สวัสดีค่ะชาวพันทิป จขกท ปัจจุบันอายุ 25 อยากจะมาแชร์เรื่องราวทั้งตอนเรียนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศแคนาดา จนถึงตอนนี้ผ่านมา 6 ปีแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง พอดีจขกท.ไปเจอหัวข้อพันทิปนี้มา :: นักเรียนแลกเปลี่ยน เสียเวลาหรือเปล่า ??? เลยถือว่าเราขอมาแชร์และตอบคำถามด้วยเลยแล้วกันค่า ไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา เรามาเริ่มกันค่ะ
สมัยตอนเรียนมัธยม จขกท. เรียนโรงเรียนที่เน้นด้านภาษาอังกฤษมาค่ะ แต่บอกตรงๆเลยว่าตอนนั้นเป็นคนขี้เกียจมาก ไม่รักเรียนเลยแม้แต่น้อย ภาษาอังกฤษคือภาษาเอเลี่ยนสำหรับเรา นานวันเข้าก็เริ่มฟังเข้าใจบ้างบางคำ คือถ้า teacher พูดมา1ประโยค เราเข้าใจอยู่ 2 คำค่ะ ที่เหลือ verb to เดา ล้วนๆ555555 ตอนนั้นเข้าม.4แล้ว แต่พูดไม่ได้เลยสักคำเพราะเรา
กลัวพูดผิดแล้วดูโง่ค่ะ!! วันนึงจุดเปลี่ยนชีวิตก็มาถึง คุณแม่จ้างจขกท.ในราคา
2000 บาทเพื่อไปสอบแลกเปลี่ยน ในใจคือ”สองพันสอบแค่ไม่กี่ชั่วโมง ได้ตังฟรีๆ” ในใจไม่หวังเลยค่ะว่าจะได้ ไปเพราะหิวเงินล้วนๆ5555555
พอถึงวันสอนเด็กแก่นเสี้ยวเปรี้ยวซ่าอย่างเรา เดินมาดมั่นกำเงินสองพันเข้าห้องสอบ รายล้อมด้วยนักเรียหัวกระทิจากหลากหลายโรงเรียน ทั้งเด็กโรงเรียนรัฐบาล ทั้งเด็กอินเตอร์ เด็กเอกชน พอโดนเรียกเข้าห้องสอบก็มีการแยกเป็นทักษะการฟัง-อ่าน-เขียน จขกท.ก็ลองดูค่ะ ตั้งใจสอบให้คุ้มค่าจ้าง ได้บ้างไม่ได้บ้าง ดิ่งบ้าง มั่วบ้าง สุดท้ายออกจากห้องสอบเป็นคนท้ายๆให้แนบเนียน แล้วก็ลั้นลาไปสยาม
หลังจากนั้นประมาณเดือนนึง ผลสอบออกมาได้
51 คะแนน…. ใช่ค่ะ!
ห้า-สิบ-เอ็ด คะแนน ผ่านมา1 คะแนนค่า คุณแม่นี่แทบจะเชิดสิงโตรอบหมู่บ้าน ถึงจังหวะนั้นอยู่ดีๆความคิดนึงก็แล่นเข้ามาในหัว “เห้ย ฉันไม่ได้โง่หนิ ผ่านมา1คะแนน ก็คือผ่านละน้า” หารู้ไม่ 1 คะแนนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตจขกท.ไปตลอดกาล.. (ขออนุญาตเล่นใหญ่ค่ะ เพราะเปลี่ยนไปจริงๆ เอ้า ไปอ่านต่อ..)
