🌼💖🌼 ถุงมือนักเขียน (ครึ่งหลัง) เรื่องที่ 19 "ต้มเล้ง" โดย "ถุงมือขาด" ครับ 🌼💖🌼

กระทู้คำถาม


เรื่องที่ 19 แล้วครับ พรุ่งนี้ก็จะครบ 20 แล้ว...

ขอกระตุกย้ำเตือนท่านนักเขียน 4 ท่าน ที่ยังไม่ได้ส่ง อีกครั้งนะครับ ผมเหลือเรื่องให้ตั้งกระทู้เรื่องเดียวแล้วในตอนนี้ และถ้าถึงวันพรุ่งนี้ไม่มีใครส่งให้ผมอีกผมก็จะไม่มีเรื่องใดๆมาตั้งกระทู้แล้ว อมยิ้ม20

เพราะฉะนั้น โปรดส่งมาได้แล้วครับ สักคนสองคนก็ยังดี เม่าขายหมู

เรื่องที่ 19 มาเป็นชื่ออาหารครับ นับว่าแปลกแหวกแนวทีเดียว... ฮึ่ม..ทำกรรมการหิวยามดึกเลย

อาหารมาเกี่ยวข้องกับความรักอย่างไร ติดตามดูกันครับ...อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้





มันเกิดมาจากคำคำเดียว คำที่พูดง่าย เข้าใจยาก คำว่า “รัก”

ใครหนอช่างเปรียบเปรยไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ในยามรักมีใครเล่าที่จะเชื่อว่าต่อไปมันจะกลับกลายเป็นทุกข์ได้ “ยามรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน” ได้ยินคำนี้มาบ่อยๆ แต่ไม่เคยกินน้ำต้มผักสักที ก็เกิดมาเค้าเกลียดผัก รักยังไงก็ไม่กินหรอกน้ำต้มผักนั่นน่ะ กินบิงซูอร่อยกว่าเป็นไหนๆ

ครั้งแรกที่ได้สบตากับเขา มันอธิบายไม่ถูกเลย ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน เคยรู้สึกอะไรแปลกๆแบบนี้ก็เพียงหนเดียว คือตอนเด็กๆที่เอากิ๊ปไปแหย่ปลั๊กไฟเล่น แหมมันซาบซ่าน เริ่มตั้งแต่ผมตั้งชี้เด่ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว มือไม้อ่อน น้ำลายแทบฟูมปาก ดีว่ากระเด็นออกมาด้วยแรงไฟฟ้าถีบเสียก่อนที่จะรู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น แต่หลังจากนั้นผมก็ฟูๆไปทั้งหัว จะทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมลีบลงมาเลย ไม่ว่าแม่จะกระหน่ำครีมลงบนผมกี่ชนิด ชโลมน้ำมันแทบจะทุกสูตรที่แม่หามาได้ มันก็ไม่หาย โตขึ้นมาเลยกลายเป็นยายหัวฟูที่ไม่มีเสน่ห์ ไม่เคยมีหนุ่มคนใดจะสบตา มองเขายังไม่มองเลย เด็กสาวหัวฟูเป็นไม้กวาด มันน่ามองที่ตรงไหน

แต่เวรกรรมมันมีจริงๆนะ เพื่อนรักของเค้าเคยบอก แล้วเวรกรรมมันก็มาตอนซ้อมเชียร์กีฬา ตอนที่พี่เล้งประธานเชียร์มองเค้าด้วยสายตาดุๆ เหมือนสายตาไอ้แมคหมาที่บ้านเวลามันโกรธแมว แล้วเค้าก็มองตอบ พยายามจะทำตาดุๆบ้าง แล้วไฟมันก็ดูดอีกครั้งตอนนั้นเอง คราวนี้ถึงกับเข่าอ่อน เมื่อสบตาพี่เล้ง

