หลายท่านสับสน เรื่อง การเทียบวุฒิ มัธยมปลายจาก นิวซีแลนด์ พูดง่ายๆ คือ จบ High School แล้วจะกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ไทย จะ Year 12 หรือ Year 13 ดี เนื่องจาก กระทรวงศึกษาธิการ ให้แต่ละมหาวิทยาลัยไปพิจารณากำหนดเอาเอง อ้างว่าเป็นการกระจายอำนาจ
ดังนั้นนักศึกษาที่จบมัธยมจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะจากอังกฤษ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อเมริกา ยุโรป หรือ ประเทศในอาเซียนก็ตาม ให้ดูจาก ประกาศของทางมหาวิทยาลัยที่นักศึกษามีความประสงค์จะไปเข้าศึกษาต่อ เป็นราย มหาวิทยาลัยครับ
เช่น หากจะกลับมาศึกษาต่อ ที่ ม.มหิดล , ม.ธรรมศาสตร์ , ม.เชียงใหม่ ก็จะใช้เกณฑ์เดิม หรือ ตามประกาศเดิมของกระทรวงศึกษาฯ ที่เคยใช้อยู่แยกเป็นรายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ก็จะยึดตามประกาศ 3 ฉบับ ที่มีจำนวนหน่วยกิตที่กำหนด ในแต่ละ Level ของ NCEA ซึ่งไม่ได้บอกว่าจะเป็น Year 12 หรือ Year13 คือเอาหนวยกิตเป็นหลัก
หรือกรณี เกณฑ์การเทียบวุฒิการศึกษาจากหลักสูตรประเทศอังกฤษที่ศึกษาในระบบ IGCSE แล้วอยากเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทย (หลักสูตรนานาชาติ) ต้องสอบได้ไม่ต่ำกว่า 5 วิชา ไม่ซ้ำกัน แต่ละวิชาต้องได้ไม่ต่ำกว่าเกรด C แต่เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2559 ได้ออกประกาศฉบับใหม่ โดยนักเรียนจะต้องสอบเพิ่มในระดับ A LEVEL อีกไม่ต่ำกว่า 3 วิชา และแต่ละวิชาต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า C เป็นต้น อันนี้ก็ใช้เกณฑ์ตามประกาศของกระทรวงศึกษาที่เคยประกาศไว้
แต่กรณีบางมหาวิทยาลัย อาจกำหนดเพิ่มเติมที่สูงกว่าหรือแตกต่างไปจากที่กระทรวงศึกษาฯ เคยประกาศไว้ เช่น ม.จุฬา คือ กำหนดว่า ผู้ที่จบ ม.ปลาย จากระบบอเมริกัน ต้องจบ Grade 12 หากแต่จบจากระบบอังกฤษ ต้องจบ Year 13 เป็นต้น ก็เลือกเอาครับ
แต่ส่วนใหญ่ สาขาอื่นๆ ของ ม.จุฬา ก็อาจกำหนดคุณสมบัติที่แตกต่างไป เช่น ของคณะอักษรศาสตร์ ใช้คำว่า ม. 6 หรือเทียบเท่า ก็จะไปใช้เกณฑ์จาก กระทรวงศึกษาเป็นแนวในการเทียบ
ความเห็นส่วนตัว คิดว่า ผู้ปกครองหรือน้องๆ ที่เรียน High School อยู่ในต่างประเทศ ควรจะเรียนจบในระดับใด ผมแนะนำเบื้องต้นนี้ว่า หากเรียนในระบบอเมริกัน จบ Grade 12 หากแต่จบจากระบบอังกฤษ ก็จบ Year 12 ได้เหมือนกัน ซึ่งต้องดูรายละเอียดจำนวนหน่วยกิต ของแต่ละประเทศให้ครบตามประกาศเดิมของ กระทรวงศึกษา
แล้วไปดูคุณสมบัติการรับสมัครเข้า ของมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจจะเข้า ว่ากำหนดอะไรเป็นพิเศษเปล่า ตัวอย่างเช่น ทันตแพทย์ศาสตร์ของ ม.จุฬา ที่กำหนด ว่าหากจบจากระบบอังกฤษ ต้องเป็น Year 13 ซึ่งก็เป็นบางสาขาของแต่ละมหาวิทยาลัยเท่านั้นครับ ส่วนสาขาหรือที่อื่นๆ ส่วนใหญ่ยังยึดตามประกาศเดิมของกระทรวงศึกษาฯ เดิม ที่เคยมีประกาศไว้ครับ
กรณี ม.จุฬา ที่หน้าเวป ก็ยังใช้แนวทางประกาศของ กระทรวงศึกษาฯ เดิมไว้นะครับ ดูใน
http://www.admissions.chula.ac.th/component/content/article/16.html
ประเด็นสุดท้าย ถามว่า “จบ High School กลับมาไทยแล้ว ต้องเอาเอกสารการจบต่างๆ มายื่นขอใบรับรองการเทียบวุฒิ ที่กระทรวงศึกษาอีกหรือไม่” ขอตอบว่า ไม่ต้องแล้วครับ เอาเอกสารการจบ ใบรับรองการศึกษา เอกสารรายงานผลการศึกษา จากโรงเรียนที่ท่านจบ ไปยื่นที่ มหาวิทยาลัยที่ท่ายจะสมัครเข้าศึกษาได้เลยครับ (ทางมหาวิทยาลัยจะทำการตรวจสอบเอง ว่าจบมาจริงหรือเปล่านะครับ)
