หากถามถึงประเทศในฝันของใครหลายๆ คน เชื่อเลยว่าเกือบร้อยทั้งร้อยคงไม่มีชื่อของ UAE หรือ United Arab Emirates ถ้าพอจะคุ้นๆ หูอยู่บ้างก็รัฐ DUBAI – ABU DHABI นั่นเอง เราเองก็เหมือนกัน ประเทศในฝันที่อยากไปมีเป็นสิบประเทศ แต่ก็ไม่มีประเทศนี้อยู่ในนั้นเหมือนกันแฮะ ถึงเวลาที่ได้ไปขึ้นมาจริงๆ ก็พยายามจะ search หานะว่า DUBAI – ABU DHABI สวยมั๊ยนะ มีอะไรบ้างนะ แต่ต้องยอมรับว่าที่นี่มี review น้อยมากจริงๆ
เตรียมตัวก่อนไป ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะในส่วนของ visa ทางทัวร์ก็จัดการให้หมด แต่เราต้องส่ง passport เล่มจริง หรือสำเนาหน้า passport โดยเอกสารต้องเป็นสีและชัดเจนไม่มีเงา ไม่เบลอ อีกอย่างที่อยากเตือนเอาไว้ visa ที่นี่เป็นกระดาษ A4 แผ่นนึง ไม่ได้แปะอยู่ในเล่ม passport อย่างประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นก็หมั่น recheck หน่อยเนอะว่า visa เดินทางไปพร้อมๆ กับเราตลอด trip รึปล่าวน้า
การแลกเงินที่ UAE ใช้เงินสกุล “เดอร์แฮม DIRHAM” อัตราแลกเปลี่ยนก็เทียบ 1 DIRHAM เท่ากับประมาณ 10 บาท เวลาซื้อของจะได้ประมาณและต่อราคากันง่ายๆ หน่อย เงินสกุลนี้สามารถแลกได้จาก SuperRich เราเองโทรไปจองไว้ก่อนเนื่องจากเพื่อนๆ ฝากแลกมาด้วย กลัวไปแล้วจะไม่มีให้แลกอะค่ะ ส่วนที่อยากจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเผื่อเอาไว้เลยว่า เวลาที่แลกเงิน เพื่อนๆ ควร recheck ธนบัตรที่ได้มานิดนึงนะคะ ว่าไม่มีรอยเขียนด้วยปากกา หรือสีเมจิก เราเจอมากับตัวเอง ปัญหาตอนแลกเงินไปไม่มีอะไร แต่พอเงินเหลือกลับมาจะแลกกลับ ปรากฏว่าแลกคืนได้ไม่หมด เจ้าหน้าที่แจ้งเรามาว่า สกุลเงินของตะวันออกกลางจะไม่รับแลกคืนหากบนธนบัตรมีรอยขีดเขียนด้วยปากกา หรือเมจิก ดังนั้นก็ดูกันดีดีนะคะตอนแลกไปอาจไม่มี แต่พอ shopping ไปๆ มาๆ อาจได้ติดมือมาตอนไหนก็ไม่รู้ เล่าเผื่อๆ ไว้กลับมาจะได้ไม่เสียโอกาส ส่วนใครไม่อยากแลกติดไปก็เอา USD ไปใช้ได้ค่ะ ร้านค้าส่วนใหญ่ที่นี่รับบัตรเครดิต สะดวกสบายเอื้อแก่การ shopping มากมาย
ไปไม่กี่วัน กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กกระทัดรัด เพราะมีกระเป๋ากล้องให้แบกอีกใบนึง trip นี้เราเดินทางกันด้วย TG517 เดินทางไปสนามบินนานาชาติดูไบ ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่ง กว่าจะถึงดูไบก็มืดแล้วค่ะ เวลาที่ดูไบ ช้ากว่าบ้านเราประมาณ 3 ชั่วโมง กว่าจะผ่าน ตม. เข้าเมืองมารับกระเป๋าก็เริ่มง่วงกันแล้วค่ะ แวะทานอาหารแล้วก็เข้าที่พัก เก็บแรงไว้สำหรับเช้าวันถัดไปดีกว่า
ระหว่างเดินทางไปโรงแรม local guide ก็เล่านู้นนี่นั่นให้ฟัง อย่างเช่น ค่าเงินที่นี่มีความผันผวนต่ำ 1 DIRHAM = 3.65 USD มานานไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนค่าเงินบ้านเราหรือประเทศอื่นๆ เนอะ 555 สังเกตระหว่างทางมีรถสวยๆ เต็มไปหมด ซึ่งรถยนต์ที่นี่เป็นรถนำเข้าทั้งหมด เพราะที่นี่ไม่มีแรงงานคนพอสำหรับการสร้างและประกอบรถยนต์ เมื่อคนในประเทศใช้รถ ประมาณ 5 ปีก็มักจะขายเป็นรถมือ 2 เนื่องจากค่า maintenance เริ่มจะสูงแล้ว โดยรถก็จะถูกขายไปยังประเทศโลกที่ 3
อากาศที่นี่ในแต่ละช่วงของปีมีความแตกต่างกันมาก หน้าร้อนก็จะร้อนสุดๆ ประมาณ 54 องศา เสื้อผ้าต้องตากในที่ร่ม ไม่งั้นจะกรอบจนเสียสภาพ แต่พอหน้าหนาวอุณหภูมิก็ลดต่ำลงเหลือเพียง 5 องศาเท่านั้น แถมลมยังพัดแรงอีกตะหาก ฟัง local guide โม้ซักพักก็ถึงโรงแรมที่พัก
เช้าวันใหม่หลังจากที่นอนไม่ค่อยจะหลับ แต่ก็พร้อมสำหรับการออกไปเที่ยวถ่ายรูปเสมอ สถานที่แรก ที่เราจะไปกันที่ DUBAI คือ ชายหาด Jumeirah Beach
ชายหาด Jumeirah Beach เป็นหาด man made ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะมาเดินตากอากาศกัน
ที่ชายหาดนี้เราสามารถถ่ายรูปคู่กับตึกเรือใบ ของโรงแรม Burj Al Arab ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีราคาแพงมาก
หลายๆ คนเมื่อนึกถึง DUBAI ก็คงนึกถึงตึกเรือใบของโรงแรมแห่งนี้ แวะถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆ ชายหาดซักหน่อย
หลังจากชายหาด man made ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ก็ไปต่อกันที่ตึกที่สูงที่สุดในโลกกันค่ะ กับ Burj Khalifa หรือ Dubai Tower
เจอกับคำว่า “Burj” อีกแล้ว local guide อธิบายให้ฟังว่า แปลว่า หอคอย หรือตึกสูงๆ นั่นเอง
เข้าตัวตึกมาก็เจอกับความล้ำสมัยตลอดทางเดิน
ก่อนจะต่อคิวเพื่อขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 125 ซึ่งเป็นจุดชมวิว โดยขึ้นลิฟท์ความเร็วสูง เข้าไปปุ๊ปไฟในลิฟท์ดับเพื่อฉายลำดับของตึกที่สูงที่สุดในโลกแต่ละปีๆ จนมาถึงปัจจุบันกับตึก Burj Khalifa นั่นเอง มาถึงตรงนี้ลิฟท์ก็ถึงชั้น 125 พอดีเลยค่ะ ใช้เวลาอยู่ในลิฟท์ไม่ถึง 1 นาทีด้วย
Burj Khalifa เป็นตึกสูง 162 ชั้น สูง 828 เมตร ตรงจุดชมวิวเราสามารถมองเห็นเมืองจากมุมสูง และมองออกไปได้ไกลมากๆ เลยจร้า
จากชั้น 125 ก็สามารถเดินลงบันไดมาชั้น 124 เพื่อชมวิวเพิ่มได้อีกมุมค่ะ ข้างบนนี้นอกจากเพื่อนๆ จะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปและชมวิวแล้ว เพื่อนๆ ยังสามารถเลือกซื้อของฝาก เช่น Magnet, และของที่ระลึกอื่นๆ ได้อีกด้วย
บนพื้นของตึกชั้น 125 จะมีการฉายแผนที่ของ Dubai ดูไปดูมาก็เพลินๆ ดีค่ะ
สำหรับเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวที่นี่ เก็บภาพมุมสูงจากตัวตึกแล้ว อย่าลืมเผื่อเวลาลงมาถ่ายรูปเจ้าตึก Burj Khalifa จากด้านล่างไปด้วยนะคะ
บริเวณริมสระน้ำ ด้านข้าง Dubai Mall ก็พอจะเก็บภาพเต็มของตึก Burj Khalifa ได้อยู่นะคะ หรือถ้าใครพก เลนส์ wide มาด้วยก็สบายมาก
ใกล้จะเที่ยงก็ใกล้จะหิวอีกแล้ว เที่ยงนี้เดินทางไปทานอาหารกันที่โครงการ The Palm โดยขึ้นรถรางไฟฟ้า Monorail (MRT)
แนะนำเลยค่ะหากใครอยากชมวิวจาก MRT แบบ panorama view ก็ต้องรีบแทรกกายาขึ้นรถรางไปแย่งชิงที่ด้านหน้าสุด ก็จะได้เห็นวิวเต็มๆ แบบที่ไม่มีคนมาบังเลยค่ะ
ก่อนจะถึงจุดหมายจะเห็นโรงแรมคุ้นตา คือ Atlantis Hotel ซึ่งเป็นต้นแบบของ Centara Grand Mirage Pattaya นั่นเอง
ที่นี่มีสวนน้ำขนาดใหญ่ มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย เราจะทานมื้อเที่ยงกันที่นี่ด้วย กับ buffet อาหารหลากหลาย
แต่ส่วนตัวเราทานอะไรๆ นิดหน่อย แล้วก็ออกมาเดินถ่ายรูปรอบๆ เก็บบรรยากาศ Aquarium ขนาดใหญ่หน้าห้องอาหารชิวๆ ดีกว่า
อิ่มท้องพร้อมแล้วสำหรับการลุยต่อในตอนบ่าย การแต่งตัวเมื่อมาเที่ยวที่นี่ก็ stick อยู่ไม่กี่สถานที่ โดยทั่วไปก็เน้นเรียบร้อย สุภาพ ไม่งั้นก็อาจจะโดนมองเหยียดๆ ได้นะฮะ
แต่เนื่องจากในช่วงบ่ายเราจะไปเที่ยวแบบลุยๆ กันที่ Dune Safari ซึ่ง local guide แนะนำว่าให้เปลี่ยนชุดทะมัดทะแมง ขาสั้นเสื้อใส่สบาย โดยเฉพาะรองเท้าควรเป็นรองเท้าแตะ หลีกเลี่ยงผ้าใบเนื่องจากทรายจะเข้าไปในรองเท้า เราออกเดินทางจากที่พักประมาณบ่ายสามครึ่ง เพื่อให้ไปทันชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ทะเลทรายพอดี โดยเดินทางด้วยรถ 4WD นั่ง 6 คน/คัน ซึ่งขับโดยคนขับที่มีความชำนาญ ต้องมีการสอบผ่านใบขับขี่ทะเลทรายด้วยนะถึงจะขับได้ ตอนแรกที่ฟัง local guide เล่าก็บึนปากนิดหน่อย อะไรจะขนาดนั้น โม้มั้ยนะ