“ใช่แล้วนายนี้ที่เราฝัน รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่” อึมม์ บทกลอนเขาว่าอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่เค้าพึ่งรู้ในวันนั้นเองว่านี่แหละใช่ ตัวโต ท่าทางองอาจ ดุหยั่งกับหมา เสียงตวาดน้องๆบนสแตนเชียร์ดังลั่น แต่เค้าก็สังเกตเห็นนะ ตอนที่พี่เล้งมองมาบ่อยๆ และสายตาของเราก็สบกันบ่อยๆ คนเรามองตากันนี่ มันเหมือนมีเลเซอร์นำทาง ให้รู้แน่แก่ใจว่า เขาสบตาเรานะ

“ไอ้ฟู ไปกินต้มเล้งกัน” เสียงทับทิมเพื่อนรักตะโกนดังลั่น นับตั้งแต่ซ้อมเชียร์กันมาสองอาทิตย์ ทุกคนในรุ่นก็ติดการตะโกนใส่กันเป็นนิสัย เพราะหูตึงหูอื้อจากเสียงกลองเสียงแผดร้องเชียร์ ทำให้พูดกันเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่กินอ่ะ” เค้าตอบเพื่อนไป จริงๆก็ชอบกินนะ ต้มเล้งเนี่ย แต่ทำไมมันต้องชื่อต้มเล้ง เมื่อก่อนก็ไม่กระไรนักหนา แคะเศษเนื้อที่ติดกระดูกหมูชิ้นเบ้อเร่อได้สนุกสนาน กินได้อร่อยทุกครั้ง แต่พอสบตากับพี่เล้งมา ก็กินต้มเล้งชักจะไม่อร่อย มันเหมือนเอาหัวใจตัวเองไปต้ม ใครจะใจแข็งกินได้ลงคอ

“กินซุปเปอร์ตีนไก่ดีกว่า” เค้าบอกกับทับทิม หวังว่าเพื่อนจะเปลี่ยนใจ

“ไม่เอา เบื่อตีนไก่ ไอ้ฟูแกอย่าเรื่องมาก ไปเร็ว เพื่อนๆไปรอที่ร้านแล้ว” ทับทิมยังคงมีเป้าหมายเดิม

ชื่อไอ้ฟูนี่ก็เหมือนกัน จริงๆแล้วเค้ามีชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ว่า เกรซ แต่เพื่อนๆมันก็เปลี่ยนให้เป็นไอ้ฟู ตามหัวที่ฟูอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยังดีเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ชื่อเล่นในกลุ่มเพื่อนว่าไอ้หัวแปรงขัดส้วม

ต้มเล้งก็ต้มเล้ง ขัดเพื่อนไม่ได้เค้าก็ต้องไป เดินตามเพื่อนรักออกนอกรั้วมหาวิทยาลัยไปที่ตึกแถวข้างถนน ร้านขายอาหารย่านนั้นแน่นขนัด เพราะเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี

แล้วเค้าก็ชาวูบไปทั้งตัว เมื่อเห็นพี่เล้งนั่งเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะในร้านต้มเล้ง และส่งสายตามองมา สบตาเค้าอีกแล้ว

“นั่งๆๆๆ ไอ้ฟู แกจะยืนหัวพองอยู่ทำไม” เสียงเพื่อนอีกคนโวยวาย นังเพื่อนบ้า โวยเสียลั่นร้าน ทีนี้ใครๆก็หันมามองเป็นตาเดียว ทั้งๆที่มีตาหลายสิบคู่มองมาสลอน เค้าก็เลยรีบมองหาที่นั่ง ซึ่งมันเหลือเพียงที่ท้ายโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามกับที่พี่เล้งนั่งพอดี โต๊ะที่ถูกต่อจนยาวพอจะนั่งได้เกือบสิบห้าคน และแต่ละฝั่งหัวกับท้าย เอ ด้านไหนควรจะเป็นหัวโต๊ะ ด้านไหนควรจะเป็นท้ายโต๊ะ เค้าก็ไม่รู้หรอก เอาเป็นว่าพี่เล้งนั่งอยู่ด้านหนึ่ง แล้วเค้านั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ไกลกันสุดฟากโต๊ะ แต่ไม่ไกลเกินจะสบตากัน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

ทุกคนกินไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน คงไม่มีใครสังเกตเห็นหรอกว่า เค้ากับพี่เล้งสบตากันบ่อยๆ ทุกครั้งที่เค้าเงยหน้าขึ้น เหมือนพี่เล้งจะคอยมองและหาทางสบตาอยู่เสมอๆ และทุกครั้งเค้าก็จะซ่าไปทั้งตัวเหมือนวันที่ถูกไฟดูดนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนึกอยู่ในใจว่า จะตายเสียวันนี้ล่ะกระมัง ขาดใจตายคาชามต้มเล้งนี่แหละ

แล้วเวลาผู้ชายเขาชอบเรานี่ นอกจากสบตาแล้วเขาจะทำอะไรต่อนะ ประสบการณ์เค้าก็ไม่มี มันเป็น Love At First Sight จริงๆนะ สบตาครั้งแรก หัวใจเค้าก็ถูกขโมยไปเสียแล้ว


“เกรซ ไปทำอะไรมา” เสียงแม่ถามในตอนเย็นของวันหนึ่ง หลังจากกลับถึงบ้าน เค้าก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มีอะไรผิดปกติหรือ

“ทำอะไรคะ แม่” เลยถามแม่กลับไปเพราะไม่เข้าใจจริงๆ แต่ท่าทางแม่เหมือนสงสัย แม่มองหน้าลูกสาวอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะกระพริบตาถี่ๆแล้วส่ายหัว

“ไม่มีอะไรหรอกลูก เอาของไปเก็บแล้วมากินข้าว คุณพ่อรออยู่” เค้าก็เลยเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเก็บหนังสือและกระเป๋าถือ แต่ยังพอได้ยินเสียงแว่วๆที่แม่คุยกับพ่อ

“หน้าตาลูกสดใส ผิดหูผิดตาจริงๆ สงสัย.....” ก็ได้ยินแค่นั้นเอง เพราะแม่พูดเบาลง เค้าก็เลยไม่ได้สนใจอะไร รีบเก็บของแล้วลงไปกินข้าวเย็น

แต่ก่อน เวลาจะออกไปเรียนในตอนเช้า เค้าก็แต่งตัวได้ด้วยความรวดเร็ว หน้าไม่ต้องแต่ง ผมไม่ต้องหวี อาบน้ำเสร็จก็ทาแป้ง ทาลิปมันพรืดเดียวก็เรียบร้อย เสื้อผ้าก็ตามระเบียบเป๊ะ แม่บ้านจัดการไว้ให้เรียบร้อย น้ำหอมก็ไม่เคยจะต้องใส่กับใครเขา โรลออนก็ไม่เคยใช้ ก็เค้าไม่เลี้ยงเต่านี่ ชีวิตแสนสบาย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ นับตั้งแต่สบตากับพี่เล้งแล้ว เค้าก็รู้สึกว่าอะไรที่เคยทำอยู่ทุกวันนั้นมันธรรมดาเกินไป มันไม่พอใจในตัวเองเลยสักอย่าง ตั้งแต่เส้นผมที่ชี้ฟู หน้าจืดๆขาวๆ ตัวเล็กๆผอมแห้ง จะมองหาทรวดทรงอะไรให้มันดูเหมือนเนตไอดอลบ้างก็ไม่มี เสื้อก็หลวม กระโปรงก็จีบรอบตัว รองเท้าคัชชูไม่มีส้น มองแล้วเหมือนเด็กประถม

แต่จะทำอย่างไรล่ะ เสื้อผ้าก็มีอยู่แค่นี้ ขืนไปหาเสื้อรัดกระโปรงแคบสั้นมาใส่ แม่คงเป็นลม พ่อคงช็อค แล้วเนื้อตัวมันก็ไม่มีอะไรให้รัด เพื่อนมันเคยบอกไปหัวเราะไปว่า หุ่นแกเหมือนไม้กระดาน นังคนที่บอกเนี่ย มันก็ตู้มซะอย่างกับอะไรดี หนุ่มๆที่ไหนก็ชอบมองจนเหลียวหลัง

จะแต่งหน้าทาปาก ก็แต่งไม่เป็น อะไรที่จะแต่งก็ไม่มี จะขอยืมเพื่อนหรือมันก็คงโห่ฮากันทั้งกลุ่ม จะหยิบของแม่มาแต่งหรือก็บอกแล้วว่าแต่งไม่เป็น มีอย่างเดียวที่พอจะทำได้ คือหยิบน้ำหอมของแม่มาฉีด แล้วก็ไปเรียน

นั่นแหละ มันเป็นเรื่องเพราะน้ำหอมสองพรืดที่กดจากขวดน้ำหอมของแม่ ฉีดใส่จั๊กกะแร้ทั้งสองข้าง มันไม่เพียงกระจายกลิ่นหอมของ Jo Malone ฟุ้ง แต่มันกระจายเสียงเพื่อนทั้งกลุ่มดังเซ็งแซ่ น้ำหอมขวดนี้พ่อซื้อให้แม่ นานๆแม่จะหยิบมาใช้สักที เค้าก็ว่ามันหอมมาก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าความหอมนั้นมันออกมาเป็นเสียงได้

“ไอ้ฟู แกใส่น้ำหอมอะไร”

“ไอ้ฟู แกใส่น้ำหอมทำไม”

“ไอ้ฟู แกเป็นอะไร”

“ไอ้ฟู มีอะไรเหรอ ทำไมแกไม่บอกชั้น”

“นั่นแน่ ไอ้ฟู มีอะไรบอกมาซะดีๆ”

แค่น้ำหอมเนี่ยนะ ก่อให้เกิดคำถามคำสงสัยกับเพื่อนได้ทุกคน นี่มันอะไรกัน เค้าก็ไม่เข้าใจ ทำไมเค้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไม่ได้เลยหรือ ก็อีแค่ใส่น้ำหอม แค่เนี้ย

“ชั้นว่าพี่เล้งว่ะ”

“เออ ใช่ แกคิดเหมือนชั้น”

“หา อะไรนะ ไอ้ฟูชอบพี่เล้งเหรอ”

“ใช่ ชั้นสงสัยมานานแล้ว แกเห็นตอนซ้อมเชียร์ไหม พี่เล้งมองหน้าไอ้ฟูบ่อยมากกก”

“แกเห็นเหมือนชั้น ชั้นเห็นวันที่ไปกินต้มเล้งกัน ส่งสายตากันข้ามโต๊ะเลยเว๊ย”

เค้าก็หน้าแดงก่ำเลยในตอนนั้น ไอ้พวกเพื่อนรู้กันได้ยังไง ตอนสบตากันสองคนก็ไม่เห็นมีใครสอดสายตามาขวาง ทำไมช่างแสนรู้หูชี้หางกระดิกเหมือนไอ้แมค แล้วยังพูดกันเสียงดังลั่น

“บ้า แกพูดอะไรกัน อายคนอื่นบ้าง” เค้าทำได้แค่นั้นแหละ แค่ส่งเสียงอุบๆอิบๆห้ามเพื่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้ยอมฟังกันเลย แล้วข่าวมันก็ลือไปทั่ว พี่เล้งเป็นแฟนกับไอ้ฟู

นี่ล่ะ “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ลือกันไปทั่วว่าพี่เล้งเป็นแฟนกับเค้า โธ่ ไม่เคยพูดกันสักคำ เสียงพี่เล้งน่ะเค้าเคยได้ยิน ตะเบ็งอยู่ตรงหน้าดังลั่น แต่เสียงเค้าพี่เล้งไม่เคยได้ยินสักแอะ ถึงจะร้องเชียร์ลั่นๆ แต่มันก็ดังพร้อมๆกับเสียงของคนอื่นมากมาย

ทีนี้ก็อยู่ไม่เป็นสุขล่ะ ใครมองมาก็อมยิ้ม ที่สนิทหน่อยก็แซว ข่าวลือที่กระจายเร็วพอๆกับกลิ่นน้ำหอม ถึงแม้ว่าวันต่อๆมาเค้าจะเลิกใส่โดยเด็ดขาด แต่เหมือนกลิ่นน้ำหอมนั้นมันจะติดจมูกของเพื่อนทุกคนไม่รู้จาง พอๆกับติดปากของพวกมันด้วย จึงทั้งพูดทั้งล้ออยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน จนเค้าแทบไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นมองใคร ได้แต่ก้มหน้างุดๆเวลาเดินไปไหนมาไหน จนกระทั่งไม่ได้ดูทางกันล่ะ แล้วก็ชนโครมเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง จนข้าวของตกกระจาย ตอนหลบไปเดินหลังตึกเรียน เพื่อเลี่ยงกลุ่มคนที่ชอบมองแล้วอมยิ้ม

