ไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะคิดว่า คงจะเหมือนๆ กับหนังหายนะ ทั่วๆ ไป นักผจญเพลิงปกป้องบ้านเรือนและผู้คนไว้จากเปลงเพลิงครั้งประวัติศาสตร์ ต้องมีฉากดราม่าหนักๆ คนวิ่งหนีไฟไหม้ป่า หอบลูกจูงหลานวิ่งกระเซอะกระเซิง พระเอกปกป้องนางเอก และได้รับการยกย่อง จากตัวอย่าง ชอบการถ่ายภาพไฟไหม้ป่า การเข้าไปลุยสร้างแนวกันไฟแบบสมจริงจัง เพิ่งมาทราบทีหลังว่า นักแสดงเค้าไปเรียนรู้กับทีม Hotshots ตัวจริงอยู่นานพอสมควร
หนังเข้าเมื่อวันที่ 9 เพิ่งได้ไปดูวันนี้ ดูคนเดียว คนข้างๆ สองข้าง ก็ดูคนเดียว แต่ตอนจบ เราหันมามองกันพยักหน้า ปาดน้ำตา สะอึกสะอื้นกันเหมือนได้อยู่ร่วมชะตากรรมกับพวก Granite Mountain Hotshots
หนังพาเราไปรู้จักตั้งแต่จุดเริ่มต้นของหน่วยนี้ หัวหน้าของหน่วย นำโดย เอริค และ มือขวา เจสซี่ เริ่มต้นการผจญเพลิงในฐานะทีนักผจญเพลิงฝึกหัดประจำเมือง หนังอธิบายละเอียดเข้าใจง่ายว่า ทีม 2 คือ ทีมที่จะคอยเก็บกวาดงาน หลังจาก ทีม Hotshots เป็นแนวหน้าวางแนวสกัดไฟแล้ว เอริค อยากจะสร้างทีม Hotshots ประจำเมืองขึ้นมา ซึ่งปกติจะเป็นทีมจากหน่วยกลาง ไม่เคยมีทีมท้องถิ่น เพราะต้องได้มีประสบการณ์ ได้รับการฝึก และ ผ่านการประเมิณ กว่าจะได้ก็ลำบากลำบนกัน
ระหว่างการสร้างทีม ก็มีรับพนักงานใหม่เข้ามา คนนึงที่เรียกว่า เป็ฯตัวเด่นเลยคือ แบรนดัน อดีตขี้ยา ที่เพิ่งออกจากคุก อยากกลับไป เพราะเพิ่งรู้ว่ามีลูกสาว พอเห็นหน้าลูก ก็อยากสร้างตัวขึ้นมา เลยมาสมัคร หัวหน้ารับ แต่ก็มีเขม่นๆ กับคนในทีมอยู่บ้าง ในการฝึกฝน ความสัมพันธ์ของคนในทีม ที่ต้องเสี่ยงชีวิต อยู่กับไฟ ความเป็นความตาย ทุกครั้งที่ออกหน้างาน ชีวิตครอบครัว ชอบการเล่าเรื่องตรงนี้ เพราะมันทำให้เราค่อยๆ ผูกพันกับทุกตัวละครไปเรื่อยๆ จุดขัดแย้งมีมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือ เรื่องครอบครัวทั้งตัวหัวหน้าทีม และ แบรนดัน หนังใส่รายละเอียดการทำงาน มามากพอๆ กับชี้ให้เห็นคนที่อยู่ข้างหลัง ที่ต้องรอคอย สามีกลับบ้าน ต้องใจตุ้มๆ ต่อมๆ ทุกครั้งที่ได้รับโทรศัพท์
การช่วยเหลือซึ่งกันและกันนอกเวลางาน ตอนที่ลูกแบรนดันไม่สบาย ก็มีเมียของเพื่อนๆ ในทีมมาช่วย จากหนุ่มขี้ยา ต้นเรื่อง จนมาเป็นทีม Hotshots จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย คนบางคนก็ต้องการอะไรสักอย่าง มีพลิกชีวิต อย่างเด็กทารก และ การได้เข้าร่วมทีมผจญเพลิง
