สวัสดีครับ นี้คือกระทู้แรกของผมมีผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยนะครับ จริงๆจะเขียนตั้งนานแล้วแต่ว่าไม่มีเวลา(ขี้เกียจด้วย555) การเขียนครั้งนี้ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ รร.อาภาพัฒนา(Apils) เขียนจากความรุ้สึกแล้วอยากแบ่งปันประสบการณ์ อาจจะมีพิมพ์ผิดบ้างขอโทษด้วยครับ
มาเริ่มกันเลย
นี้คือบทนำที่ผมสรุปก่อนอ่านลายละเอียดมากมาย
Hello!! วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์และCulture shock เกี่ยวกับแคนาดาให้ฟังกัน
------------------😄------------------
โครงการนี้มีชื่อว่า 'LCLS'
L= Life
C= Culture
L=Language
S=Study
❄️️😁😍💘❤️✌️👍💕😙😋😏😛😱
สำหรับโครงการนี้เป็นของโรงเรียนอาภาพัฒนา(Apils)โครงการนี้ใช้เวลา1เดือนครึ่ง ในเมืองซู/ซูเซ้นแมรี ประเทศแคนาดา
(@_@)
เริ่มกันที่ ได้อะไรจากโครงการนี้ ได้ เพื่อน วัฒนธรรม ภาษาอังกฤษ การใช้ชีวิตในต่างแดน ได้เพื่อนชาวแคนาดามากมาย แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง การที่เราอยากจะได้เพื่อนต่างชาติเราต้องเป็นคนเข้าไปเล่นเข้าไปคุยกับเขาเอง เขาจะไม่เหมือนคนไทยที่อยู่เฉยๆแล้วจะมีเพื่อน ไปโรงเรียนวันจันทร์-ศุกร์บางวันอาจจะหยุดไปเที่ยวตามแพลน หรือบางวันไปเที่ยวหลังเลิกเรียน มีกิจกรรมมากมาย เช่น สกี ตกปลา อีสเตอร์เดย์ ไปทะเลสาบ นำ้ตก และอื่นๆๆๆๆๆๆๆอีกมากมายๆๆๆ
ถามว่าภาษาอังกฤษดีขึ้นไหม ตอบได้เลยว่ามากๆเพราะ1.อยู่กับHost Family 1คนต่อ1บ้านได้สื่อสารกับHostตลอด 2.จะไม่เหมือนอยู่ที่ไทยเวลาไม่เข้าใจหรือสื่อสารไม่เป็นพูดไม่เป็นแล้วจะให้เพื่อนพูดให้ แต่ที่นี้เราต้องหน้าด้าน อายก็ต้องอายพูดผิดไม่กลัวเพื่อความอยู่รอดดีกว่าอายไม่กล้าพูดแล้วไม่ได้อะไรเลย อย่างที่เรียนในไทยว่าต้องเรียนตามTense ที่นี้เขาไม่ค่อยเคร่งเรื่องTense พูดผิดไม่เป็นไรแต่ต้องพูดให้ฝรั่งเข้าใจ เอาง่ายๆไม่ต้องจำอะไรเยอะ แค่ โครงสร้างคำถาม กับบอกเล่า Verbอดีตปัจจุบัน ได้คำศัพท์ใหม่ๆเยอะมากพูดคล่องภาษาอังกฤษขึ้น มีความกล้าพูดมากขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
เพื่อนในกรุ๊ปนี้เหมือนไม่ใช้เพื่อนแต่เหมือนพี่น้องกันมากกว่า ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆๆเยอะมากบางอย่างก็ช็อกอยู่เหมือนกัน555
รู้สึกว่าเด็กไทยเรียนหนักเรียนมากเกินไปจนพอมานี้รู้สึกว่าเหมือนเขาไม่เรียน เขาเรียนๆเล่นๆที่นี้เขาเน้นการปฏิบัติมากกว่าเรียนทฤษฎี ที่นี้พักกลางวัน2รอบ โรงเรียนที่นี้1วันเรียน 4-5วิชาต่อวัน🙀😻ดีงามมากๆ
เด็กที่นี้กล้าคิดกล้าแสดงออกไม่มีความกลัว. ผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้เด็กพูดเเละรับฟังเสมอ
---------------😻-------------------
มาต่อที่Culture Shock(แต่พอรับได้)😱
1.เท้า=หัว ที่นี้ไม่มีของตำ่ของสูงเท้าใช้แทนมือได้ไม่มีใครถือ ใช้เท้าเล่นหัว เอาเท้ามาว่างบนโต๊ะก็ได้
2.ห้องนำ้- ห้องนำ้ไม่มีที่ฉีดตูด มีแต่กระดาษชิทชู้ และๆๆๆอยากจะรู้ว่าห้องนำ้มีช่องเกือบหนึ่งนิ้วไว้ให้คนคุยกัน?