ใครบอกว่าชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนโรยไปด้วยกลีบกุหลาบคะ เข้าค่ายเยอะแยะไปหมด สนุกนะคะ แต่เต้นเหนื่อยมาก ไม่รวมการทดสอบสัมภาษณ์วีซ่าที่กว่าจะผ่าน เกือบถอดใจแล้ว แต่สุดท้าย… ฟ้าก็ได้บินค่ะ
ชีวิตแลกเปลี่ยน
พาแลนดิ้งถึงสนามบินแวนคูเวอร์ เหล่ากองทัพนักเรียนหลักพันก็กรูกันไปเข้าตม. ในใจตอนนั้นคือโหวงมากๆ เพราะความกลัวภาษาอังกฤษของเรายังอยู่ แต่ก็กัดฟันไปค่ะ (ลืมบอกค่ะ ในเมืองที่จขกท.ไป เราเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่ไปเรียนเมืองนั้นนะคะ) สุดท้ายก็ผ่านออกมาอย่างง่ายดาย ไม่ได้พูดอังกฤษสักคำ
การปรับตัวแรกๆ โฮสก็พยายามคุยกับเราช้าๆยานๆ ผ่านไป3วันค่ะ บุญเก่าสะสม เริ่มฟังออก กล้าพูดเป็นคำๆ อาจจะเพราะโรงเรียนที่เรียนมาเป็นสิบปี ทำให้เราฟังภาษาอังกฤษจนชิน เลยพอเดาออก
พอเริ่มเรียนจริงๆ
คนที่แคนาดาน่ารักมากค่ะ เค้าเข้าใจว่าเรามาเรียนภาษา ทุกคนค่อยๆพูดกับเรา พอเราทำหน้างง เค้าก็จะอธิบายทีละคำทั้งประโยค จนเราเข้าใจ ถ้าคำไหนเราลืมเพื่อนๆก็จะเดินมาสุ่มถามคำนั้นทั้งวันจนจำได้55555555 โหดยิ่งกว่าแม่อีกค่า เล่าไปเล่ามาเหมือนชีวิตจะดีนะคะ แต่แล้วหายนะก็มาถึง…..
ด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนต้องเก็บหน่วยกิตให้ครบ 1ในนั้นคือวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งคนที่นี่อ่านหนังสือทั้งเล่มแล้วมาวิเคราะห์ค่ะ ตอนนั้นพูดเริ่มคล่องแต่อ่านนี่คือ 0 เลยค่ะ เราได้หนังสือ life of pi มาอ่านสอบ วิถีคนฉลาดแกมโกงอย่างเราก็ดูหนังสิคะ ดูซ้ำๆบวกกับเพื่อนแคนาเดียนคอยช่วยสอนจนสอบผ่านจ้า
10 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนั้นทั้งปรับตัวได้แล้ว
สกิลภาษาอังกฤษบอกเลยค่ะว่าเก่งเหมือนเจ้าของภาษา พอกลับมาที่ไทยก็เข้าเรียนมหาลัยจนจบ หางานทำด้วยความที่เราโปรไฟล์ดีเพราะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ทำให้ได้งานบริษัทต่างชาติ แล้วปัญหาเดิมก็กลับมา ปัญหาที่ทุกคนน่าจะเดาได้เลยคือ…
ภาษาอังกฤษพอไม่ได้ใช้นานก็ลืมค่ะ ลิ้นแข็ง คำศัพท์ก็หายไปหมด