ผู้ปกครองหลายๆ ท่านจะได้ไม่ตกใจ หรือวิตกว่า จะต้องให้ลูกเรียนเพิ่มอีก 1 ปีหรือไม่ โดยเฉพาะระบบอังกฤษ ที่จบมาทาง นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย
การเทียบวุฒิ มัธยมปลายจากต่างประเทศ หรือ NZ จบ High School กลับมาเรียนต่อที่ไทย
ดังนั้นนักศึกษาที่จบมัธยมจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะจากอังกฤษ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อเมริกา ยุโรป หรือ ประเทศในอาเซียนก็ตาม ให้ดูจาก ประกาศของทางมหาวิทยาลัยที่นักศึกษามีความประสงค์จะไปเข้าศึกษาต่อ เป็นราย มหาวิทยาลัยครับ
เช่น หากจะกลับมาศึกษาต่อ ที่ ม.มหิดล , ม.ธรรมศาสตร์ , ม.เชียงใหม่ ก็จะใช้เกณฑ์เดิม หรือ ตามประกาศเดิมของกระทรวงศึกษาฯ ที่เคยใช้อยู่แยกเป็นรายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ก็จะยึดตามประกาศ 3 ฉบับ ที่มีจำนวนหน่วยกิตที่กำหนด ในแต่ละ Level ของ NCEA ซึ่งไม่ได้บอกว่าจะเป็น Year 12 หรือ Year13 คือเอาหนวยกิตเป็นหลัก
หรือกรณี เกณฑ์การเทียบวุฒิการศึกษาจากหลักสูตรประเทศอังกฤษที่ศึกษาในระบบ IGCSE แล้วอยากเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทย (หลักสูตรนานาชาติ) ต้องสอบได้ไม่ต่ำกว่า 5 วิชา ไม่ซ้ำกัน แต่ละวิชาต้องได้ไม่ต่ำกว่าเกรด C แต่เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2559 ได้ออกประกาศฉบับใหม่ โดยนักเรียนจะต้องสอบเพิ่มในระดับ A LEVEL อีกไม่ต่ำกว่า 3 วิชา และแต่ละวิชาต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า C เป็นต้น อันนี้ก็ใช้เกณฑ์ตามประกาศของกระทรวงศึกษาที่เคยประกาศไว้
แต่กรณีบางมหาวิทยาลัย อาจกำหนดเพิ่มเติมที่สูงกว่าหรือแตกต่างไปจากที่กระทรวงศึกษาฯ เคยประกาศไว้ เช่น ม.จุฬา คือ กำหนดว่า ผู้ที่จบ ม.ปลาย จากระบบอเมริกัน ต้องจบ Grade 12 หากแต่จบจากระบบอังกฤษ ต้องจบ Year 13 เป็นต้น ก็เลือกเอาครับ
แต่ส่วนใหญ่ สาขาอื่นๆ ของ ม.จุฬา ก็อาจกำหนดคุณสมบัติที่แตกต่างไป เช่น ของคณะอักษรศาสตร์ ใช้คำว่า ม. 6 หรือเทียบเท่า ก็จะไปใช้เกณฑ์จาก กระทรวงศึกษาเป็นแนวในการเทียบ
ความเห็นส่วนตัว คิดว่า ผู้ปกครองหรือน้องๆ ที่เรียน High School อยู่ในต่างประเทศ ควรจะเรียนจบในระดับใด ผมแนะนำเบื้องต้นนี้ว่า หากเรียนในระบบอเมริกัน จบ Grade 12 หากแต่จบจากระบบอังกฤษ ก็จบ Year 12 ได้เหมือนกัน ซึ่งต้องดูรายละเอียดจำนวนหน่วยกิต ของแต่ละประเทศให้ครบตามประกาศเดิมของ กระทรวงศึกษา
แล้วไปดูคุณสมบัติการรับสมัครเข้า ของมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจจะเข้า ว่ากำหนดอะไรเป็นพิเศษเปล่า ตัวอย่างเช่น ทันตแพทย์ศาสตร์ของ ม.จุฬา ที่กำหนด ว่าหากจบจากระบบอังกฤษ ต้องเป็น Year 13 ซึ่งก็เป็นบางสาขาของแต่ละมหาวิทยาลัยเท่านั้นครับ ส่วนสาขาหรือที่อื่นๆ ส่วนใหญ่ยังยึดตามประกาศเดิมของกระทรวงศึกษาฯ เดิม ที่เคยมีประกาศไว้ครับ
กรณี ม.จุฬา ที่หน้าเวป ก็ยังใช้แนวทางประกาศของ กระทรวงศึกษาฯ เดิมไว้นะครับ ดูใน
http://www.admissions.chula.ac.th/component/content/article/16.html
ประเด็นสุดท้าย ถามว่า “จบ High School กลับมาไทยแล้ว ต้องเอาเอกสารการจบต่างๆ มายื่นขอใบรับรองการเทียบวุฒิ ที่กระทรวงศึกษาอีกหรือไม่” ขอตอบว่า ไม่ต้องแล้วครับ เอาเอกสารการจบ ใบรับรองการศึกษา เอกสารรายงานผลการศึกษา จากโรงเรียนที่ท่านจบ ไปยื่นที่ มหาวิทยาลัยที่ท่ายจะสมัครเข้าศึกษาได้เลยครับ (ทางมหาวิทยาลัยจะทำการตรวจสอบเอง ว่าจบมาจริงหรือเปล่านะครับ)
ผู้ปกครองหลายๆ ท่านจะได้ไม่ตกใจ หรือวิตกว่า จะต้องให้ลูกเรียนเพิ่มอีก 1 ปีหรือไม่ โดยเฉพาะระบบอังกฤษ ที่จบมาทาง นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย