเเล้วตั้งตัวได้ เริ่มมีเงินครับ เเต่เเกก็ไม่ได้ให้พวกผมนะครับ จะออกเเนวส่งเรียน จ่ายค่าเทอมให้ซะมากกว่า)

     ผมมองว่าธุรกิจร้านเน็ตน่าจะดี เนื่องจากผมได้เคยไปศึกษาย่านมหาลัยชื่อดังเเห่งนึง ร้านเน็ตคนเต็มตลอด ลองมาคำนวนรายได้คร่าวๆดูมันน่าจะเวิร์ค พอดีพ่อได้เงินกู้ออมทรัพย์มาประมาณ 4 เเสนครับ  เเละผมไปเจอทำเลดีมากๆ ผมเลยบอกว่าพ่อว่า

ผม:พ่อ ขอหน่อย 3 เเสน จะเปิดร้านเน็ต
พ่อ:เอาสิ ทำเลย

     เชื่อมั้ย ผมน้ำตาคลอเลย คนที่ทำอะไรเเทบไม่ประสบความสำเร็จซักอย่างในชีวิต เเต่เค้ากล้าเจียดเงินเกือบ 75% มาให้ผมทำร้านที่ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า โดยที่ไม่เเย้งอะไรเลย T T

     บอกตรงๆครับ ผมคนสายลุย ไม่ได้ศึกษาอะไรมากเท่าไหร่ เชื่อลางสังหรณ์ตัวเอง เสียค่าโง่ค่อนข้างบ่อยครับ เเต่ก็ถือว่าซื้อประสบการณ์

     เปิดกิจการมาเดือนเเรก ค่อนข้างเงียบครับ เเต่เดือนที่ 2 ปังน่าดู (คอม 10 เครื่อง) รายได้ตอนนั้นเฉียดวันละ 1500 บาท ตลอด ตกเดือน 45000 บาท หักค่าใช้จ่าย ก็รับอยู่ราวๆ 3 หมื่น เเละต่อมาได้ขยายร้านเป็น 12 เครื่อง (ยัดได้เเค่นี้)  ต่อมา ผมมีโอกาสได้รับเงินทุนจากเเม่(กู้ให้เเต่ให้ผมจ่ายเอง)ไปเซ้งกิจการของคู่เเข่ง ตรงนั้นมีล็อกว่าง 2 ล็อคติดกัน ผมเลยย้ายร้านเเล้วยกเครื่องร้านที่ไปเซ้งใหม่  ช่วงนั้นร้านเน็ตบูมมากครับ ค่าเกมส์ดังเพิ่งเข้ามาใหม่ ผมมี 2 ร้านรวมกัน 28 เครื่อง ร้านผมเเทบจะดังที่สุดในจังหวัด (โม้ อิอิ) เพราะผมมีความรู้เรื่องคอม สเปคเลยค่อนข้างตรงใจลูกค้า รายได้ตอนนั้นรับอยู่วันละ 3000-3500 บาท เดือนนึงรับเกือบเเสน หักค่าใช้จ่ายเหลือ 7 หมื่นสบายๆ

     "นี่คือความสำเร็จที่ 2 ของผมครับ ธุรกิจร้านเน็ต"

     ต่อมาเเถวบ้านผม เริ่มมีหอพักมาสร้างครับ  พ่อกู้เงินได้อีกเเล้ว ประมาณ 1 เเสน ผมเลยลงซักผ้าหยอดเหรียญครับ 6 เครื่อง เชื่อมั้ย ผมคิดเล่นๆนะ ว่าได้เดือนละ 3000-3500 พอได้ค่าขนมลูกสาวก็พอเเล้ว เเต่พอเข้าเดือนที่สอง เเกะเงินออกมา ได้ 10000+ บาท!!!  ผมตกใจมากกับเงินลงทุนเพียง 7-8 หมื่น  

     "นี่คือความสำเร็จที่ 3 ของผมครับ ธุรกิจซักผ้าหยอดเหรียญ"

     เมื่อมีหอพักเเน่นอนครับ ต้องมีร้านค้า ในเเถบซอยบ้านผม ไม่ค่อยมีร้านขายของชำ มีก็เปิดๆปิดๆไม่เป็นเวลา ตอนอยากซื้อก็ดันไม่เปิด ผมเเค้นมาก เลยเปิดเองมันซะเลย  พ่อผมก็เกษียรพอดี อยากหาอะไรให้เเกทำเเก้เบื่อ ผมเลยไปขอยืมเงินเเม่ผมที่ฝากประจำไว้ให้น้องชาย 9 หมื่น เพื่อสร้าวห้องเเถวหน้าบ้าน (ล็อคเดียว) เพื่อเปิดร้านขายของ ตอนนั้นเเน่นอนครับ 9 หมื่นมันไม่พอเเน่นอน ผมเอาเงินจากร้านเน็ตมาช่วยด้วย มันก็พอดันเปิดได้ ผมกะที่ตรงนี้ กำไร 1-2 หมื่นก็โอเคละ เเต่พอเข้าเดือนที่ 2-3 กำไรมากขึ้นกว่าที่คากเท่าตัว ผมมีกำไรสุงสุดต่อเดือนถึง 4 หมื่นในบางเดือน (เเต่ก็ไม่ทุกเดือนนะครับ)

     ชีวิตผมสำเร็จมากมายกว่าที่คิด (ของเด็กเรียนไม่จบ)ชีวิตผมอู้ฟู่มากครับ วินัยทางการเงินผมเริ่มเเย่ ผมเริ่มใช้เงินเเบบไม่คิด ไม่มีสติ ผมพาครอบครัวกินเนื้อย่าง กินร้านอาหารใหญ่ มื้อละ 1000 กว่าบาท เเทบตลอด ตามที่ผมตั้งใจไว้ ว่าจะพาครอบครัวสุขสบาย ผมให้เงินเเม่(บางครั้งมาขอ) พี่ชาย(ทำงาน กทม) น้องชาย(กำลังศึกษา) เเบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ผมออกรถ(อันนี้จำเป็นอยู่) ผมต่อเติมบ้าน ผมพาครอบครัวไปเที่ยว เพราะผมคิดว่ายังไงผมก็ไม่มีทางจม ผมสร้างหนี้รายเดือนมากมาย  

     จนมาเจอตอ 2 ตอครับ ตอเเรกคือเรื่องรายได้ ช่วงมหาลัยปิดเทอม รายได้ผมลดลงเกือบ 40% รายจ่ายเท่าเดิม ตอที่สอง พ่อผมเกษียรเงินเดือนไม่พอหัก มีหนี้ก้อนนึงเด้งออกมาครับ ต้องจ่ายเดือนละ 18500 บาท

     ปัญหาเริ่มสะสมมาเรื่อยๆ เริ่มหมุนวันชนวัน เดือนชนเดือน หยิบหน้ามาโป๊ะหลัง เอาเงินจากอนาคตมาใช้ ไม่มีการวางแผนทางการเงินเลย ชีวิตอยู่ไปวันๆ ตอนมีก็ไม่เคยเก็บ หยิบเงินร้านมาใช้วันต่อวัน จนหนี้สะสมมันเพิ่มจนไม่ไหวครับ  สุดท้ายดันไม่ไหว พี่ชายที่ กทม. ก็เริ่มมีหนี้สะสมเหมือนกัน จึงตัดสินใจกู้เงิน 2 ล้านครับ โดยเอาบ้านครึ่งนึงไปจำนอง เลยเป็นหนี้ออมสินต้องจ่ายเดือนละ 15800 บาท เท่ากับตอนนี้ ผมต้องจ่ายเเน่ๆ คือหนี้พ่อ 18500 + หนี้บ้าน 15800 บาท + ผ่อนรถ 12000 บาท เท่ากับเดือนนึง ผมต้องจ่ายเหนาะ 46300 บาท ไม่รวมค่ากิน ค่าจิปาถะ ค่าสาธารณูปโภค ซึ่งมันเริ่มหนักมาก

     เงินกู้มาได้ 2 ล้านก็ไม่ได้ใช้อะไรมากนะครับ หักประกัน หักปิดยอดผ่อนรถของพี่ผม(ธนาคารบังคับ เพราะไม่ให้มีรายจ่ายมากไป) ใช้หนี้ ลงของที่ร้านขายของ ปรับปรุงร้านเน็ต ก็หมดละครับ

     ต่อมาชีวิตก็เหมือนเดิมครับ เพิ่มเติมคือหนี้สินที่เยอะขึ้น วินัยทางการเงินผมยังเเย่(เเต่ก็ดีที่เริ่มวางแผน) พอเข้าช่วงปิดเทอมก็เเย่อีก รายจ่ายก็เยอะมาก พี่ผมไปลงทุนเกิดบริษัทเองก็เเย่ ทุกอย่างเริ่มดิ่งอีกครั้ง สุดท้ายตัดสินใจเเบ่งขายที่ที่บ้านครับ

     บ้านผมลักษณะบ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่ครับ เนื้อที่ 1 ไร่ บ้านสร้างชิดมุมด้านนึง อีกด้านจะเป็นพื้นที่โล่ง เลยขายได้ครับ ที่ขายเพราะไปสืบราคาปัจจุบันปรากฏว่าราคาสูงมากครับ 2 งานผมขายได้เกือบ 4 ล้าน เเต่ด้วยที่ต้องรีบขาย เลยลดราคาลงมาเรื่อย จบที่ 3.5 ล้าน ซึ่งก็มากเกินฝันละครับ

     นี่คือการจับเงินล้านครั้งเเรกในชีวิตผม เเละมันก็เป็นจุดเปลี่ยนจุดนึงในชีวิตครับ ผมหลงระเริง ผมถือเงิน 3.5 ล้าน ผมคิดว่ามันไม่มีทางหมด เราคิดแผนกันไว้ว่า

1.ใช้หนี้
2.ลงทุน
3.ต่อเติมบ้าน
4.ไปเที่ยว
5.ซื้อของที่อยากได้

     ก็เริ่มใช้หนี้ปะปรายครับ ในระบบนอกระบบ หนี้สะสม  ต่อเติมบ้าน ลาดพื้นปูน ทำโรงรถ เเละซื้อรถอีกคัน (เเฟนอยากได้)  เเต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ผมตัดสินใจ ไม่ใช่หนี้ก้อนที่ต้องจ่าย 18500 ของพ่อ เพราะผมเลือกที่จะเพิ่มรายได้ เเทนที่จะเลือกลดรายจ่าย

     ลงทุนด้วยการขยายตึกเเถวเพิ่มเป็น 3 ล็อค (จาก 1) ผมตัดสินในว่าจะลองเปิดร้านเน็ตตามถนัดอีกร้าน ส่วนเเฟนผมจะเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว(ตกลงกันไว้ว่าจะจ่ายค่างวดรถเค้าเอง) ค่าใช้จ่ายในการสร้างสูงมากครับ ไหนจะต้องลงทุนอีกทำให้เงินหมดอย่างรวดเร็ว  

     ความหายนะเริ่มที่การเลือกที่จะต่อเติมบ้านเกินความจำเป็นครับ เพราะคิดว่าถือเงินเยอะ ไม่มีวันหมด ทำโน้นทำนี่ ทั้งที่ไม่จำเป็น (อยากให้พ่อสบายใจ ได้อยู่บ้านสวยๆ) คือผมจ้างเเบบค่าเเรงนะครับ เรื่องอุปกรณ์ผมซื้อให้ มันเริ่มบานปลายครับ เพราะมันเยอะกว่าที่วางแผนเอาไว้มาก พอวันคิดค่าเเรง ลงทุน ใช้หนี้ ทำอะไรเสร็จสัพเเล้ว ขาดค่าจ้างช่างไป 5 หมื่นครับ ผมต้องไปควักเอาทุนสำรองที่เก็บไว้ใช้ในธุรกิจต่างๆ มาจ่ายค่าช่าง เเละนี่คือจุดเริ่มต้นของความหายนะ

     ร้านเน็ตที่สร้างใหม่ไปได้ดีครับ ได้รายก็ตกวันละ 1500 บาท ซึ่งผมพอใจกับรายได้พอสมควร   เเต่ร้านก๋วยเตี๋ยวไปไม่รอดครับ ต้นทุนสูงมากครับ ผักเเพง ลูกจ้าง เหนื่อยมากครับ ต้องไปซื้อผักทุกเช้า กว่าจะปิดก็ 3-4 ทุ่ม เเทบไม่มีเวลาพักเลยครับ ทำไปทำมาอยู่ 3 เดือน กำไรไม่มีครับ เลยเลือกที่จะปิด เเละให้เช่าเเทน (ไม่มีคนมาเช่า)

     ทุกอย่างดำเนินไปลูปเดิมครับ เพิ่มเติมคือค่าผ่อนรถอีกคัน วินัยทางการเงินผมยังเเย่ ค่าหนี้สินรายเดือนเกือบ  5-6 หมื่น ค่ากินอยู่ค่อนข้างสูง ตกวันละ 1-2 พัน รวมๆเดือนนึง จะอยู่รอด ผมต้องมีรายได้ 1 เเสนบาทขึ้นไป

เดี่ยวมาต่อครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่