มันเป็นความรู้สึกที่เฟลมากๆค่ะ เรียนตปท.มา แต่ก็กลับมาไม่คล่องเพราะไม่ได้ใช้ รู้สึกเหมือนเสียเวลาอุตส่าห์ไปเรียนข้ามน้ำข้ามทวีป แฟนเลยแนะนำว่าให้ลองฟังวิทยุหรือพอดแคสต์ภาษาอังกฤษรื้อฟื้นความจำค่ะ ฟังไปอยู่ 2-3เดือนก็ดีขึ้นค่ะ คือจับใจความได้ ฟังเวลาคนพูดเร็วๆได้ แต่มันไม่มีคนให้พูดด้วย ความเฟลนั้นก็กลับมาอีก เริ่มท้อ จะไปเล่นแอพหาฝรั่งคุยก็จะโดนแฟนตีเอานะคะ5555555 เลยลองเว็บที่เค้าฮิตกัน แบบที่เราเปิดกล้องคุยกับคนทั่วโลกโดยการสุ่มค่ะ ก็ไปเจอโรคจิตอีก… สุดท้ายก็ต้องหาที่เรียนค่ะ เจอสถาบันเยอะมากกกกก ทั้ง Wall street, British Council, Inlingua, Engoo, Globish
ส่วนตัวจขกท.สนใจเรียนที่อิงกูเพราะว่า เลือกเรียนได้24ชม. ค่อนข้างสะดวกสำหรับเรา เพราะเราทำงานเลิก1ทุ่ม5วัน เสาร์อาทิตย์ก็อยากจะพักผ่อน บวกกับราคาไม่สูงเทียบกับตัวเลือกอื่น ก็สมัครไปเลยค่า 3 เดือน ก็
บันเทิงดีนะคะนั่งระลึกความหลังตอนไปแลกเปลี่ยนกับคุณครู เพราะว่าเลือกคุณครูที่เป็นแคนาเดียนค่ะ บางวันอยากไปเที่ยวอังกฤษก็เลือกครูจากประเทศอังกฤษ อยากไปเมกาก็เลือกครูเมกัน555555
(อันนี้แวะไปเที่ยวแคนาดามาค่ะ55555555)
บางครั้งก็ให้คุณครูเค้าช่วยสอนเวลาพรีเซนต์งานด้วยค่ะ เพราะ บางทีต้องพูดภาษาอังกฤษตอนทำงาน ที่เราเรียนแลกเปลี่ยนมามันใช้ไม่ได้ค่ะ เพราะต้องใช้ภาษาทางการ แต่เพราะว่าการที่เราเรียนแลกเปลี่ยนมานี่แหละค่ะเลยปูทางเป็นพื้นฐานที่ดีให้ เลยพอมาเรียนเสริมนิดๆหน่อยสกิลก็กลับมา
ร่ายมายาวเลยค่ะ ถ้าคำตอบที่อยากตอบกระทู้ :: นักเรียนแลกเปลี่ยน เสียเวลาหรือเปล่า ??? แบบสั้นๆเลยคือ เสียเวลาค่ะ เสียเวลาถ้าเราไม่พัฒนาตัวเองต่อ ถ้าเราไม่ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม ในทางกลับกันถ้าเรามุ่งมั่น ตั้งใจ นำความรู้ของเราพื้นฐานของเรามาต่อยอด ประสบการณ์การแลกเปลี่ยน10เดือนนั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ
[CR] รีวิวประสบการณ์เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ผ่านมา6ปี ตอนนี้ชีวิตเป็นยังไง เสียดายเวลาไหม
สมัยตอนเรียนมัธยม จขกท. เรียนโรงเรียนที่เน้นด้านภาษาอังกฤษมาค่ะ แต่บอกตรงๆเลยว่าตอนนั้นเป็นคนขี้เกียจมาก ไม่รักเรียนเลยแม้แต่น้อย ภาษาอังกฤษคือภาษาเอเลี่ยนสำหรับเรา นานวันเข้าก็เริ่มฟังเข้าใจบ้างบางคำ คือถ้า teacher พูดมา1ประโยค เราเข้าใจอยู่ 2 คำค่ะ ที่เหลือ verb to เดา ล้วนๆ555555 ตอนนั้นเข้าม.4แล้ว แต่พูดไม่ได้เลยสักคำเพราะเรากลัวพูดผิดแล้วดูโง่ค่ะ!! วันนึงจุดเปลี่ยนชีวิตก็มาถึง คุณแม่จ้างจขกท.ในราคา 2000 บาทเพื่อไปสอบแลกเปลี่ยน ในใจคือ”สองพันสอบแค่ไม่กี่ชั่วโมง ได้ตังฟรีๆ” ในใจไม่หวังเลยค่ะว่าจะได้ ไปเพราะหิวเงินล้วนๆ5555555
