ผมสงสัยเรื่องสุวรรณสังข์ชาดก อ่ะครับ
ทีนี้ จะกล่าวถึงปาลกเสนาบดีต่อไป ใจความว่า เมื่อสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จเข้ามาถึงพรหมบุรี ปาลกเสนาบดีนึกสะดุ้งจิตคิดไปว่า พระสุวรรณสังขราชกุมารมาได้ผ่านราชสมบัติ ณ เมืองนี้ จักทรงพิโรธทำโทษแก่เรา เราจักหนีไปเสีย ณ เมืองอื่น จักพาเอาพลโยธามาจับพระสุวรรณสังขราชกุมารกับพระมารดาฆ่าเสียจงได้ ปาลกเสนาบดีคิดเสร็จแล้วก็หนีไปเมืองปัญจาลธานี เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปัญจาลราช ทูลด้วยปิสุณาวาทว่า สมมติเทวา บัดนี้ พระสุวรรณสังขราชกุมารผ่านราชสมบัติเป็นเอกราชแล้ว จัดเตรียมโยธาไว้มากมาย จักยกมาตีเมืองพระองค์แย่งสมบัติเมืองนี้อีก ข้าพระพุทธเจ้าทราบเกล้าแล้วจึ่งมาเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบฝ่าพระบาท
พระเจ้าปัญจาลราชทรงฟังดังนั้นสำคัญว่าจริง ทรงพระโกรธาเป็นอันมาก จึ่งรับสั่งอำมาตย์ให้เอาเภรีไปตีประกาศให้พลเมืองมาประชุมพร้อมกัน ชาวพระนครประมาณเจ็ดอักโขเภณีได้มาประชุมพร้อมกัน ณ หน้าพระลานหลวง พระราชาทรงเล่าความทั้งปวงให้มหาชนมีมหาอำมาตย์เป็นต้นฟัง แล้วจัดปาลกเสนาบดีผู้รับอาสาให้คุมเสนาพยุหะเป็นทัพหน้ายกไปก่อน จึ่งจัดมหาอำมาตย์ของพระองค์เป็นแม่ทัพใหญ่ให้คุมเสนาพยุหะยกตามไปภายหลัง แม่ทัพนายกองได้เดินกองทัพไปถึงพรหมบุรีตามลำดับ เสนาเจ็ดอักโขเภณีจึ่งพร้อมกันล้อมเมืองเข้าไว้ถึงเจ็ดชั้น เสียงโยธาโห่สนั่นหวั่นไหวปานประหนึ่งว่าปฐพีและพระนครจะทรุดหักทำลายไป โยธาบางพวกก็พากันร้องว่า พวกเราจงช่วยกันพังกำแพงเมืองเข้าไป โยธาบางพวกก็พากันร้องว่า พวกเราจักคิดอย่างไรจึ่งจะพ้นภัยได้ พระสุวรรณสังขราชกุมารก็ตกพระหฤทัยกลัวต่อข้าศึก จึ่งนึกถุงนางยักษิณีว่า นางยักษิณีมารดาเลี้ยงของเรา เดี๋ยวนี้ไปเกิดที่ไหน ดำริแล้วจึ่งร่ายทิพมนต์ที่มารดาให้ไว้ ก็ทราบชัดว่า นางยักษิณีนั้นไปเกิดในชั้นจาตุมหาราชิกเทวโลก พระองค์จึ่งทรงฉลองพระบาททองเหาะไปสู่สำนักเทวธิดา ทำอภิวันทน์ แล้วบอกว่า พระแม่เจ้าข้า เดี๋ยวนี้พวกข้าศึกมาล้อมเมืองไว้แน่นหนา ข้าพเจ้าไม่เห็นใครจะเป็นที่พึ่งได้ เห็นอยู่แต่มารดาผู้เดียวจะเป็นทีพึ่งแก่ข้าพเจ้า พระมารดาเจ้าจงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้ากับทั้งพวกชาวเมืองด้วยเถิด
นางเทวธิดานั้น ครั้นสดับทราบความแล้ว ก็ให้มีความเมตตาต่อพระสุวรรณสังขราชกุมาร จึ่งประทานพระขรรค์ทิพย์ชื่อ สิริชัย ให้แก่พระสุวรรณสังขราชกุมาร แล้วบอกว่า พ่อจงรับเอาพระขรรค์แก้วแล้วด้วยเทวฤทธิ์ที่มารดาให้นี้ไป ถ้าหากว่าปัจจามิตรมาข่มเหงแย่งราชสมบัติของพ่อไซร้ พ่อจงเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วเอาพระขรรค์แก้วแกว่งบนศีรษะของพ่อไว้ หมู่ปัจจามิตรจะพ่ายแพ้กลับไปด้วยอำนาจรัตนขรรคาวุธ พ่อราชบุตรจงทำตามมารดาสั่งดังนี้
พระสุวรรณสังราชกุมารรับเอารัตนขรรคาวุธอันให้สำเร็จความปรารถนาจากเทวธิดาแล้ว ก็อำลากลับมายังสำนักราชบิดามารดา จึ่งพร้อมด้วยพลเสนาเสด็จออกจากพระนคร เหาะขึ้นบนอากาศ แล้วแกว่งทิพรัตนขรรคาวุธตามที่นางเทวธิดาบอกไว้ รัศมีพระขรรค์แก้วก็ลุกโพลงตกลงมาเสียงดังประเปรี้ยงเหมืองเสียงอสนี ประหนึ่งว่าจะทำมหาโยธาข้าศึกให้ตายไปหมดด้วยกัน พวกเสนานับได้เจ็ดอักโขเภณีประหนึ่งว่าจะมีศีรษะแตกออกไป พากันร้องขอชีวิตต่อพระโพธิสัตว์ว่า พระมหาราช ข้าพระบาททั้งหลายจะไม่คิดประทุษร้ายต่อพระองค์ พระองค์จงประทานชีวิตให้เถิดพระเจ้าข้า
ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ ด้วยอิทธานุภาพแห่งพระขรรค์แก้วสิริชัย จึ่งพลัดจากคอช้างตกลงไป ณ ปฐพี วิบากแห่งอกุศลความอกตัญญูให้ผล ปฐพีดลอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เปิดช่องให้ ปาลกเสนาบดีก็จมลงไปไหม้อยู่ในอเวจีนรก
เตน วุตฺตํ เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ท่านได้กล่าวสอนไว้แล้วว่า บุทคลผู้ใดกล่าวมุสาวาทใส่โทษแก่ผู้อื่นก็ดี แก่ญาติเผ่าพันธุ์มิตรสหายก็ดี หรือใส่โทษแก่ครูอาจารย์และท่านผู้มีคุณแก่คนก็ดี บุทคลผู้นั้นครั้นตายแล้วก็จักไปเกิดในอเวจีนรกเหมือนปาลกเสนาบดีฉะนั้น
พระโพธิสัตว์ทรงพระกรุณาแก่มหาชนเป็นอันมาก จึ่งตรัสว่า พวกมหาโยธาทั้งหลาย พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงเชื่อคำปาลกเสนาบดีคนลามก ให้ยกกองทัพมาทำสงครามกับเราผู้หาความผิดมิได้ และละสัปปุริสธรรม แล้วทำซึ่งอธรรมทางอบาย แต่นี้ไปท่านทั้งหลายจงอย่าทำบาปกรรมเช่นนี้ต่อไปเป็นอันขาด ทรงให้โอวาทต่อไปอีกว่า บุทคลผู้ใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำปรทารกรรม กล่าวปด เสพสุราเมรัย บุทคลผู้นั้นจักถึงความพินาศเหมือนปาลกเสนาบดี อนึ่ง ฝ่ายกุศลธรรม คือ ศีล ทาน ธรรมสวนะ และเมตตา ภาวนา กุเลเชฏฐาปจายิกกรรม เหล่านี้มีคุณยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่ประมาทในธรรมที่เราสอนแล้วนี้ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้แล้วจักไปเกิดในสวรรค์ด้วยกุศลธรรมอันนั้น ทรงให้โอวาทแล้วก็ส่งพวกโยธาให้กลับไปยังปัญจาลนคร ส่วนพระองค์ก็เสด็จคืนเข้าพระราชฐานของพระองค์