“ขอโทษครับ”

เสียงคุ้นหูจนหลับตาก็จำได้ว่าเสียงใคร เค้าแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเลยตอนที่พูดเหมือนกันว่า

“ขอโทษค่ะ”

“เจ็บหรือเปล่า ผมไม่ทันระวัง ขอโทษด้วยมองไม่เห็นจริงๆ”

เค้าเงยหน้าขึ้นมอง เสียงพี่เล้งที่ขอโทษขอโพยมันดูแปลกๆ เค้ามองสบตาพี่เล้งอีกครั้ง แล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันใกล้ชิด ขนาดที่ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว แต่ดูสายตาพี่เล้งมันว่างเปล่า แปลกๆ

พี่เล้งหยีตา ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนที่จะล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่สะพายอยู่ แล้วหยิบในสิ่งที่เค้าไม่นึกเลยว่าพี่เล้งจะมีออกมา มันคือ แว่นสายตา พี่เล้งใส่แว่นแล้วก็ก้มลงเก็บของทั้งของตัวเองและของเค้าที่กระจายเกลื่อน ก่อนจะส่งหนังสือที่ร่วงหล่นลงไปมาคืนให้

“น้องปีหนึ่งหรือครับ”

“ค่ะ”

“น้องอย่าบอกเพื่อนนะครับ เรื่องแว่นของพี่”

พี่เล้งพูดแปลกๆ เค้าเพ่งมองแว่นพี่เล้งชัดๆก็เห็นว่ามันหนามาก แล้วก็ถามไปอย่างงงงง

“ทำไมคะ”

พี่เล้งมีสีหน้าเขินๆ

“พี่ถูกบังคับให้เป็นประธานเชียร์ครับ เลยต้องทำท่าขึงขัง ใส่แว่นแล้วมันดูหน่อมแน้มไปหน่อย น้องๆจะไม่เกรงไม่เชื่อฟัง จะใส่คอนแทคเลนส์พี่ก็แพ้ ปวดตา เลยต้องถอดแว่นซ้อมเชียร์น้องๆ ทั้งๆที่มองอะไรไม่ค่อยชัดนี่ล่ะครับ ขอร้องนะครับ น้องอย่าบอกเพื่อนๆนะครับ ให้เสร็จงานเชียร์ก่อนนะครับ ขอพี่เก็กให้จบงานก่อนนะครับ”

“ค่ะ”

เค้าจะตอบอะไรได้ นอกจากรับคำ แล้วที่เราสบตากันล่ะ แล้วเรื่องที่ผ่านมาล่ะ

จบนะ เค้าจบแล้วล่ะ

---------------------------------------
โดย ถุงมือขาด

รายชื่อให้เลือกตอบครับ

1. Na(นะ)
2. สวนดอก
3. WANG JIE
4. ส่องแสงตะวันฉาย
5. LUCKARD
6. ผีเสื้อสีดำ
7. เกสรผกา
8. เพ็ญพิชญา
9. peiNing
10. Lady Star 919
11. kasareev
12. KTHc
13. นลินมณี
14. ladylongleg สมาชิกหมายเลข 2326325
15. ยัยตัวร้ายมุกอันดา
16. สมาชิกหมายเลข 4103002
17. คีตมินทร์
18. ลายลิขิต
19. turtle_cheesecake
20. อิสิ
21. จอมยุทธนักสืบ
22. psycho_factory
23. Tantava
24. B-thirteen
25. ชายขอบคันนายาว


หมายเหตุ : ท่านใด ยังไม่ได้ส่งเรื่องให้กรรมการ

โปรดส่ง ภายในเวลา ไม่เกินวันที่ 16 พ.ย. พ้นจากนี้ ถือว่าสละสิทธิ์ หรือถอนตัวครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่