พอถึงวันสอนเด็กแก่นเสี้ยวเปรี้ยวซ่าอย่างเรา เดินมาดมั่นกำเงินสองพันเข้าห้องสอบ รายล้อมด้วยนักเรียหัวกระทิจากหลากหลายโรงเรียน ทั้งเด็กโรงเรียนรัฐบาล ทั้งเด็กอินเตอร์ เด็กเอกชน พอโดนเรียกเข้าห้องสอบก็มีการแยกเป็นทักษะการฟัง-อ่าน-เขียน จขกท.ก็ลองดูค่ะ ตั้งใจสอบให้คุ้มค่าจ้าง ได้บ้างไม่ได้บ้าง ดิ่งบ้าง มั่วบ้าง สุดท้ายออกจากห้องสอบเป็นคนท้ายๆให้แนบเนียน แล้วก็ลั้นลาไปสยาม
หลังจากนั้นประมาณเดือนนึง ผลสอบออกมาได้ 51 คะแนน…. ใช่ค่ะ! ห้า-สิบ-เอ็ด คะแนน ผ่านมา1 คะแนนค่า คุณแม่นี่แทบจะเชิดสิงโตรอบหมู่บ้าน ถึงจังหวะนั้นอยู่ดีๆความคิดนึงก็แล่นเข้ามาในหัว “เห้ย ฉันไม่ได้โง่หนิ ผ่านมา1คะแนน ก็คือผ่านละน้า” หารู้ไม่ 1 คะแนนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตจขกท.ไปตลอดกาล.. (ขออนุญาตเล่นใหญ่ค่ะ เพราะเปลี่ยนไปจริงๆ เอ้า ไปอ่านต่อ..)
ใครบอกว่าชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนโรยไปด้วยกลีบกุหลาบคะ เข้าค่ายเยอะแยะไปหมด สนุกนะคะ แต่เต้นเหนื่อยมาก ไม่รวมการทดสอบสัมภาษณ์วีซ่าที่กว่าจะผ่าน เกือบถอดใจแล้ว แต่สุดท้าย… ฟ้าก็ได้บินค่ะ
ชีวิตแลกเปลี่ยน
พาแลนดิ้งถึงสนามบินแวนคูเวอร์ เหล่ากองทัพนักเรียนหลักพันก็กรูกันไปเข้าตม. ในใจตอนนั้นคือโหวงมากๆ เพราะความกลัวภาษาอังกฤษของเรายังอยู่ แต่ก็กัดฟันไปค่ะ (ลืมบอกค่ะ ในเมืองที่จขกท.ไป เราเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่ไปเรียนเมืองนั้นนะคะ) สุดท้ายก็ผ่านออกมาอย่างง่ายดาย ไม่ได้พูดอังกฤษสักคำ
การปรับตัวแรกๆ โฮสก็พยายามคุยกับเราช้าๆยานๆ ผ่านไป3วันค่ะ บุญเก่าสะสม เริ่มฟังออก กล้าพูดเป็นคำๆ อาจจะเพราะโรงเรียนที่เรียนมาเป็นสิบปี ทำให้เราฟังภาษาอังกฤษจนชิน เลยพอเดาออก
พอเริ่มเรียนจริงๆ คนที่แคนาดาน่ารักมากค่ะ เค้าเข้าใจว่าเรามาเรียนภาษา ทุกคนค่อยๆพูดกับเรา พอเราทำหน้างง เค้าก็จะอธิบายทีละคำทั้งประโยค จนเราเข้าใจ ถ้าคำไหนเราลืมเพื่อนๆก็จะเดินมาสุ่มถามคำนั้นทั้งวันจนจำได้55555555 โหดยิ่งกว่าแม่อีกค่า เล่าไปเล่ามาเหมือนชีวิตจะดีนะคะ แต่แล้วหายนะก็มาถึง…..
ด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนต้องเก็บหน่วยกิตให้ครบ 1ในนั้นคือวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งคนที่นี่อ่านหนังสือทั้งเล่มแล้วมาวิเคราะห์ค่ะ ตอนนั้นพูดเริ่มคล่องแต่อ่านนี่คือ 0 เลยค่ะ เราได้หนังสือ life of pi มาอ่านสอบ วิถีคนฉลาดแกมโกงอย่างเราก็ดูหนังสิคะ ดูซ้ำๆบวกกับเพื่อนแคนาเดียนคอยช่วยสอนจนสอบผ่านจ้า
10 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนั้นทั้งปรับตัวได้แล้ว สกิลภาษาอังกฤษบอกเลยค่ะว่าเก่งเหมือนเจ้าของภาษา พอกลับมาที่ไทยก็เข้าเรียนมหาลัยจนจบ หางานทำด้วยความที่เราโปรไฟล์ดีเพราะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ทำให้ได้งานบริษัทต่างชาติ แล้วปัญหาเดิมก็กลับมา ปัญหาที่ทุกคนน่าจะเดาได้เลยคือ… ภาษาอังกฤษพอไม่ได้ใช้นานก็ลืมค่ะ ลิ้นแข็ง คำศัพท์ก็หายไปหมด
มันเป็นความรู้สึกที่เฟลมากๆค่ะ เรียนตปท.มา แต่ก็กลับมาไม่คล่องเพราะไม่ได้ใช้ รู้สึกเหมือนเสียเวลาอุตส่าห์ไปเรียนข้ามน้ำข้ามทวีป แฟนเลยแนะนำว่าให้ลองฟังวิทยุหรือพอดแคสต์ภาษาอังกฤษรื้อฟื้นความจำค่ะ ฟังไปอยู่ 2-3เดือนก็ดีขึ้นค่ะ คือจับใจความได้ ฟังเวลาคนพูดเร็วๆได้ แต่มันไม่มีคนให้พูดด้วย ความเฟลนั้นก็กลับมาอีก เริ่มท้อ จะไปเล่นแอพหาฝรั่งคุยก็จะโดนแฟนตีเอานะคะ5555555 เลยลองเว็บที่เค้าฮิตกัน แบบที่เราเปิดกล้องคุยกับคนทั่วโลกโดยการสุ่มค่ะ ก็ไปเจอโรคจิตอีก… สุดท้ายก็ต้องหาที่เรียนค่ะ เจอสถาบันเยอะมากกกกก ทั้ง Wall street, British Council, Inlingua, Engoo, Globish
ส่วนตัวจขกท.สนใจเรียนที่อิงกูเพราะว่า เลือกเรียนได้24ชม. ค่อนข้างสะดวกสำหรับเรา เพราะเราทำงานเลิก1ทุ่ม5วัน เสาร์อาทิตย์ก็อยากจะพักผ่อน บวกกับราคาไม่สูงเทียบกับตัวเลือกอื่น ก็สมัครไปเลยค่า 3 เดือน ก็บันเทิงดีนะคะนั่งระลึกความหลังตอนไปแลกเปลี่ยนกับคุณครู เพราะว่าเลือกคุณครูที่เป็นแคนาเดียนค่ะ บางวันอยากไปเที่ยวอังกฤษก็เลือกครูจากประเทศอังกฤษ อยากไปเมกาก็เลือกครูเมกัน555555
(อันนี้แวะไปเที่ยวแคนาดามาค่ะ55555555)
บางครั้งก็ให้คุณครูเค้าช่วยสอนเวลาพรีเซนต์งานด้วยค่ะ เพราะ บางทีต้องพูดภาษาอังกฤษตอนทำงาน ที่เราเรียนแลกเปลี่ยนมามันใช้ไม่ได้ค่ะ เพราะต้องใช้ภาษาทางการ แต่เพราะว่าการที่เราเรียนแลกเปลี่ยนมานี่แหละค่ะเลยปูทางเป็นพื้นฐานที่ดีให้ เลยพอมาเรียนเสริมนิดๆหน่อยสกิลก็กลับมา
ร่ายมายาวเลยค่ะ ถ้าคำตอบที่อยากตอบกระทู้ :: นักเรียนแลกเปลี่ยน เสียเวลาหรือเปล่า ??? แบบสั้นๆเลยคือ เสียเวลาค่ะ เสียเวลาถ้าเราไม่พัฒนาตัวเองต่อ ถ้าเราไม่ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม ในทางกลับกันถ้าเรามุ่งมั่น ตั้งใจ นำความรู้ของเราพื้นฐานของเรามาต่อยอด ประสบการณ์การแลกเปลี่ยน10เดือนนั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