******* ฝ่ายพวกเสนาโยธากลับมาถึงปัญจาลนครแล้ว จึ่งเข้าเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลว่า พระมหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธามีปาลกเสนาบดีเป็นต้นซึ่งพระองค์ส่งไป ได้พร้อมกันเข้าล้อมเมืองไว้ถึงเจ็ดชั้น พระสุวรรณสังขราชกุมารมีบุญญาธิการมากนัก เหาะขึ้นบนอากาศ ทรงแกว่งพระแสงขรรค์แก้ว ณ ท่ามกลางโยธา ด้วยอานุภาพขรรคาวุธ เกิดเป็นแสงสว่างตกลงมาดังประเปรี้ยงเพียงดังสายฟ้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมืดหน้ามัวตาหาสติมิได้ถึงปราชัยพ่ายแพ้ แต่ปาลกเสนาบดีพลัดจากคอช้างตกถึงแผ่นดิน แผ่นดินได้สูบปาลกเสนาบดีผู้อกตัญญูไม่รู้จักคุณเจ้านายของตนไปทั้งเป็น พระสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จลงจากอากาศประทานโอวาทแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธา แล้วส่งให้กลับมาเมืองนี้ ขอพระองค์จงทราบด้วยประการฉะนี้ พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงฟังดังนั้น ทรงพระเกษมสันต์และสรรเสริญพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการไปถวายเป็นอเนกประการ ******
ตรงนี้ที่ผมสงสัย
**************ผมสงสัยตามบทความสุดท้าย ตรงที่มีเครื่องหมาย *** อ่ะครับ คือ พวกเสนาดยธา ที่มาถึงปัญจาลนครแล้ว ไปบอกเรื่องราวตามบทสุดท้ายความข้างบนนี้แก่ พระเจ้ากรุงปัญจาล แล้วตอนจบพระเจ้ากรุงหายเข้าใจผิดยังครับ ว่า พระสุวรรณสังข์ไม่ได้คิดมาตีเมืองเพื่องแย่งสมบัติ ตามที่ปาลกเสนาบดีกล่าวหา ******
ปล. จะว่าผมก็ได้นะครับ แต่ช่วยอธิบายให้ที เพราะผมวิเคราะห์คำพูดไม่เป็นจริงๆ ถ้าไม่บอกตรงๆตามตัวอักษรผมก็ตีความไม่ค่อยเป็นอ่ะครับ ช่วยทีนะครับ
ผมสงสัยเรื่องสุวรรณสังข์ชาดก อ่ะครับ
ทีนี้ จะกล่าวถึงปาลกเสนาบดีต่อไป ใจความว่า เมื่อสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จเข้ามาถึงพรหมบุรี ปาลกเสนาบดีนึกสะดุ้งจิตคิดไปว่า พระสุวรรณสังขราชกุมารมาได้ผ่านราชสมบัติ ณ เมืองนี้ จักทรงพิโรธทำโทษแก่เรา เราจักหนีไปเสีย ณ เมืองอื่น จักพาเอาพลโยธามาจับพระสุวรรณสังขราชกุมารกับพระมารดาฆ่าเสียจงได้ ปาลกเสนาบดีคิดเสร็จแล้วก็หนีไปเมืองปัญจาลธานี เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปัญจาลราช ทูลด้วยปิสุณาวาทว่า สมมติเทวา บัดนี้ พระสุวรรณสังขราชกุมารผ่านราชสมบัติเป็นเอกราชแล้ว จัดเตรียมโยธาไว้มากมาย จักยกมาตีเมืองพระองค์แย่งสมบัติเมืองนี้อีก ข้าพระพุทธเจ้าทราบเกล้าแล้วจึ่งมาเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบฝ่าพระบาท
พระเจ้าปัญจาลราชทรงฟังดังนั้นสำคัญว่าจริง ทรงพระโกรธาเป็นอันมาก จึ่งรับสั่งอำมาตย์ให้เอาเภรีไปตีประกาศให้พลเมืองมาประชุมพร้อมกัน ชาวพระนครประมาณเจ็ดอักโขเภณีได้มาประชุมพร้อมกัน ณ หน้าพระลานหลวง พระราชาทรงเล่าความทั้งปวงให้มหาชนมีมหาอำมาตย์เป็นต้นฟัง แล้วจัดปาลกเสนาบดีผู้รับอาสาให้คุมเสนาพยุหะเป็นทัพหน้ายกไปก่อน จึ่งจัดมหาอำมาตย์ของพระองค์เป็นแม่ทัพใหญ่ให้คุมเสนาพยุหะยกตามไปภายหลัง แม่ทัพนายกองได้เดินกองทัพไปถึงพรหมบุรีตามลำดับ เสนาเจ็ดอักโขเภณีจึ่งพร้อมกันล้อมเมืองเข้าไว้ถึงเจ็ดชั้น เสียงโยธาโห่สนั่นหวั่นไหวปานประหนึ่งว่าปฐพีและพระนครจะทรุดหักทำลายไป โยธาบางพวกก็พากันร้องว่า พวกเราจงช่วยกันพังกำแพงเมืองเข้าไป โยธาบางพวกก็พากันร้องว่า พวกเราจักคิดอย่างไรจึ่งจะพ้นภัยได้ พระสุวรรณสังขราชกุมารก็ตกพระหฤทัยกลัวต่อข้าศึก จึ่งนึกถุงนางยักษิณีว่า นางยักษิณีมารดาเลี้ยงของเรา เดี๋ยวนี้ไปเกิดที่ไหน ดำริแล้วจึ่งร่ายทิพมนต์ที่มารดาให้ไว้ ก็ทราบชัดว่า นางยักษิณีนั้นไปเกิดในชั้นจาตุมหาราชิกเทวโลก พระองค์จึ่งทรงฉลองพระบาททองเหาะไปสู่สำนักเทวธิดา ทำอภิวันทน์ แล้วบอกว่า พระแม่เจ้าข้า เดี๋ยวนี้พวกข้าศึกมาล้อมเมืองไว้แน่นหนา ข้าพเจ้าไม่เห็นใครจะเป็นที่พึ่งได้ เห็นอยู่แต่มารดาผู้เดียวจะเป็นทีพึ่งแก่ข้าพเจ้า พระมารดาเจ้าจงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้ากับทั้งพวกชาวเมืองด้วยเถิด
นางเทวธิดานั้น ครั้นสดับทราบความแล้ว ก็ให้มีความเมตตาต่อพระสุวรรณสังขราชกุมาร จึ่งประทานพระขรรค์ทิพย์ชื่อ สิริชัย ให้แก่พระสุวรรณสังขราชกุมาร แล้วบอกว่า พ่อจงรับเอาพระขรรค์แก้วแล้วด้วยเทวฤทธิ์ที่มารดาให้นี้ไป ถ้าหากว่าปัจจามิตรมาข่มเหงแย่งราชสมบัติของพ่อไซร้ พ่อจงเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วเอาพระขรรค์แก้วแกว่งบนศีรษะของพ่อไว้ หมู่ปัจจามิตรจะพ่ายแพ้กลับไปด้วยอำนาจรัตนขรรคาวุธ พ่อราชบุตรจงทำตามมารดาสั่งดังนี้
พระสุวรรณสังราชกุมารรับเอารัตนขรรคาวุธอันให้สำเร็จความปรารถนาจากเทวธิดาแล้ว ก็อำลากลับมายังสำนักราชบิดามารดา จึ่งพร้อมด้วยพลเสนาเสด็จออกจากพระนคร เหาะขึ้นบนอากาศ แล้วแกว่งทิพรัตนขรรคาวุธตามที่นางเทวธิดาบอกไว้ รัศมีพระขรรค์แก้วก็ลุกโพลงตกลงมาเสียงดังประเปรี้ยงเหมืองเสียงอสนี ประหนึ่งว่าจะทำมหาโยธาข้าศึกให้ตายไปหมดด้วยกัน พวกเสนานับได้เจ็ดอักโขเภณีประหนึ่งว่าจะมีศีรษะแตกออกไป พากันร้องขอชีวิตต่อพระโพธิสัตว์ว่า พระมหาราช ข้าพระบาททั้งหลายจะไม่คิดประทุษร้ายต่อพระองค์ พระองค์จงประทานชีวิตให้เถิดพระเจ้าข้า
ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ ด้วยอิทธานุภาพแห่งพระขรรค์แก้วสิริชัย จึ่งพลัดจากคอช้างตกลงไป ณ ปฐพี วิบากแห่งอกุศลความอกตัญญูให้ผล ปฐพีดลอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เปิดช่องให้ ปาลกเสนาบดีก็จมลงไปไหม้อยู่ในอเวจีนรก
เตน วุตฺตํ เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ท่านได้กล่าวสอนไว้แล้วว่า บุทคลผู้ใดกล่าวมุสาวาทใส่โทษแก่ผู้อื่นก็ดี แก่ญาติเผ่าพันธุ์มิตรสหายก็ดี หรือใส่โทษแก่ครูอาจารย์และท่านผู้มีคุณแก่คนก็ดี บุทคลผู้นั้นครั้นตายแล้วก็จักไปเกิดในอเวจีนรกเหมือนปาลกเสนาบดีฉะนั้น