3.คนที่นี้3วันอาบนำ้ที
4.คนที่นี้ ตด เรอ เป็นเรื่องปกติไม่มีใครอายแถมปล่อยออกมาดังมากๆ
และก็มีบางCulture Shockที่ไม่สามารถบอกได้จริงๆต้องมาเห็นกับตาแล้วจะอึ้งๆๆๆๆๆสุดๆๆ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุณครูที่ร่วมทริปก็เอาใจใส่เป็นอย่างดีถึงบางครั้งจะมีงอลมีโกรธกันบ้าง แต่มันก็คือ ประสบการณ์🇨🇦และถ้ามีโอกาสจะต้องกลับไปให้ได้😁👌
(ผู้ที่ไปกับโครงการนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นนักเรียนของรร.นี้ ใครๆก็สมัครได้)
อ่านบทความข้างต้นแล้วคงยังไม่ได้ฟิวที่แท้จริง ใครอยากรู้ อยากสัมผัสประสบการณ์ตรงเชิญอ่านต่อด้านล่างได้เลยครับ
เริ่มกันโลยยยยย...
ก่อนเดินทางประมาณ 1 อาทิตย์ จะมีการจัดปฐมนิเทศ 3 วัน(ไม่ข้างคืน)
3 วันนี้จะ ทำให้เด็กที่ไปได้เจอกันครั้งแรก ปรับตัวเข้าหากัน มีกิจกรรมต่างๆแล้วซ้อมวัน Thai day ที่จะไปแสดงที่แคนาดา
พอมาถึงวันเดินทาง 2/4/17
ครูนัดเจอกันเวลา 1 ทุ่ม ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เดินทางโดย Korean airline (แอร์ร้อนมาก)
เครื่องออกทาง รร.แจ้งว่า เครื่องออก4 ทุ่ม พอซักประมาณ2 ทุ่มก็จะลาจากพ่อแม่พี่ป้าน้าอาที่มาส่ง เพื่อเข้าเกท
พอเข้ามาได้ซักพัก ทางสนามบินประกาศว่า ไฟท์ของKorean airline จากกรุงเทพ ไป อินชอน ดีเลเป็นเวลา เที่ยงคืน
แต่ดีมากเพราะเครื่องดีเลท่งสายการบินเลยรับผิดชอบโดยการให้คูปองคนละ 250 เพื่อไปกินข้าว เข้าทางโจรละ😝
พอกินเสร็จก็ซื้อของใน Duty free ไปฝากโฮส พอถึงเที่ยงคืนเครื่องพึ่งมาถึง สรุปเครื่องออก ตอนตี 1 ตอนนั้นยังชิวๆคุยกับเพื่อนเฮฮาโดยยังไม่รู้ชะตากรรมในอนาคต555 พอเครื่องออก บินไปซักพักก็มีอาหารมาเสริฟ รสชาติใช้ได้
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ใกล้ถึงแล้ว แล้วก็มีอาหารเช้าแต่ไม่ได้ถ่ายไว้
แต่เป็นความรู้สึกที่ดีมากกินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
และแล้วก็มาถึงประเทศเกาหลี... หลี.......
ไม่ได้ออกไปไหนเลยอยู่ในสนามบิน 1 ชม. ซักพักก็ได้ขึ้นเครื่อง
พอนั่งบนเครื่องปุ้บ ก็ขาดเข็มขัดปั้บแล้วก็นอนกะว่าตื่นมาเครื่องคงบินแล้ว พอตื่นขึ้นมา เอ้าเครื่องยังจอดกับที่ งงละ?
เลยถามเพื่อว่ากี่โมงแล้ว(จำเวลาไม่ได้) แต่คำนวณแล้วว่าอยู่บนเครื่องประมาณ 2 ชม. โอ้พระเจ้าเกิดอะไรขึ้น ซักพักอยู่ดีๆกัปตันก็เดินออกมาพร้อมตำรวจ
และเดินตรงไปหาผู้ชายผิวสีที่นั่งข้างหลังผม 4 เบาะ ตอนแรกก็ไม่รู้เกิดไรขึ้นแต่ซักพักเริ่มมีการลงไม้ลงมือกัน ตอนนั้นทั้งกลัว ทั้งหายง่วงปิดทิ้ง สักพักตำรวจใส่กุญแจมือชายคนนั้นแล้วลากลงเครื่อง ครูของผมนั่งไปยู่ข้างหน้าชายคนนั้น ครูได้ยินแอร์พูดเหมือนกับว่า ชายคนนั้นแอบเอาอาวุธผิดกฎหมายขึ้นเครื่อง ตอนแรกก็ดีใจที่คนร้ายลงเครื่อง แต่พอเครื่องจะออกดันนึกถึงหนังที่แบบทิ้งระเบิดไว้ พอบินขึ้นแล้วระเบิด กลัวจะเป็นอย่างนั้นมาก เลยสวดมนต์ตลอดตอน take off555 สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี
มาต่อด้วยนั่งเครื่องมหาโหด 15 ชม.
เมื่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แถมเพลียมาก กำลังดูเรื่อง โมอาน่า บนเครื่องอยู่ดีๆก็เผลอหลับไปตื่นอีกทีหนังจบแล้ว(*_*)
ยังไม่พอแค่นั้น อาหารมาเสริฟ กินได้ซักพัก เผลอหลับอีก คือพยายามแหกตา แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว ก็ไม่กงไม่กินละ555
พอมาถึงที่โทรอนโตก็ไม่ได้มีเวลาเลยต้องวิ่งสู้ฟัดไปต่อเครื่องเพื่อจะไปเมืองซูอีก ที่วิ่งเพราะกลัวว่าจะตกเครื่องเพราะเหลืออีกไม่ถึง 20 นาที เครื่องจะออก
พอขึ้นไปซักพักเขาก็เชิญทุกคนลงจากเครื่อง เอ้า!!! ทำไมละ ก็ยางมันรั่ว ดีนะที่เขาตรวจเจอทัน
เขาก็ให้เราไปรอข้างนอกประมาณ ครึ่งชม. อากาศหนาวมากๆๆๆ 7 องศาว่าหนาวเดียวไปเจอเมืองที่จะไป -3 องศา
พอเปลี่ยนลำเสร็จก็เหิญฟ้าไปสู่เมืองซูเซนต์มารี.
รอติดตามภาค 2 รับรองว่าใครอ่านแล้วอยากไปแน่นอน!!! ใครอยากจะรู้ค่าใช้จ่ายและวิธีการสมัคร รอภาคต่อไปได้เลย
*งดดราม่าทุกกรณี*
[CR] แชร์ ประสบการณ์เรียนต่อที่ประเทศแคนาดาช่วงsummer
มาเริ่มกันเลย
นี้คือบทนำที่ผมสรุปก่อนอ่านลายละเอียดมากมาย
Hello!! วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์และCulture shock เกี่ยวกับแคนาดาให้ฟังกัน
------------------😄------------------
โครงการนี้มีชื่อว่า 'LCLS'
L= Life
C= Culture
L=Language
S=Study
❄️️😁😍💘❤️✌️👍💕😙😋😏😛😱
สำหรับโครงการนี้เป็นของโรงเรียนอาภาพัฒนา(Apils)โครงการนี้ใช้เวลา1เดือนครึ่ง ในเมืองซู/ซูเซ้นแมรี ประเทศแคนาดา
(@_@)
เริ่มกันที่ ได้อะไรจากโครงการนี้ ได้ เพื่อน วัฒนธรรม ภาษาอังกฤษ การใช้ชีวิตในต่างแดน ได้เพื่อนชาวแคนาดามากมาย แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง การที่เราอยากจะได้เพื่อนต่างชาติเราต้องเป็นคนเข้าไปเล่นเข้าไปคุยกับเขาเอง เขาจะไม่เหมือนคนไทยที่อยู่เฉยๆแล้วจะมีเพื่อน ไปโรงเรียนวันจันทร์-ศุกร์บางวันอาจจะหยุดไปเที่ยวตามแพลน หรือบางวันไปเที่ยวหลังเลิกเรียน มีกิจกรรมมากมาย เช่น สกี ตกปลา อีสเตอร์เดย์ ไปทะเลสาบ นำ้ตก และอื่นๆๆๆๆๆๆๆอีกมากมายๆๆๆ