หนังเรื่องนี้ ให้ในสิ่งที่เราคาด คือ ภาพความตื่นตาของไฟป่า และ การสกัดกั้น แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ ทำให้คนทั้งโรงน้ำตารื้น สะอื้นกันดังมากกก เพราะเราได้เห็นคนธรรมดา เดินดิน ไม่มีพลังอำนาจ ไม่มีอาวุธพิเศษอะไร มีแต่ความกล้า และ ใช้สมอง ในการสกัดกั้น หันเหทางโหมของไฟ เพื่อปกป้องผู้คน
ทุกอย่างในหนังคือ ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย กับการเข้าไปขุดแนวกันไฟ เผาไฟกันไฟ เพราะไม่มีใครรู้ว่า ไฟจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ พวกเค้าต้องเผชิญกับความเฉียดของไฟ ตลอดเวลา เค้าลำบาก แต่ก็มีเสียงหัวเราะ มีความสุข ยิ่งตอนที่แบรนดัน ได้ร่วมปฏิบัติการณ์ครั้งแรก หลังจบงาน ทีมนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับ คนในทีมบอกเค้าว่า ดูสิ ภาพป่าเขาเขียวขจีที่สวยงามนี่ละ คือ สิ่งที่พวกเราปกป้องไว้
ไม่แปลกที่คนอเมริกัน จะชื่นชมหนังเรื่องนี้ เพราะ นักผจญเพลิง คือ ซูเปอร์ฮีโร่ ของสังคมอเมริกันอยู่แล้ว สำหรับเรา บทหนังไม่ได้บิ้วให้เศร้า หรือ เชิดชูทีมจนเว่อร์ แต่บทมันสมจริง พาเราไปเห็นการผจญเพลิงแบบจะๆ ถ้าเป็นหนัง 3 มิติ คงได้เห็นสะเก็ดไฟ ลอยฟุ้ง กลิ่นควันเต็มโรง อาจจะมีคนวิ่งออกได้นะ เพราะมันเหมือนจริงมากกก ตอนเห็นไฟกำลังลุกโหม ภาพมันกว้างมากกกก ชอบการถ่ายภาพเรื่องนี้จริงๆ ชอบ จอช โบรลิน
สุดๆ เลย ทำไมเล่นได้เนียนขนาดนี้
ชวนเพื่อนไปดูอีกรอบละ อยากเก็บรายละเอียด หนังมันดีจริงๆ ปีนี้ เป็นเรื่องที่ประทับใจที่สุดแล้ว
Only the brave - หนังซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตจริง
หนังเข้าเมื่อวันที่ 9 เพิ่งได้ไปดูวันนี้ ดูคนเดียว คนข้างๆ สองข้าง ก็ดูคนเดียว แต่ตอนจบ เราหันมามองกันพยักหน้า ปาดน้ำตา สะอึกสะอื้นกันเหมือนได้อยู่ร่วมชะตากรรมกับพวก Granite Mountain Hotshots
หนังพาเราไปรู้จักตั้งแต่จุดเริ่มต้นของหน่วยนี้ หัวหน้าของหน่วย นำโดย เอริค และ มือขวา เจสซี่ เริ่มต้นการผจญเพลิงในฐานะทีนักผจญเพลิงฝึกหัดประจำเมือง หนังอธิบายละเอียดเข้าใจง่ายว่า ทีม 2 คือ ทีมที่จะคอยเก็บกวาดงาน หลังจาก ทีม Hotshots เป็นแนวหน้าวางแนวสกัดไฟแล้ว เอริค อยากจะสร้างทีม Hotshots ประจำเมืองขึ้นมา ซึ่งปกติจะเป็นทีมจากหน่วยกลาง ไม่เคยมีทีมท้องถิ่น เพราะต้องได้มีประสบการณ์ ได้รับการฝึก และ ผ่านการประเมิณ กว่าจะได้ก็ลำบากลำบนกัน
ระหว่างการสร้างทีม ก็มีรับพนักงานใหม่เข้ามา คนนึงที่เรียกว่า เป็ฯตัวเด่นเลยคือ แบรนดัน อดีตขี้ยา ที่เพิ่งออกจากคุก อยากกลับไป เพราะเพิ่งรู้ว่ามีลูกสาว พอเห็นหน้าลูก ก็อยากสร้างตัวขึ้นมา เลยมาสมัคร หัวหน้ารับ แต่ก็มีเขม่นๆ กับคนในทีมอยู่บ้าง ในการฝึกฝน ความสัมพันธ์ของคนในทีม ที่ต้องเสี่ยงชีวิต อยู่กับไฟ ความเป็นความตาย ทุกครั้งที่ออกหน้างาน ชีวิตครอบครัว ชอบการเล่าเรื่องตรงนี้ เพราะมันทำให้เราค่อยๆ ผูกพันกับทุกตัวละครไปเรื่อยๆ จุดขัดแย้งมีมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือ เรื่องครอบครัวทั้งตัวหัวหน้าทีม และ แบรนดัน หนังใส่รายละเอียดการทำงาน มามากพอๆ กับชี้ให้เห็นคนที่อยู่ข้างหลัง ที่ต้องรอคอย สามีกลับบ้าน ต้องใจตุ้มๆ ต่อมๆ ทุกครั้งที่ได้รับโทรศัพท์
การช่วยเหลือซึ่งกันและกันนอกเวลางาน ตอนที่ลูกแบรนดันไม่สบาย ก็มีเมียของเพื่อนๆ ในทีมมาช่วย จากหนุ่มขี้ยา ต้นเรื่อง จนมาเป็นทีม Hotshots จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย คนบางคนก็ต้องการอะไรสักอย่าง มีพลิกชีวิต อย่างเด็กทารก และ การได้เข้าร่วมทีมผจญเพลิง
หนังเรื่องนี้ ให้ในสิ่งที่เราคาด คือ ภาพความตื่นตาของไฟป่า และ การสกัดกั้น แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ ทำให้คนทั้งโรงน้ำตารื้น สะอื้นกันดังมากกก เพราะเราได้เห็นคนธรรมดา เดินดิน ไม่มีพลังอำนาจ ไม่มีอาวุธพิเศษอะไร มีแต่ความกล้า และ ใช้สมอง ในการสกัดกั้น หันเหทางโหมของไฟ เพื่อปกป้องผู้คน
ทุกอย่างในหนังคือ ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย กับการเข้าไปขุดแนวกันไฟ เผาไฟกันไฟ เพราะไม่มีใครรู้ว่า ไฟจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ พวกเค้าต้องเผชิญกับความเฉียดของไฟ ตลอดเวลา เค้าลำบาก แต่ก็มีเสียงหัวเราะ มีความสุข ยิ่งตอนที่แบรนดัน ได้ร่วมปฏิบัติการณ์ครั้งแรก หลังจบงาน ทีมนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับ คนในทีมบอกเค้าว่า ดูสิ ภาพป่าเขาเขียวขจีที่สวยงามนี่ละ คือ สิ่งที่พวกเราปกป้องไว้
ไม่แปลกที่คนอเมริกัน จะชื่นชมหนังเรื่องนี้ เพราะ นักผจญเพลิง คือ ซูเปอร์ฮีโร่ ของสังคมอเมริกันอยู่แล้ว สำหรับเรา บทหนังไม่ได้บิ้วให้เศร้า หรือ เชิดชูทีมจนเว่อร์ แต่บทมันสมจริง พาเราไปเห็นการผจญเพลิงแบบจะๆ ถ้าเป็นหนัง 3 มิติ คงได้เห็นสะเก็ดไฟ ลอยฟุ้ง กลิ่นควันเต็มโรง อาจจะมีคนวิ่งออกได้นะ เพราะมันเหมือนจริงมากกก ตอนเห็นไฟกำลังลุกโหม ภาพมันกว้างมากกกก ชอบการถ่ายภาพเรื่องนี้จริงๆ ชอบ จอช โบรลิน
สุดๆ เลย ทำไมเล่นได้เนียนขนาดนี้
ชวนเพื่อนไปดูอีกรอบละ อยากเก็บรายละเอียด หนังมันดีจริงๆ ปีนี้ เป็นเรื่องที่ประทับใจที่สุดแล้ว