พระโพธิสัตว์ทรงพระกรุณาแก่มหาชนเป็นอันมาก จึ่งตรัสว่า พวกมหาโยธาทั้งหลาย พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงเชื่อคำปาลกเสนาบดีคนลามก ให้ยกกองทัพมาทำสงครามกับเราผู้หาความผิดมิได้ และละสัปปุริสธรรม แล้วทำซึ่งอธรรมทางอบาย แต่นี้ไปท่านทั้งหลายจงอย่าทำบาปกรรมเช่นนี้ต่อไปเป็นอันขาด ทรงให้โอวาทต่อไปอีกว่า บุทคลผู้ใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำปรทารกรรม กล่าวปด เสพสุราเมรัย บุทคลผู้นั้นจักถึงความพินาศเหมือนปาลกเสนาบดี อนึ่ง ฝ่ายกุศลธรรม คือ ศีล ทาน ธรรมสวนะ และเมตตา ภาวนา กุเลเชฏฐาปจายิกกรรม เหล่านี้มีคุณยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่ประมาทในธรรมที่เราสอนแล้วนี้ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้แล้วจักไปเกิดในสวรรค์ด้วยกุศลธรรมอันนั้น ทรงให้โอวาทแล้วก็ส่งพวกโยธาให้กลับไปยังปัญจาลนคร ส่วนพระองค์ก็เสด็จคืนเข้าพระราชฐานของพระองค์
******* ฝ่ายพวกเสนาโยธากลับมาถึงปัญจาลนครแล้ว จึ่งเข้าเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลว่า พระมหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธามีปาลกเสนาบดีเป็นต้นซึ่งพระองค์ส่งไป ได้พร้อมกันเข้าล้อมเมืองไว้ถึงเจ็ดชั้น พระสุวรรณสังขราชกุมารมีบุญญาธิการมากนัก เหาะขึ้นบนอากาศ ทรงแกว่งพระแสงขรรค์แก้ว ณ ท่ามกลางโยธา ด้วยอานุภาพขรรคาวุธ เกิดเป็นแสงสว่างตกลงมาดังประเปรี้ยงเพียงดังสายฟ้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมืดหน้ามัวตาหาสติมิได้ถึงปราชัยพ่ายแพ้ แต่ปาลกเสนาบดีพลัดจากคอช้างตกถึงแผ่นดิน แผ่นดินได้สูบปาลกเสนาบดีผู้อกตัญญูไม่รู้จักคุณเจ้านายของตนไปทั้งเป็น พระสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จลงจากอากาศประทานโอวาทแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธา แล้วส่งให้กลับมาเมืองนี้ ขอพระองค์จงทราบด้วยประการฉะนี้ พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงฟังดังนั้น ทรงพระเกษมสันต์และสรรเสริญพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการไปถวายเป็นอเนกประการ ******
ตรงนี้ที่ผมสงสัย
**************ผมสงสัยตามบทความสุดท้าย ตรงที่มีเครื่องหมาย *** อ่ะครับ คือ พวกเสนาดยธา ที่มาถึงปัญจาลนครแล้ว ไปบอกเรื่องราวตามบทสุดท้ายความข้างบนนี้แก่ พระเจ้ากรุงปัญจาล แล้วตอนจบพระเจ้ากรุงหายเข้าใจผิดยังครับ ว่า พระสุวรรณสังข์ไม่ได้คิดมาตีเมืองเพื่องแย่งสมบัติ ตามที่ปาลกเสนาบดีกล่าวหา ******
ปล. จะว่าผมก็ได้นะครับ แต่ช่วยอธิบายให้ที เพราะผมวิเคราะห์คำพูดไม่เป็นจริงๆ ถ้าไม่บอกตรงๆตามตัวอักษรผมก็ตีความไม่ค่อยเป็นอ่ะครับ ช่วยทีนะครับ