แต่พอได้เข้าสู่ทะเลทรายจริงๆ โอยยย สนุกมากอะ ส่วนตัวแลวเราชอบนะ นั่งรถในทะเลทรายจะออกแนว adventure คนขับจะมีการเล่นสันทรายให้เราได้กรี๊ดกร๊าดกันหน่อย มีการไล่ทรายเรียกความตื่นเต้น ระหว่างทางก็จะเห็นรถบางคันที่ติดทรายไปต่อไม่ได้ สำหรับเราชอบที่นี่ที่สุด สนุกดี
พอถึงจุดชมวิว ตาคนขับก็ลงมาพูดไรไม่รู้งึมงำๆ แปลจากสายตาเย้ยหยันได้ความว่า “ไหวมั๊ยยะ” 555 กน้าตานี่กวนมากมาย ยกนิ้วให้เลยขับเก่งมาก แดดไม่ร้อนแล้ว พวกเรามาทันเก็บภาพทะเลทรายสวยๆ กับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินพอดี จากจุดชมวิว ก็เดินทางไปทาน BBQ Dinner บรรยากาศแคมป์กลางทะเลทราย ถึงแคมป์ปุ๊ปรีบวิ่งไปต่อคิวขี่อูฐก่อนเลยระหว่างที่คิวยังไม่ยาวมากนัก ส่วนตัวเรานั้นรีบพุ่งไปลองทำ Henna Paint ก่อนเลย คนทำวาดลายให้ที่แขน คล้ายๆ กับแต่งหน้าเค้ก วาดลายเหมือนง่ายๆ ชิวๆ เก่งมาก แปลกดีค่ะ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำ Henna Paint ก่อนจะเดินหน้าเกียร์ห้าพุ่งไปทำ อ่านต่ออีกหน่อยนะคะ Henna Paint จะมีลักษณะคล้ายๆ ครีมบีบลงบนตัวเราเป็นลาย หลังทำเสร็จเราต้องอยู่นิ่งๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ หลังจากนั้นตัวครีมๆ ก็จะแข็งแล้วค่อยๆ หลุดออกไปเอง ก้จะเหลือแค่ลาย paint บนตัวเรา ซึ่งลายนี้จะเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะค่อยๆ จางลงแล้วก็หายไป
หากเพื่อนๆ คนไหนต้องทำงานหรือต้องระมัดระวังเรื่องความสุภาพเป็นพิเศษ อาจเลือก paint ในจุดที่ใส่เสื้อผ้าปิดได้ หรือ paint ลายเล็กๆ ให้ดูน่ารักๆ ไปแทนค่ะ ทานอาหารไปดูโชว์ระบำหน้าท้องไปเพลินๆ ก่อนจะกลับไปพัก charge พลังสำหรับวันใหม่
เช้าวันนี้การแต่งกายเราค่อนข้าง serious เป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงเช้าเราจะเดินทางไป ABU DHABI เพื่อเข้าชม Grand Mosque หรือมัสยิดกลาง
ดังนั้นการแต่งกายของผู้ชาย เน้นสุภาพสวมใส่กางเกงผ้าขายาว หลีกเลี่ยงกางเกงยีนส์
แต่ผู้หญิงต้องเป๊ะนะคะ คือไม่สามารถสวมกางเกงที่รัดเกินไป ห้ามยีนส์ กางเกงหรือกระโปรงต้องยาวปิดตาตุ่ม เสื้อต้องเป็นเสื้อแขนยาวถึงข้อมือ ไม่บาง ที่สำคัญต้องมีผ้าคลุมหัวทุกคน
การเดินทางจาก DUBAI ไป ABU DHABI ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 180 กม.
ระหว่างทางแวะปั้ม หาซื้อนมอูฐมาชิมกันตามอัธยาศัย ส่วนตัวแล้วเราว่ามันค่อนข้างมันและเค็ม สรุปคือไม่ชอบนั่นเอง555
Grand Mosque เป็นมัสยิดหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่ ก่อนเข้าชมทุกคนต้องเดินผ่านเครื่องสแกน มีการตรวจอย่างเข้มเลยค่ะ
ตัวเราก็เกือบแย่ เพราะเจ้าหน้าที่มีความสงสัยในกระเป๋ากล้อง ซักใหญ่เลยเอาเลนส์มากี่ตัว ดูกังวลเรื่องความปลอดภัยแน่เลย
นานพอควรกว่าจะผ่านเพื่อเข้าไปชมได้ ด้านนอกสวยมาก แวะถ่ายภาพจนเพลิน ตามไปชมความสวยงามด้านในมัสยิด และตามมาเที่ยวดูไบกันต่อได้ที่
https://ppantip.com/topic/37110042
[CR] DUBAI – ABU DHABI ไปไป มามา ก็ดีนะ PART1
หากถามถึงประเทศในฝันของใครหลายๆ คน เชื่อเลยว่าเกือบร้อยทั้งร้อยคงไม่มีชื่อของ UAE หรือ United Arab Emirates ถ้าพอจะคุ้นๆ หูอยู่บ้างก็รัฐ DUBAI – ABU DHABI นั่นเอง เราเองก็เหมือนกัน ประเทศในฝันที่อยากไปมีเป็นสิบประเทศ แต่ก็ไม่มีประเทศนี้อยู่ในนั้นเหมือนกันแฮะ ถึงเวลาที่ได้ไปขึ้นมาจริงๆ ก็พยายามจะ search หานะว่า DUBAI – ABU DHABI สวยมั๊ยนะ มีอะไรบ้างนะ แต่ต้องยอมรับว่าที่นี่มี review น้อยมากจริงๆ
เตรียมตัวก่อนไป ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะในส่วนของ visa ทางทัวร์ก็จัดการให้หมด แต่เราต้องส่ง passport เล่มจริง หรือสำเนาหน้า passport โดยเอกสารต้องเป็นสีและชัดเจนไม่มีเงา ไม่เบลอ อีกอย่างที่อยากเตือนเอาไว้ visa ที่นี่เป็นกระดาษ A4 แผ่นนึง ไม่ได้แปะอยู่ในเล่ม passport อย่างประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นก็หมั่น recheck หน่อยเนอะว่า visa เดินทางไปพร้อมๆ กับเราตลอด trip รึปล่าวน้า
การแลกเงินที่ UAE ใช้เงินสกุล “เดอร์แฮม DIRHAM” อัตราแลกเปลี่ยนก็เทียบ 1 DIRHAM เท่ากับประมาณ 10 บาท เวลาซื้อของจะได้ประมาณและต่อราคากันง่ายๆ หน่อย เงินสกุลนี้สามารถแลกได้จาก SuperRich เราเองโทรไปจองไว้ก่อนเนื่องจากเพื่อนๆ ฝากแลกมาด้วย กลัวไปแล้วจะไม่มีให้แลกอะค่ะ ส่วนที่อยากจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเผื่อเอาไว้เลยว่า เวลาที่แลกเงิน เพื่อนๆ ควร recheck ธนบัตรที่ได้มานิดนึงนะคะ ว่าไม่มีรอยเขียนด้วยปากกา หรือสีเมจิก เราเจอมากับตัวเอง ปัญหาตอนแลกเงินไปไม่มีอะไร แต่พอเงินเหลือกลับมาจะแลกกลับ ปรากฏว่าแลกคืนได้ไม่หมด เจ้าหน้าที่แจ้งเรามาว่า สกุลเงินของตะวันออกกลางจะไม่รับแลกคืนหากบนธนบัตรมีรอยขีดเขียนด้วยปากกา หรือเมจิก ดังนั้นก็ดูกันดีดีนะคะตอนแลกไปอาจไม่มี แต่พอ shopping ไปๆ มาๆ อาจได้ติดมือมาตอนไหนก็ไม่รู้ เล่าเผื่อๆ ไว้กลับมาจะได้ไม่เสียโอกาส ส่วนใครไม่อยากแลกติดไปก็เอา USD ไปใช้ได้ค่ะ ร้านค้าส่วนใหญ่ที่นี่รับบัตรเครดิต สะดวกสบายเอื้อแก่การ shopping มากมาย
ไปไม่กี่วัน กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กกระทัดรัด เพราะมีกระเป๋ากล้องให้แบกอีกใบนึง trip นี้เราเดินทางกันด้วย TG517 เดินทางไปสนามบินนานาชาติดูไบ ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่ง กว่าจะถึงดูไบก็มืดแล้วค่ะ เวลาที่ดูไบ ช้ากว่าบ้านเราประมาณ 3 ชั่วโมง กว่าจะผ่าน ตม. เข้าเมืองมารับกระเป๋าก็เริ่มง่วงกันแล้วค่ะ แวะทานอาหารแล้วก็เข้าที่พัก เก็บแรงไว้สำหรับเช้าวันถัดไปดีกว่า
ระหว่างเดินทางไปโรงแรม local guide ก็เล่านู้นนี่นั่นให้ฟัง อย่างเช่น ค่าเงินที่นี่มีความผันผวนต่ำ 1 DIRHAM = 3.65 USD มานานไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนค่าเงินบ้านเราหรือประเทศอื่นๆ เนอะ 555 สังเกตระหว่างทางมีรถสวยๆ เต็มไปหมด ซึ่งรถยนต์ที่นี่เป็นรถนำเข้าทั้งหมด เพราะที่นี่ไม่มีแรงงานคนพอสำหรับการสร้างและประกอบรถยนต์ เมื่อคนในประเทศใช้รถ ประมาณ 5 ปีก็มักจะขายเป็นรถมือ 2 เนื่องจากค่า maintenance เริ่มจะสูงแล้ว โดยรถก็จะถูกขายไปยังประเทศโลกที่ 3
อากาศที่นี่ในแต่ละช่วงของปีมีความแตกต่างกันมาก หน้าร้อนก็จะร้อนสุดๆ ประมาณ 54 องศา เสื้อผ้าต้องตากในที่ร่ม ไม่งั้นจะกรอบจนเสียสภาพ แต่พอหน้าหนาวอุณหภูมิก็ลดต่ำลงเหลือเพียง 5 องศาเท่านั้น แถมลมยังพัดแรงอีกตะหาก ฟัง local guide โม้ซักพักก็ถึงโรงแรมที่พัก
เช้าวันใหม่หลังจากที่นอนไม่ค่อยจะหลับ แต่ก็พร้อมสำหรับการออกไปเที่ยวถ่ายรูปเสมอ สถานที่แรก ที่เราจะไปกันที่ DUBAI คือ ชายหาด Jumeirah Beach
ชายหาด Jumeirah Beach เป็นหาด man made ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะมาเดินตากอากาศกัน
ที่ชายหาดนี้เราสามารถถ่ายรูปคู่กับตึกเรือใบ ของโรงแรม Burj Al Arab ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีราคาแพงมาก
หลายๆ คนเมื่อนึกถึง DUBAI ก็คงนึกถึงตึกเรือใบของโรงแรมแห่งนี้ แวะถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆ ชายหาดซักหน่อย
หลังจากชายหาด man made ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ก็ไปต่อกันที่ตึกที่สูงที่สุดในโลกกันค่ะ กับ Burj Khalifa หรือ Dubai Tower
เจอกับคำว่า “Burj” อีกแล้ว local guide อธิบายให้ฟังว่า แปลว่า หอคอย หรือตึกสูงๆ นั่นเอง
เข้าตัวตึกมาก็เจอกับความล้ำสมัยตลอดทางเดิน
ก่อนจะต่อคิวเพื่อขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 125 ซึ่งเป็นจุดชมวิว โดยขึ้นลิฟท์ความเร็วสูง เข้าไปปุ๊ปไฟในลิฟท์ดับเพื่อฉายลำดับของตึกที่สูงที่สุดในโลกแต่ละปีๆ จนมาถึงปัจจุบันกับตึก Burj Khalifa นั่นเอง มาถึงตรงนี้ลิฟท์ก็ถึงชั้น 125 พอดีเลยค่ะ ใช้เวลาอยู่ในลิฟท์ไม่ถึง 1 นาทีด้วย
Burj Khalifa เป็นตึกสูง 162 ชั้น สูง 828 เมตร ตรงจุดชมวิวเราสามารถมองเห็นเมืองจากมุมสูง และมองออกไปได้ไกลมากๆ เลยจร้า
จากชั้น 125 ก็สามารถเดินลงบันไดมาชั้น 124 เพื่อชมวิวเพิ่มได้อีกมุมค่ะ ข้างบนนี้นอกจากเพื่อนๆ จะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปและชมวิวแล้ว เพื่อนๆ ยังสามารถเลือกซื้อของฝาก เช่น Magnet, และของที่ระลึกอื่นๆ ได้อีกด้วย
บนพื้นของตึกชั้น 125 จะมีการฉายแผนที่ของ Dubai ดูไปดูมาก็เพลินๆ ดีค่ะ
สำหรับเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวที่นี่ เก็บภาพมุมสูงจากตัวตึกแล้ว อย่าลืมเผื่อเวลาลงมาถ่ายรูปเจ้าตึก Burj Khalifa จากด้านล่างไปด้วยนะคะ
บริเวณริมสระน้ำ ด้านข้าง Dubai Mall ก็พอจะเก็บภาพเต็มของตึก Burj Khalifa ได้อยู่นะคะ หรือถ้าใครพก เลนส์ wide มาด้วยก็สบายมาก
ใกล้จะเที่ยงก็ใกล้จะหิวอีกแล้ว เที่ยงนี้เดินทางไปทานอาหารกันที่โครงการ The Palm โดยขึ้นรถรางไฟฟ้า Monorail (MRT)
แนะนำเลยค่ะหากใครอยากชมวิวจาก MRT แบบ panorama view ก็ต้องรีบแทรกกายาขึ้นรถรางไปแย่งชิงที่ด้านหน้าสุด ก็จะได้เห็นวิวเต็มๆ แบบที่ไม่มีคนมาบังเลยค่ะ
ก่อนจะถึงจุดหมายจะเห็นโรงแรมคุ้นตา คือ Atlantis Hotel ซึ่งเป็นต้นแบบของ Centara Grand Mirage Pattaya นั่นเอง
ที่นี่มีสวนน้ำขนาดใหญ่ มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย เราจะทานมื้อเที่ยงกันที่นี่ด้วย กับ buffet อาหารหลากหลาย
แต่ส่วนตัวเราทานอะไรๆ นิดหน่อย แล้วก็ออกมาเดินถ่ายรูปรอบๆ เก็บบรรยากาศ Aquarium ขนาดใหญ่หน้าห้องอาหารชิวๆ ดีกว่า
อิ่มท้องพร้อมแล้วสำหรับการลุยต่อในตอนบ่าย การแต่งตัวเมื่อมาเที่ยวที่นี่ก็ stick อยู่ไม่กี่สถานที่ โดยทั่วไปก็เน้นเรียบร้อย สุภาพ ไม่งั้นก็อาจจะโดนมองเหยียดๆ ได้นะฮะ
แต่เนื่องจากในช่วงบ่ายเราจะไปเที่ยวแบบลุยๆ กันที่ Dune Safari ซึ่ง local guide แนะนำว่าให้เปลี่ยนชุดทะมัดทะแมง ขาสั้นเสื้อใส่สบาย โดยเฉพาะรองเท้าควรเป็นรองเท้าแตะ หลีกเลี่ยงผ้าใบเนื่องจากทรายจะเข้าไปในรองเท้า เราออกเดินทางจากที่พักประมาณบ่ายสามครึ่ง เพื่อให้ไปทันชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ทะเลทรายพอดี โดยเดินทางด้วยรถ 4WD นั่ง 6 คน/คัน ซึ่งขับโดยคนขับที่มีความชำนาญ ต้องมีการสอบผ่านใบขับขี่ทะเลทรายด้วยนะถึงจะขับได้ ตอนแรกที่ฟัง local guide เล่าก็บึนปากนิดหน่อย อะไรจะขนาดนั้น โม้มั้ยนะ
แต่พอได้เข้าสู่ทะเลทรายจริงๆ โอยยย สนุกมากอะ ส่วนตัวแลวเราชอบนะ นั่งรถในทะเลทรายจะออกแนว adventure คนขับจะมีการเล่นสันทรายให้เราได้กรี๊ดกร๊าดกันหน่อย มีการไล่ทรายเรียกความตื่นเต้น ระหว่างทางก็จะเห็นรถบางคันที่ติดทรายไปต่อไม่ได้ สำหรับเราชอบที่นี่ที่สุด สนุกดี
พอถึงจุดชมวิว ตาคนขับก็ลงมาพูดไรไม่รู้งึมงำๆ แปลจากสายตาเย้ยหยันได้ความว่า “ไหวมั๊ยยะ” 555 กน้าตานี่กวนมากมาย ยกนิ้วให้เลยขับเก่งมาก แดดไม่ร้อนแล้ว พวกเรามาทันเก็บภาพทะเลทรายสวยๆ กับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินพอดี จากจุดชมวิว ก็เดินทางไปทาน BBQ Dinner บรรยากาศแคมป์กลางทะเลทราย ถึงแคมป์ปุ๊ปรีบวิ่งไปต่อคิวขี่อูฐก่อนเลยระหว่างที่คิวยังไม่ยาวมากนัก ส่วนตัวเรานั้นรีบพุ่งไปลองทำ Henna Paint ก่อนเลย คนทำวาดลายให้ที่แขน คล้ายๆ กับแต่งหน้าเค้ก วาดลายเหมือนง่ายๆ ชิวๆ เก่งมาก แปลกดีค่ะ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำ Henna Paint ก่อนจะเดินหน้าเกียร์ห้าพุ่งไปทำ อ่านต่ออีกหน่อยนะคะ Henna Paint จะมีลักษณะคล้ายๆ ครีมบีบลงบนตัวเราเป็นลาย หลังทำเสร็จเราต้องอยู่นิ่งๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ หลังจากนั้นตัวครีมๆ ก็จะแข็งแล้วค่อยๆ หลุดออกไปเอง ก้จะเหลือแค่ลาย paint บนตัวเรา ซึ่งลายนี้จะเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะค่อยๆ จางลงแล้วก็หายไป
หากเพื่อนๆ คนไหนต้องทำงานหรือต้องระมัดระวังเรื่องความสุภาพเป็นพิเศษ อาจเลือก paint ในจุดที่ใส่เสื้อผ้าปิดได้ หรือ paint ลายเล็กๆ ให้ดูน่ารักๆ ไปแทนค่ะ ทานอาหารไปดูโชว์ระบำหน้าท้องไปเพลินๆ ก่อนจะกลับไปพัก charge พลังสำหรับวันใหม่
เช้าวันนี้การแต่งกายเราค่อนข้าง serious เป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงเช้าเราจะเดินทางไป ABU DHABI เพื่อเข้าชม Grand Mosque หรือมัสยิดกลาง
ดังนั้นการแต่งกายของผู้ชาย เน้นสุภาพสวมใส่กางเกงผ้าขายาว หลีกเลี่ยงกางเกงยีนส์
แต่ผู้หญิงต้องเป๊ะนะคะ คือไม่สามารถสวมกางเกงที่รัดเกินไป ห้ามยีนส์ กางเกงหรือกระโปรงต้องยาวปิดตาตุ่ม เสื้อต้องเป็นเสื้อแขนยาวถึงข้อมือ ไม่บาง ที่สำคัญต้องมีผ้าคลุมหัวทุกคน
การเดินทางจาก DUBAI ไป ABU DHABI ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 180 กม.
ระหว่างทางแวะปั้ม หาซื้อนมอูฐมาชิมกันตามอัธยาศัย ส่วนตัวแล้วเราว่ามันค่อนข้างมันและเค็ม สรุปคือไม่ชอบนั่นเอง555
Grand Mosque เป็นมัสยิดหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่ ก่อนเข้าชมทุกคนต้องเดินผ่านเครื่องสแกน มีการตรวจอย่างเข้มเลยค่ะ
ตัวเราก็เกือบแย่ เพราะเจ้าหน้าที่มีความสงสัยในกระเป๋ากล้อง ซักใหญ่เลยเอาเลนส์มากี่ตัว ดูกังวลเรื่องความปลอดภัยแน่เลย
นานพอควรกว่าจะผ่านเพื่อเข้าไปชมได้ ด้านนอกสวยมาก แวะถ่ายภาพจนเพลิน ตามไปชมความสวยงามด้านในมัสยิด และตามมาเที่ยวดูไบกันต่อได้ที่ https://ppantip.com/topic/37110042