ถามว่าภาษาอังกฤษดีขึ้นไหม ตอบได้เลยว่ามากๆเพราะ1.อยู่กับHost Family 1คนต่อ1บ้านได้สื่อสารกับHostตลอด 2.จะไม่เหมือนอยู่ที่ไทยเวลาไม่เข้าใจหรือสื่อสารไม่เป็นพูดไม่เป็นแล้วจะให้เพื่อนพูดให้ แต่ที่นี้เราต้องหน้าด้าน อายก็ต้องอายพูดผิดไม่กลัวเพื่อความอยู่รอดดีกว่าอายไม่กล้าพูดแล้วไม่ได้อะไรเลย อย่างที่เรียนในไทยว่าต้องเรียนตามTense ที่นี้เขาไม่ค่อยเคร่งเรื่องTense พูดผิดไม่เป็นไรแต่ต้องพูดให้ฝรั่งเข้าใจ เอาง่ายๆไม่ต้องจำอะไรเยอะ แค่ โครงสร้างคำถาม กับบอกเล่า Verbอดีตปัจจุบัน ได้คำศัพท์ใหม่ๆเยอะมากพูดคล่องภาษาอังกฤษขึ้น มีความกล้าพูดมากขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
เพื่อนในกรุ๊ปนี้เหมือนไม่ใช้เพื่อนแต่เหมือนพี่น้องกันมากกว่า ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆๆเยอะมากบางอย่างก็ช็อกอยู่เหมือนกัน555
รู้สึกว่าเด็กไทยเรียนหนักเรียนมากเกินไปจนพอมานี้รู้สึกว่าเหมือนเขาไม่เรียน เขาเรียนๆเล่นๆที่นี้เขาเน้นการปฏิบัติมากกว่าเรียนทฤษฎี ที่นี้พักกลางวัน2รอบ โรงเรียนที่นี้1วันเรียน 4-5วิชาต่อวัน🙀😻ดีงามมากๆ
เด็กที่นี้กล้าคิดกล้าแสดงออกไม่มีความกลัว. ผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้เด็กพูดเเละรับฟังเสมอ
---------------😻-------------------
มาต่อที่Culture Shock(แต่พอรับได้)😱
1.เท้า=หัว ที่นี้ไม่มีของตำ่ของสูงเท้าใช้แทนมือได้ไม่มีใครถือ ใช้เท้าเล่นหัว เอาเท้ามาว่างบนโต๊ะก็ได้
2.ห้องนำ้- ห้องนำ้ไม่มีที่ฉีดตูด มีแต่กระดาษชิทชู้ และๆๆๆอยากจะรู้ว่าห้องนำ้มีช่องเกือบหนึ่งนิ้วไว้ให้คนคุยกัน?
3.คนที่นี้3วันอาบนำ้ที
4.คนที่นี้ ตด เรอ เป็นเรื่องปกติไม่มีใครอายแถมปล่อยออกมาดังมากๆ
และก็มีบางCulture Shockที่ไม่สามารถบอกได้จริงๆต้องมาเห็นกับตาแล้วจะอึ้งๆๆๆๆๆสุดๆๆ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
คุณครูที่ร่วมทริปก็เอาใจใส่เป็นอย่างดีถึงบางครั้งจะมีงอลมีโกรธกันบ้าง แต่มันก็คือ ประสบการณ์🇨🇦และถ้ามีโอกาสจะต้องกลับไปให้ได้😁👌
(ผู้ที่ไปกับโครงการนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นนักเรียนของรร.นี้ ใครๆก็สมัครได้)
อ่านบทความข้างต้นแล้วคงยังไม่ได้ฟิวที่แท้จริง ใครอยากรู้ อยากสัมผัสประสบการณ์ตรงเชิญอ่านต่อด้านล่างได้เลยครับ
เริ่มกันโลยยยยย...
ก่อนเดินทางประมาณ 1 อาทิตย์ จะมีการจัดปฐมนิเทศ 3 วัน(ไม่ข้างคืน)
3 วันนี้จะ ทำให้เด็กที่ไปได้เจอกันครั้งแรก ปรับตัวเข้าหากัน มีกิจกรรมต่างๆแล้วซ้อมวัน Thai day ที่จะไปแสดงที่แคนาดา
พอมาถึงวันเดินทาง 2/4/17
ครูนัดเจอกันเวลา 1 ทุ่ม ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เดินทางโดย Korean airline (แอร์ร้อนมาก)
เครื่องออกทาง รร.แจ้งว่า เครื่องออก4 ทุ่ม พอซักประมาณ2 ทุ่มก็จะลาจากพ่อแม่พี่ป้าน้าอาที่มาส่ง เพื่อเข้าเกท
พอเข้ามาได้ซักพัก ทางสนามบินประกาศว่า ไฟท์ของKorean airline จากกรุงเทพ ไป อินชอน ดีเลเป็นเวลา เที่ยงคืน
แต่ดีมากเพราะเครื่องดีเลท่งสายการบินเลยรับผิดชอบโดยการให้คูปองคนละ 250 เพื่อไปกินข้าว เข้าทางโจรละ😝
พอกินเสร็จก็ซื้อของใน Duty free ไปฝากโฮส พอถึงเที่ยงคืนเครื่องพึ่งมาถึง สรุปเครื่องออก ตอนตี 1 ตอนนั้นยังชิวๆคุยกับเพื่อนเฮฮาโดยยังไม่รู้ชะตากรรมในอนาคต555 พอเครื่องออก บินไปซักพักก็มีอาหารมาเสริฟ รสชาติใช้ได้ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ใกล้ถึงแล้ว แล้วก็มีอาหารเช้าแต่ไม่ได้ถ่ายไว้
แต่เป็นความรู้สึกที่ดีมากกินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
และแล้วก็มาถึงประเทศเกาหลี... หลี.......
ไม่ได้ออกไปไหนเลยอยู่ในสนามบิน 1 ชม. ซักพักก็ได้ขึ้นเครื่อง
พอนั่งบนเครื่องปุ้บ ก็ขาดเข็มขัดปั้บแล้วก็นอนกะว่าตื่นมาเครื่องคงบินแล้ว พอตื่นขึ้นมา เอ้าเครื่องยังจอดกับที่ งงละ?
เลยถามเพื่อว่ากี่โมงแล้ว(จำเวลาไม่ได้) แต่คำนวณแล้วว่าอยู่บนเครื่องประมาณ 2 ชม. โอ้พระเจ้าเกิดอะไรขึ้น ซักพักอยู่ดีๆกัปตันก็เดินออกมาพร้อมตำรวจ
และเดินตรงไปหาผู้ชายผิวสีที่นั่งข้างหลังผม 4 เบาะ ตอนแรกก็ไม่รู้เกิดไรขึ้นแต่ซักพักเริ่มมีการลงไม้ลงมือกัน ตอนนั้นทั้งกลัว ทั้งหายง่วงปิดทิ้ง สักพักตำรวจใส่กุญแจมือชายคนนั้นแล้วลากลงเครื่อง ครูของผมนั่งไปยู่ข้างหน้าชายคนนั้น ครูได้ยินแอร์พูดเหมือนกับว่า ชายคนนั้นแอบเอาอาวุธผิดกฎหมายขึ้นเครื่อง ตอนแรกก็ดีใจที่คนร้ายลงเครื่อง แต่พอเครื่องจะออกดันนึกถึงหนังที่แบบทิ้งระเบิดไว้ พอบินขึ้นแล้วระเบิด กลัวจะเป็นอย่างนั้นมาก เลยสวดมนต์ตลอดตอน take off555 สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี
มาต่อด้วยนั่งเครื่องมหาโหด 15 ชม.
เมื่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แถมเพลียมาก กำลังดูเรื่อง โมอาน่า บนเครื่องอยู่ดีๆก็เผลอหลับไปตื่นอีกทีหนังจบแล้ว(*_*)
ยังไม่พอแค่นั้น อาหารมาเสริฟ กินได้ซักพัก เผลอหลับอีก คือพยายามแหกตา แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว ก็ไม่กงไม่กินละ555
พอมาถึงที่โทรอนโตก็ไม่ได้มีเวลาเลยต้องวิ่งสู้ฟัดไปต่อเครื่องเพื่อจะไปเมืองซูอีก ที่วิ่งเพราะกลัวว่าจะตกเครื่องเพราะเหลืออีกไม่ถึง 20 นาที เครื่องจะออก
พอขึ้นไปซักพักเขาก็เชิญทุกคนลงจากเครื่อง เอ้า!!! ทำไมละ ก็ยางมันรั่ว ดีนะที่เขาตรวจเจอทัน
เขาก็ให้เราไปรอข้างนอกประมาณ ครึ่งชม. อากาศหนาวมากๆๆๆ 7 องศาว่าหนาวเดียวไปเจอเมืองที่จะไป -3 องศา
พอเปลี่ยนลำเสร็จก็เหิญฟ้าไปสู่เมืองซูเซนต์มารี.
รอติดตามภาค 2 รับรองว่าใครอ่านแล้วอยากไปแน่นอน!!! ใครอยากจะรู้ค่าใช้จ่ายและวิธีการสมัคร รอภาคต่อไปได้เลย
*งดดราม่าทุกกรณี*