ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเป็นการเล่าเรื่องราวความรักของฉันตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน 13/11/ 2017
นี่คงเป็นบันทึกที่มีคุณค่าสำหรับฉันที่สุดแล้ว ความทรงจำดีๆที่เราเคยมีร่วมกันยังคงอยู่ในใจเสมอไม่ว่าจะนานแค่ไหน ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน วันนั้นเป็นวันที่ฉันไปแข่งหุ่นยนต์ ตั้งแต่ตอนนั้นที่ฉันอยู่ ม.5 แล้วเขาก็อยู่ ม.4 เหมือนโชคชะตา ที่ไม่คิดว่าคนที่อยู่คนละจังหวัด คนละภาค จะได้มารักกัน ตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขที่ได้รู้จักรัก คุยกันจนฉันหลับไป แต่เขายังคงไม่วางสาย ยังมองดูฉันหลับผ่านโทรศัพท์ (รู้จากเพื่อนเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ) รู้สึกว่าเรารักกัน แม้จะจบค่ายหุ่นยนต์เราก็ยังคงคุยกันอยู่และคบกัน แต่เพราะเราทะเลาะกันบ่อยๆ ทำให้สุดท้ายต้องได้เลิกกันไปเหมือนเด็กๆที่ต่างคนต่างเอาแต่ใจตัวเอง เป็นช่วงเวลาสั้นๆประมาน 6 เดือน แล้วเราก็ห่างหายกันไป
สองปีต่อมา ฉันเรียนมหาลัยปี 1 มันเป็นช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปี 2 อยู่ๆเขาก็กลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ความรู้สึกเก่าๆที่มียังคงเหมือนเดิม เขากำลังจะเข้าเรียน นักเรียนจ่าทหารเรือ เขาถามฉันว่า
“เรากลับมาคบกันมั๊ย แต่ต้องรอ 1 เดือนน่ะ จะไปฝึกอ่ะ” ตอนนั้นฉันก็แปลกใจว่าอยู่ๆทำไมถึงอยากกลับมา ฉันเลยคิดว่าฉันก็ไม่มีใคร ณ ตอนนั้น อีกอย่างก็ไม่ต่างจากตอนอยู่คนเดียวเท่าไหร่แค่เดือนเดียวเอง ฉันรอเขาได้
“อื้ม รอได้น่ะ” และเราก็กลับมาคบกัน ฉันก็เลือกที่จะรอให้เขาฝึกเสร็จ ช่วงนั้นฉันได้ไปทำงานพาร์ทไทมที่กรุงเทพ ตลอดระยะเวลาที่เขาฝึกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย และในวันที่ 16 พ.ค 2014 เขาก็มีเวลาโทรหาฉัน แค่ 5 นาที จากตู้โทรศัพท์ในโรงเรียน เพราะโทรศัพท์ถูกยึดไว้ตลอดการฝึก แต่มันโคตรจะดีใจเลย แม้แค่เวลา 5 นาที ฉันเพิ่งรู้ว่าการที่เราค่อยคนที่รัก เมื่อได้ยินเสียงแค่นิดเดียวก็ดีใจแล้ว มันเป็นการรอคอยที่มีคุณค่ามากจริงๆ
พอเขาฝึกเสร็จเราก็ได้เจอกันครั้งแรก วันที่ 20 มิถุนายน 2014 เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ตอนนั้นฉันก็แต่งตัวแล้วไปรอเขาที่อนุสาวรีย์ประมาน 3 ชั่วโมงได้ แต่รถตู้ที่เขานั่งมาก็ยังมาเลทอีก หลงกันกว่าจะได้เจอกันตั้ง 4 ชั่วโมงที่รอค่อย ก็คิดแค่ว่านี่รอมาตั้ง 1 เดือนแล้ว แค่นี้ทำไมจะรอไม่ได้หล่ะ และสุดท้ายฉันก็เห็นเขาเดินมาในชุดสีขาวแบบนักเรียนจ่าทหารเรือกับกระเป๋าเจมส์บอน 1 ใบ ตัวสูงๆ ทำไมมันต่างจากตอนมัธยมจังว่ะ (คิดในใจ) หน้าที่เรียวขึ้น ตาตีบ คิ้วเข้ม ปากได้รูป รวมๆคือเฮ้ย!! ดูดีขึ้น แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เรายิ้มให้กันด้วยความดีใจที่ได้เจอกันซะที หลังจากนั้นก็ไปดูหนังด้วยกัน ก็เป็นเขินๆน่ะ เพราะตั้งแต่เสร็จค่ายตอนฉันอยู่ ม.5 ก็ไม่ได้เจอกันตั้ง 2 ปีกว่าๆ
แล้วเราก็ไปนั่งกินชาที่ Century เขาสั่งชามะลิ ฉันสั่งชามะนาว และอยู่ๆเขาก็เปิดกระเป๋าเจมส์บอนที่ถือมา เอาตุ๊กตารีลัคคุมะออกมา แล้วก็ยื่นให้ ตอนนั้นฉันก็กำลังงงๆ และแปลกใจ แต่ดีใจที่รู้ว่าฉันชอบรีลัคคุมะ อดยิ้มไม่ได้จริงๆ และอีกอย่างที่ประทับใจมากๆคือ เขานั่งเขียนไดอารี่ทุกวันในระหว่างที่เราไม่ได้คุยกัน และเขาก็เอามาให้ ส่วนเราอ่ะ ไม่มีอะไรให้สักอย่าง ขอบคุณน่ะ หลังจากนั้นเราก็ไปดูหนังด้วยกัน เรื่องแรกที่ดูด้วยกัน คือ เรื่องพระนเรศวร ตอน ยุทธหัตถี จับมือกันตลอดจนจบเรื่อง มันรู้สึกถึงกันและกัน ว่าเราคิดถึงกันมากแค่ไหน พอหนังจบก็รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องจากกันอีกครั้ง แต่ฉันก็เลือกที่จะนั่ง บีทีเอสไปส่งที่บางนา ตอนนั้นรถบีทีเอสคนเต็มรถเลย ไม่มีที่ให้นั่ง เขาถือกระเป๋าเจมส์บอนในมือ อีกข้างก็จับหวงที่จับไว้ แล้วเขาบอกฉัน
“ม๊ามายืนข้างหน้าป๊านิมะ” ลืมบอกว่า เราเรียกกันว่า ป๊ากับม๊า ฉันก็ทำตามเขาบอกแต่โดยดีเพราะคนมันเยอะมากจริงๆ แต่คือตอนนั้นตรงจุดที่ฉันยืนมันไม่มีที่ให้ฉันจับเลย จะล้ม เขามองฉัน
“ม๊าจับแขนป๊าดิ” “ห๊ะ!ให้จับแขนหรอ” “อื้ม รึจะจับส่วนอื่นหล่ะ” “โอ่ยยย ไอ้บ้า”เขายิ้มอ่อนๆ>< ฉันก็เอามือทั้งสองข้างจับตรงต้นแขนที่เป็นกล้ามพอดี โอ่ยยยยย>< หน้าแดงหมดแล้วเนี่ยะ (แล้วทำไมฉันต้องจับตรงกล้ามเขาด้วยเนี่ยะ ฮ่าๆ เขิน) เขาก็เอาตัวเขากันคนอื่นไม่ให้ใครมาโดนตัวฉันตลอดทาง พอถึงที่ เราก็ลงจากบีทีเอส แต่ตอนนั้นฝนตกหนัก เขาพูดออกมาว่า
“ม๊าส่งป๊าแค่นี้แหละฝนตกเดี๋ยวม๊าไม่สบาย ยิ่งกระหม่อมบางอยู่” เอิ่มน่ะ
“ก็ได้” ต้องจากอีกแล้วหรอ มันทำให้ใจหาย แล้วอยู่ๆตัวฉันก็พุ่งไปหอมแก้มเขาหนึ่งครั้งอย่างรวดเร็ว >3< (ฉานนนทำอะไรลงไปเนี่ยะ) เขาทำหน้าตกใจเบาๆ หลังจากนั้นเราก็ลากัน เขาต้องนั่งวินมอไซต์ตากฝนไป เพราะถ้านั่งแท็กซี่รถมันติดจะไปเข้าโรงเรียนไม่ทัน ฉันอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ ตากฝนกลับด้วย ส่วนฉันก็กอดตุ๊กตานั่งรถบีทีเอสกลับห้อง ตอนแรกจะไม่ร้องให้ออกมาแล้ว แต่สุดท้ายกลับถึงห้องก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ได้แต่นอนกอดตุ๊กตาเอาไว้แน่น มันทำให้รู้เลยว่านี้หรอคือ รัก ฉันรักเขามากจริงๆ
แต่หลังจากนั้นเราก็ได้เจออีกครั้งวันศุกร์ตอนเย็น วันที่ 27 มิถุนายน ฉันก็รีบกลับจากที่ทำงาน สักพักเขามาถึงที่ห้อง ฉันเจอหน้าเขาด้วยความดีใจเลยโผเข้าไปกอดกันด้วยความคิดถึง (ลืมตัวว่าตัวเองกำลังคุกคามเขาเกินไปละ) แต่มันคิดถึงจริงๆนินา ตอนนั้นเหมือนฉันตัวเล็กไปเลยด้วยความที่เขาตัวสูง หน้าฉันไปซุกที่อกเขาพอดี ดีใจจังที่ได้เจอ เขาพูดออกมาว่า
“ให้ป๊าวางกระเป๋าก่อนมั๊ยม๊า” ฉันก็ยิ้ม
“อื้ม ก็ดีใจนินา” แล้วเราก็ไปหาไรกิน กลับมาก็อาบน้ำ เขากอดฉันไว้ไม่ปล่อยเลย เหมือนกับว่าไม่อยากจากกันเลย มันรู้สึกได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย แล้วหลังจากนั้นเราก็เจอกันแทบทุกอาทิตย์ มันโคตรจะมีความสุขเลย ไปไหนมาไหนด้วยกัน ดูหนังด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันอีกครั้งเพราะมันใกล้เปิดเทอมแล้ว ถึงเวลาที่ต้องทำใจจากกันอีกแล้วสิ
ฉันกลับมหาลัยด้วยความคิดถึง เวลาคุยกันก็น้อยลง เขาก็ไม่มีเวลา เราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันก็ยังขึ้นแสตนแม้จะอยู่ปี 2 แล้วก็ตาม แล้วต้องซ้อมดึกๆดื่นๆ พอฉันว่างเขาก็ไม่ว่าง มันทำให้เราทะเลาะกันบ่อยๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่สุดท้ายก็ดีกันเหมือนเดิม เราก็ไม่เคยทิ้งกันไปไหน
ใกล้ถึงงาน Navy blue ในวันที่ 11/12/14 เขาถามว่า
“ม๊าว่างป่าวงาน Navy Blue เขาให้พาแฟนมา” “ห๊ะ!งานแบบไหน” “ก็งานเลี้ยงจบชั้น 1 อ่ะ” ตอนนั้นเขาใกล้เรียนจบชั้น 1 แล้วฉันตอบตกลงไปงาน ก่อนถึงงานมันตื่นเต้นอ่ะ แล้วตอนนั้นเขาก็ถามว่าใส่แหวนไชต์อะไร ก็แปลกใจนิดๆ ฉันเตรียมหาชุดเรียบร้อย แล้วเดินทางไปกรุงเทพ และวันต่อมาก็ถึงวันงาน ฉันใส่ชุดเดรสสีชมพู ทำผมลอนยาวมีดอกไม้บนหัว พร้อมกับต่างหูและสร้อยเล็ก รองเท้าส้นสูงสีทอง (ย้ำว่ารองเท้าสูงมากจริงๆ) ตื่นเต้นจังไม่ค่อยชินเลยแฮ่ะ ไม่เคยได้แต่งตัวแบบนี้เลย แล้วรอเขามารับ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตู รู้เลยว่าเขามาแล้ว^^ มาพร้อมกับชุดสีดำแบบนักเรียนจ่าทหารเรือ ตัวสูงๆ กับกระเป๋าเจมส์บอนเช่นเดิม (ทำไมต้องหุ่นดีขึ้นทุกวันด้วยเนี่ยะ เริ่มจะหวงมาขึ้นละน่ะ) แล้วเขาก็เข้ามาในห้องทำหน้าเหนื่อยๆนิดหน่อย แต่ก็ยิ้มให้ฉัน ทำไมฉันต้องเขินด้วยเนี่ยะ ไม่เคยชินเลยกับการเจอหน้าแล้วยิ้มแบบนั้น จากนั้นเขาก็วางกระเป๋าเรียบร้อย เขาเอามือล่วงกระเป๋าและหยิบอะไรบางอย่างออกมา เฮ้ย!!! นั่นมันแหวน>< (แหวนญาติที่คู่กับแหวนรุ่นของเขา) ฉันยิ้มให้เขา อ๊ากกกกกเขินนนนนนนนอีกแล้ว จากนั้นเขาก็จับมือฉันแล้วก็ใส่แหวนให้พร้อมกับจูบที่มือเบาๆ ><
“ม๊าเป็นของป๊าแล้วน่ะ อย่าถอดหล่ะ”โอ่ยยยยยย มาทำให้เขินทำไมเนี่ยะ ฉันก็เข้าไปกอดเขาและยิ้มจนแก้มจะแตก หลังจากนั้นเราก็ออกไปด้วยกัน เขาถือกระเป๋าให้ฉัน แต่ก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ไปด้วยกันนั้นแหละ ระหว่างทางไปคือมีแต่คนมอง ทำหน้าไม่ถูกเลยแฮ่ะ (ใครมันจะไม่มองแต่งเต็มซะขนาดนั้น)
พอถึงป้อมพระจุล(คือโรงเรียนเขานั้นเอง) ฉันก็คิดว่าฉันเตรียมตัวดีแล้วน่ะ แต่ๆๆๆ ทามมมายยยยรองเท้าต้องกัดขาด้วย แล้วทำไมป้อมมันถึงใหญ่และต้องเดินไกลขนาดนี้เนี่ยะ เดินไปถ่ายรูปที่เรือ ซึ่งโคตรจะไกลเมื่อดูสภาพตัวเองที่รองเท้ากัดขา ณ ตอนนั้น เขาก็คอยประคองฉันตลอดทาง จนถึงเรือลำใหญ่ที่จอดอยู่แล้วเราก็ถ่ายรูปด้วยกันในบรรยากาศยามเย็นแดดอ่อนๆที่สาดมากระทบเราทำให้ได้รูปสวยๆเต็มเลย มีเพื่อนเขาแอบถ่ายรูปเราไว้ด้วย แล้วก็เอาไปลงเพจ น.ร.จ. งื้ออออ เขิน พอถึงเวลาที่ต้องเข้างาน คิดในใจ (นี่ช้านนนต้องเดินใช่ม๊ายยยยย) โอ่ยยยยตายๆต้องเดินกลับอีกแล้วหรอ ทำไมป้อมมันใหญ่ขนาดนี้เนี่ยะ เขามองหน้าฉันแล้วรู้ว่าฉันเจ็บขาจนน้ำตาจะเล็ด เลยบอกว่า
“ม๊า! งั้นถอดรองเท้าเหอะ” ด้วยความที่เจ็บขา ไม่ห่วงสวยแล้ว เขาก็ก้มหยิบรองเท้าที่ฉันถอดเอาไปถือให้ แล้วก็ประคองฉันไปด้วย จนใกล้ถึงงาน แล้วเขาก็วางรองเท้าให้ฉัน ฉันก็ใส่รองเท้าเพราะต้องเข้างานแล้ว พอเดินเข้างานไปก็มีเพื่อนและพี่เขาพาแฟนมากันเต็มเลย ถึงจะปวดขาแค่ไหนก็ทนว่ะ เขาก็ค่อยประคองฉันไปนั่งที่โต๊ะ หึหึ แล้วก็ได้นั่งซะที ฉันก็ทักทายเพื่อนเขาตามความมีอัธยศัยดีของฉัน ฮ่าๆ ทุกคนเป็นกันเอง เขาก็ลุกไปเตรียมตัวเพราะต้องเตรียมการแสดง จากนั้นก็มีการแสดง แฟนซีดริว ก็เคยเห็นแต่ในยูทูป พอได้มาเห็นจริงๆอ้อมันเป็นยังงี้นี่เอง ชอบๆ มันเป๊ะมากตามแบบทหาร มีถอดเสื้อควงกระบองไฟด้วย ว้าวววว เออเริศศศศศ เพิ่งได้เห็นโมเมนท์งานเลี้ยงของทหารก็วันนี้แหละ พองานจบเราก็ได้ขึ้นรถบัสของโรงเรียนที่จะไปส่ง เราก็ไปนั่งด้วยกัน เขาจับมือฉันไม่ปล่อยเลย คือดูแลดีมากๆ ฉันนั่งบนรถแล้วอยู่ๆก็มีอะไรมากระทบไหลฉัน ซึ่งก็เป็นหัวเขานั่นแหละ ฉันก็เอาหัวพิงกลับ โอ่ยยยยยย มีความสุขจังได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ พออยู่ด้วยกันไม่ต้องพูดอะไรมาก เราต่างรู้ว่าเรารักกันมากแค่จับมือก็รู้สึกได้ พอรถจอดเราก็ลง เพื่อขึ้นบีทีเอสต่อ เอาแล้วไงนี่ยังต้องขึ้นบันไดอีกแล้วหรอ โอ่ยย หมดแรงแล้ว T^T เขามองหน้าฉัน แล้วอยู่ๆเขาก็มายืนต่อหน้าฉัน ฉันก็เงยหน้ามองเขาด้วยความที่เขาตัวสูง เขาก็พูดออกมาว่า
“ถอดรองเท้ามะ จะถือให้” เขาก็หันหลังแล้วนั่งย่อเข่าลง ฉันเลยถามว่า
“ป๊าทำไรนิ” เขาก็ตอบว่า
เอ๊า!!! ก็ให้ม๊าขี่หลังไงเห็นเจ็บขานิ” T^T งื้ออออ ทำไมต้องทำให้เขินได้ตลอดเวลาเล๊ยยยยย คนบ้า จากนั้นเขาก็อุ้มฉันขึ้นบันไดบีทีเอส (ดีน่ะตอนนั้นมันดึกมากแล้วไม่ค่อยมีคน ไม่งั้นคงเขินตาย) พอดูบันไดมันก็สูงอยู่น่ะ ขณะที่เขาอุ้มฉันก็พรึมพรำออกมา
“นี่แบกช้างป่ะเนี่ยะ ตัวแค่นี้ทำไมหนักจัง” นี่อยากแบกเองน่ะ คนบ้า>< (กวนตีนตลอด) เขาก็แบกจนถึงบีทีเอส เราก็ขึ้นรถบีทีเอสกลับห้อง เราต่างรู้ว่าเวลาที่เราอยู่ด้วยกันกำลังจะหมดลง เขากอดฉันไว้ตลอดเลย เขาไม่ชอบพูดอะไรมากแต่ฉันรู้ว่าเขารู้สึกยังไง เฮ้ออออ ตอนเช้าเขาก็กลับป้อมแล้วฉันก็กลับมหาลัย T^T อดร้องไห้ไม่ได้อีกแล้ว
>>>>>> มีต่อ<<<<<<<<<
เคยมีรักเดียวกับใครสักคนบ้างไหม? #เรื่องจริงที่เหมือนนิยาย กับนายทหารเรือ
นี่คงเป็นบันทึกที่มีคุณค่าสำหรับฉันที่สุดแล้ว ความทรงจำดีๆที่เราเคยมีร่วมกันยังคงอยู่ในใจเสมอไม่ว่าจะนานแค่ไหน ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน วันนั้นเป็นวันที่ฉันไปแข่งหุ่นยนต์ ตั้งแต่ตอนนั้นที่ฉันอยู่ ม.5 แล้วเขาก็อยู่ ม.4 เหมือนโชคชะตา ที่ไม่คิดว่าคนที่อยู่คนละจังหวัด คนละภาค จะได้มารักกัน ตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขที่ได้รู้จักรัก คุยกันจนฉันหลับไป แต่เขายังคงไม่วางสาย ยังมองดูฉันหลับผ่านโทรศัพท์ (รู้จากเพื่อนเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ) รู้สึกว่าเรารักกัน แม้จะจบค่ายหุ่นยนต์เราก็ยังคงคุยกันอยู่และคบกัน แต่เพราะเราทะเลาะกันบ่อยๆ ทำให้สุดท้ายต้องได้เลิกกันไปเหมือนเด็กๆที่ต่างคนต่างเอาแต่ใจตัวเอง เป็นช่วงเวลาสั้นๆประมาน 6 เดือน แล้วเราก็ห่างหายกันไป
สองปีต่อมา ฉันเรียนมหาลัยปี 1 มันเป็นช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปี 2 อยู่ๆเขาก็กลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ความรู้สึกเก่าๆที่มียังคงเหมือนเดิม เขากำลังจะเข้าเรียน นักเรียนจ่าทหารเรือ เขาถามฉันว่า “เรากลับมาคบกันมั๊ย แต่ต้องรอ 1 เดือนน่ะ จะไปฝึกอ่ะ” ตอนนั้นฉันก็แปลกใจว่าอยู่ๆทำไมถึงอยากกลับมา ฉันเลยคิดว่าฉันก็ไม่มีใคร ณ ตอนนั้น อีกอย่างก็ไม่ต่างจากตอนอยู่คนเดียวเท่าไหร่แค่เดือนเดียวเอง ฉันรอเขาได้ “อื้ม รอได้น่ะ” และเราก็กลับมาคบกัน ฉันก็เลือกที่จะรอให้เขาฝึกเสร็จ ช่วงนั้นฉันได้ไปทำงานพาร์ทไทมที่กรุงเทพ ตลอดระยะเวลาที่เขาฝึกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย และในวันที่ 16 พ.ค 2014 เขาก็มีเวลาโทรหาฉัน แค่ 5 นาที จากตู้โทรศัพท์ในโรงเรียน เพราะโทรศัพท์ถูกยึดไว้ตลอดการฝึก แต่มันโคตรจะดีใจเลย แม้แค่เวลา 5 นาที ฉันเพิ่งรู้ว่าการที่เราค่อยคนที่รัก เมื่อได้ยินเสียงแค่นิดเดียวก็ดีใจแล้ว มันเป็นการรอคอยที่มีคุณค่ามากจริงๆ
พอเขาฝึกเสร็จเราก็ได้เจอกันครั้งแรก วันที่ 20 มิถุนายน 2014 เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ตอนนั้นฉันก็แต่งตัวแล้วไปรอเขาที่อนุสาวรีย์ประมาน 3 ชั่วโมงได้ แต่รถตู้ที่เขานั่งมาก็ยังมาเลทอีก หลงกันกว่าจะได้เจอกันตั้ง 4 ชั่วโมงที่รอค่อย ก็คิดแค่ว่านี่รอมาตั้ง 1 เดือนแล้ว แค่นี้ทำไมจะรอไม่ได้หล่ะ และสุดท้ายฉันก็เห็นเขาเดินมาในชุดสีขาวแบบนักเรียนจ่าทหารเรือกับกระเป๋าเจมส์บอน 1 ใบ ตัวสูงๆ ทำไมมันต่างจากตอนมัธยมจังว่ะ (คิดในใจ) หน้าที่เรียวขึ้น ตาตีบ คิ้วเข้ม ปากได้รูป รวมๆคือเฮ้ย!! ดูดีขึ้น แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เรายิ้มให้กันด้วยความดีใจที่ได้เจอกันซะที หลังจากนั้นก็ไปดูหนังด้วยกัน ก็เป็นเขินๆน่ะ เพราะตั้งแต่เสร็จค่ายตอนฉันอยู่ ม.5 ก็ไม่ได้เจอกันตั้ง 2 ปีกว่าๆ
แล้วเราก็ไปนั่งกินชาที่ Century เขาสั่งชามะลิ ฉันสั่งชามะนาว และอยู่ๆเขาก็เปิดกระเป๋าเจมส์บอนที่ถือมา เอาตุ๊กตารีลัคคุมะออกมา แล้วก็ยื่นให้ ตอนนั้นฉันก็กำลังงงๆ และแปลกใจ แต่ดีใจที่รู้ว่าฉันชอบรีลัคคุมะ อดยิ้มไม่ได้จริงๆ และอีกอย่างที่ประทับใจมากๆคือ เขานั่งเขียนไดอารี่ทุกวันในระหว่างที่เราไม่ได้คุยกัน และเขาก็เอามาให้ ส่วนเราอ่ะ ไม่มีอะไรให้สักอย่าง ขอบคุณน่ะ หลังจากนั้นเราก็ไปดูหนังด้วยกัน เรื่องแรกที่ดูด้วยกัน คือ เรื่องพระนเรศวร ตอน ยุทธหัตถี จับมือกันตลอดจนจบเรื่อง มันรู้สึกถึงกันและกัน ว่าเราคิดถึงกันมากแค่ไหน พอหนังจบก็รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องจากกันอีกครั้ง แต่ฉันก็เลือกที่จะนั่ง บีทีเอสไปส่งที่บางนา ตอนนั้นรถบีทีเอสคนเต็มรถเลย ไม่มีที่ให้นั่ง เขาถือกระเป๋าเจมส์บอนในมือ อีกข้างก็จับหวงที่จับไว้ แล้วเขาบอกฉัน “ม๊ามายืนข้างหน้าป๊านิมะ” ลืมบอกว่า เราเรียกกันว่า ป๊ากับม๊า ฉันก็ทำตามเขาบอกแต่โดยดีเพราะคนมันเยอะมากจริงๆ แต่คือตอนนั้นตรงจุดที่ฉันยืนมันไม่มีที่ให้ฉันจับเลย จะล้ม เขามองฉัน “ม๊าจับแขนป๊าดิ” “ห๊ะ!ให้จับแขนหรอ” “อื้ม รึจะจับส่วนอื่นหล่ะ” “โอ่ยยย ไอ้บ้า”เขายิ้มอ่อนๆ>< ฉันก็เอามือทั้งสองข้างจับตรงต้นแขนที่เป็นกล้ามพอดี โอ่ยยยยย>< หน้าแดงหมดแล้วเนี่ยะ (แล้วทำไมฉันต้องจับตรงกล้ามเขาด้วยเนี่ยะ ฮ่าๆ เขิน) เขาก็เอาตัวเขากันคนอื่นไม่ให้ใครมาโดนตัวฉันตลอดทาง พอถึงที่ เราก็ลงจากบีทีเอส แต่ตอนนั้นฝนตกหนัก เขาพูดออกมาว่า “ม๊าส่งป๊าแค่นี้แหละฝนตกเดี๋ยวม๊าไม่สบาย ยิ่งกระหม่อมบางอยู่” เอิ่มน่ะ “ก็ได้” ต้องจากอีกแล้วหรอ มันทำให้ใจหาย แล้วอยู่ๆตัวฉันก็พุ่งไปหอมแก้มเขาหนึ่งครั้งอย่างรวดเร็ว >3< (ฉานนนทำอะไรลงไปเนี่ยะ) เขาทำหน้าตกใจเบาๆ หลังจากนั้นเราก็ลากัน เขาต้องนั่งวินมอไซต์ตากฝนไป เพราะถ้านั่งแท็กซี่รถมันติดจะไปเข้าโรงเรียนไม่ทัน ฉันอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ ตากฝนกลับด้วย ส่วนฉันก็กอดตุ๊กตานั่งรถบีทีเอสกลับห้อง ตอนแรกจะไม่ร้องให้ออกมาแล้ว แต่สุดท้ายกลับถึงห้องก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ได้แต่นอนกอดตุ๊กตาเอาไว้แน่น มันทำให้รู้เลยว่านี้หรอคือ รัก ฉันรักเขามากจริงๆ
แต่หลังจากนั้นเราก็ได้เจออีกครั้งวันศุกร์ตอนเย็น วันที่ 27 มิถุนายน ฉันก็รีบกลับจากที่ทำงาน สักพักเขามาถึงที่ห้อง ฉันเจอหน้าเขาด้วยความดีใจเลยโผเข้าไปกอดกันด้วยความคิดถึง (ลืมตัวว่าตัวเองกำลังคุกคามเขาเกินไปละ) แต่มันคิดถึงจริงๆนินา ตอนนั้นเหมือนฉันตัวเล็กไปเลยด้วยความที่เขาตัวสูง หน้าฉันไปซุกที่อกเขาพอดี ดีใจจังที่ได้เจอ เขาพูดออกมาว่า “ให้ป๊าวางกระเป๋าก่อนมั๊ยม๊า” ฉันก็ยิ้ม “อื้ม ก็ดีใจนินา” แล้วเราก็ไปหาไรกิน กลับมาก็อาบน้ำ เขากอดฉันไว้ไม่ปล่อยเลย เหมือนกับว่าไม่อยากจากกันเลย มันรู้สึกได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย แล้วหลังจากนั้นเราก็เจอกันแทบทุกอาทิตย์ มันโคตรจะมีความสุขเลย ไปไหนมาไหนด้วยกัน ดูหนังด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันอีกครั้งเพราะมันใกล้เปิดเทอมแล้ว ถึงเวลาที่ต้องทำใจจากกันอีกแล้วสิ
ฉันกลับมหาลัยด้วยความคิดถึง เวลาคุยกันก็น้อยลง เขาก็ไม่มีเวลา เราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันก็ยังขึ้นแสตนแม้จะอยู่ปี 2 แล้วก็ตาม แล้วต้องซ้อมดึกๆดื่นๆ พอฉันว่างเขาก็ไม่ว่าง มันทำให้เราทะเลาะกันบ่อยๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่สุดท้ายก็ดีกันเหมือนเดิม เราก็ไม่เคยทิ้งกันไปไหน
ใกล้ถึงงาน Navy blue ในวันที่ 11/12/14 เขาถามว่า “ม๊าว่างป่าวงาน Navy Blue เขาให้พาแฟนมา” “ห๊ะ!งานแบบไหน” “ก็งานเลี้ยงจบชั้น 1 อ่ะ” ตอนนั้นเขาใกล้เรียนจบชั้น 1 แล้วฉันตอบตกลงไปงาน ก่อนถึงงานมันตื่นเต้นอ่ะ แล้วตอนนั้นเขาก็ถามว่าใส่แหวนไชต์อะไร ก็แปลกใจนิดๆ ฉันเตรียมหาชุดเรียบร้อย แล้วเดินทางไปกรุงเทพ และวันต่อมาก็ถึงวันงาน ฉันใส่ชุดเดรสสีชมพู ทำผมลอนยาวมีดอกไม้บนหัว พร้อมกับต่างหูและสร้อยเล็ก รองเท้าส้นสูงสีทอง (ย้ำว่ารองเท้าสูงมากจริงๆ) ตื่นเต้นจังไม่ค่อยชินเลยแฮ่ะ ไม่เคยได้แต่งตัวแบบนี้เลย แล้วรอเขามารับ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตู รู้เลยว่าเขามาแล้ว^^ มาพร้อมกับชุดสีดำแบบนักเรียนจ่าทหารเรือ ตัวสูงๆ กับกระเป๋าเจมส์บอนเช่นเดิม (ทำไมต้องหุ่นดีขึ้นทุกวันด้วยเนี่ยะ เริ่มจะหวงมาขึ้นละน่ะ) แล้วเขาก็เข้ามาในห้องทำหน้าเหนื่อยๆนิดหน่อย แต่ก็ยิ้มให้ฉัน ทำไมฉันต้องเขินด้วยเนี่ยะ ไม่เคยชินเลยกับการเจอหน้าแล้วยิ้มแบบนั้น จากนั้นเขาก็วางกระเป๋าเรียบร้อย เขาเอามือล่วงกระเป๋าและหยิบอะไรบางอย่างออกมา เฮ้ย!!! นั่นมันแหวน>< (แหวนญาติที่คู่กับแหวนรุ่นของเขา) ฉันยิ้มให้เขา อ๊ากกกกกเขินนนนนนนนอีกแล้ว จากนั้นเขาก็จับมือฉันแล้วก็ใส่แหวนให้พร้อมกับจูบที่มือเบาๆ >< “ม๊าเป็นของป๊าแล้วน่ะ อย่าถอดหล่ะ”โอ่ยยยยยย มาทำให้เขินทำไมเนี่ยะ ฉันก็เข้าไปกอดเขาและยิ้มจนแก้มจะแตก หลังจากนั้นเราก็ออกไปด้วยกัน เขาถือกระเป๋าให้ฉัน แต่ก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ไปด้วยกันนั้นแหละ ระหว่างทางไปคือมีแต่คนมอง ทำหน้าไม่ถูกเลยแฮ่ะ (ใครมันจะไม่มองแต่งเต็มซะขนาดนั้น)
พอถึงป้อมพระจุล(คือโรงเรียนเขานั้นเอง) ฉันก็คิดว่าฉันเตรียมตัวดีแล้วน่ะ แต่ๆๆๆ ทามมมายยยยรองเท้าต้องกัดขาด้วย แล้วทำไมป้อมมันถึงใหญ่และต้องเดินไกลขนาดนี้เนี่ยะ เดินไปถ่ายรูปที่เรือ ซึ่งโคตรจะไกลเมื่อดูสภาพตัวเองที่รองเท้ากัดขา ณ ตอนนั้น เขาก็คอยประคองฉันตลอดทาง จนถึงเรือลำใหญ่ที่จอดอยู่แล้วเราก็ถ่ายรูปด้วยกันในบรรยากาศยามเย็นแดดอ่อนๆที่สาดมากระทบเราทำให้ได้รูปสวยๆเต็มเลย มีเพื่อนเขาแอบถ่ายรูปเราไว้ด้วย แล้วก็เอาไปลงเพจ น.ร.จ. งื้ออออ เขิน พอถึงเวลาที่ต้องเข้างาน คิดในใจ (นี่ช้านนนต้องเดินใช่ม๊ายยยยย) โอ่ยยยยตายๆต้องเดินกลับอีกแล้วหรอ ทำไมป้อมมันใหญ่ขนาดนี้เนี่ยะ เขามองหน้าฉันแล้วรู้ว่าฉันเจ็บขาจนน้ำตาจะเล็ด เลยบอกว่า “ม๊า! งั้นถอดรองเท้าเหอะ” ด้วยความที่เจ็บขา ไม่ห่วงสวยแล้ว เขาก็ก้มหยิบรองเท้าที่ฉันถอดเอาไปถือให้ แล้วก็ประคองฉันไปด้วย จนใกล้ถึงงาน แล้วเขาก็วางรองเท้าให้ฉัน ฉันก็ใส่รองเท้าเพราะต้องเข้างานแล้ว พอเดินเข้างานไปก็มีเพื่อนและพี่เขาพาแฟนมากันเต็มเลย ถึงจะปวดขาแค่ไหนก็ทนว่ะ เขาก็ค่อยประคองฉันไปนั่งที่โต๊ะ หึหึ แล้วก็ได้นั่งซะที ฉันก็ทักทายเพื่อนเขาตามความมีอัธยศัยดีของฉัน ฮ่าๆ ทุกคนเป็นกันเอง เขาก็ลุกไปเตรียมตัวเพราะต้องเตรียมการแสดง จากนั้นก็มีการแสดง แฟนซีดริว ก็เคยเห็นแต่ในยูทูป พอได้มาเห็นจริงๆอ้อมันเป็นยังงี้นี่เอง ชอบๆ มันเป๊ะมากตามแบบทหาร มีถอดเสื้อควงกระบองไฟด้วย ว้าวววว เออเริศศศศศ เพิ่งได้เห็นโมเมนท์งานเลี้ยงของทหารก็วันนี้แหละ พองานจบเราก็ได้ขึ้นรถบัสของโรงเรียนที่จะไปส่ง เราก็ไปนั่งด้วยกัน เขาจับมือฉันไม่ปล่อยเลย คือดูแลดีมากๆ ฉันนั่งบนรถแล้วอยู่ๆก็มีอะไรมากระทบไหลฉัน ซึ่งก็เป็นหัวเขานั่นแหละ ฉันก็เอาหัวพิงกลับ โอ่ยยยยยย มีความสุขจังได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ พออยู่ด้วยกันไม่ต้องพูดอะไรมาก เราต่างรู้ว่าเรารักกันมากแค่จับมือก็รู้สึกได้ พอรถจอดเราก็ลง เพื่อขึ้นบีทีเอสต่อ เอาแล้วไงนี่ยังต้องขึ้นบันไดอีกแล้วหรอ โอ่ยย หมดแรงแล้ว T^T เขามองหน้าฉัน แล้วอยู่ๆเขาก็มายืนต่อหน้าฉัน ฉันก็เงยหน้ามองเขาด้วยความที่เขาตัวสูง เขาก็พูดออกมาว่า “ถอดรองเท้ามะ จะถือให้” เขาก็หันหลังแล้วนั่งย่อเข่าลง ฉันเลยถามว่า “ป๊าทำไรนิ” เขาก็ตอบว่า เอ๊า!!! ก็ให้ม๊าขี่หลังไงเห็นเจ็บขานิ” T^T งื้ออออ ทำไมต้องทำให้เขินได้ตลอดเวลาเล๊ยยยยย คนบ้า จากนั้นเขาก็อุ้มฉันขึ้นบันไดบีทีเอส (ดีน่ะตอนนั้นมันดึกมากแล้วไม่ค่อยมีคน ไม่งั้นคงเขินตาย) พอดูบันไดมันก็สูงอยู่น่ะ ขณะที่เขาอุ้มฉันก็พรึมพรำออกมา “นี่แบกช้างป่ะเนี่ยะ ตัวแค่นี้ทำไมหนักจัง” นี่อยากแบกเองน่ะ คนบ้า>< (กวนตีนตลอด) เขาก็แบกจนถึงบีทีเอส เราก็ขึ้นรถบีทีเอสกลับห้อง เราต่างรู้ว่าเวลาที่เราอยู่ด้วยกันกำลังจะหมดลง เขากอดฉันไว้ตลอดเลย เขาไม่ชอบพูดอะไรมากแต่ฉันรู้ว่าเขารู้สึกยังไง เฮ้ออออ ตอนเช้าเขาก็กลับป้อมแล้วฉันก็กลับมหาลัย T^T อดร้องไห้ไม่ได้อีกแล้ว
>>>>>> มีต่อ<<<<<<<<<