การโตมาโดยไม่รู้สึกถึงความรักของพ่อแม่ มันแย่มากนะคะ อยากให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้รับรู้ค่ะ

เราเป็นคนที่อยู่คนเดียวมาตลอด ติดบ้าน อยู่แต่บ้าน เพราะแม่ไม่อยากให้เราติดเพื่อน ไปเที่ยวกับเพื่อนตั้งแต่เด็กๆ
เราเลยเป็นคนขี้อาย ไม่ชอบเข้าสังคมตั้งแต่เด็กๆ เลย โตมาก็แก้ไม่หาย
แต่ตอนนั้นเรายังรู้สึกนะคะว่าพ่อแม่รักเรา เค้าไม่ได้เป็นประเภทที่บอกรัก กอด หอมแก้ม อะไรแบบนั้น
แต่เราก็เข้าใจดีว่าเป็นเพราะมันขัดๆ เขินๆ เค้าเลยไม่เคยกอดเคยหอมเรา เหมือนครอบครัวอื่นๆ

จุดเริ่มต้นแรกคือเราเข้ามหาลัยค่ะ ตอนนั้นเราเข้ามหาลัยในกทม พ่อแม่เราอยู่ต่างจังหวัด
ในปีสองปีแรกเค้าส่งเงินมาให้ตลอดค่ะ จนกระทั่งเราอยู่ปีสาม เราอยู่หอพักกับน้อง 2 คน แม่เริ่มส่งเงินมาให้เราน้อยลง ช้าลง
เพราะคณะที่เราและน้องเรียนเป็นคณะที่งานเยอะมาก บางทีไม่ได้นอนสองสามวันก็เคย เราเลยหางานพิเศษทำไม่ได้
มากสุดของเราคือรับจ้างทำงานให้เพื่อน ให้รุ่นพี่ที่คณะ ก็ได้เงินกลับมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มีงานบ่อยขนาดนั้น

แม่เราเริ่มส่งเงินมาช้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ส่งเป็นก้อน แต่ส่งทีละ 1000 บาท สำหรับ 2 คน
เราถามหนักเข้าถึงได้รู้ว่าเขามีปัญหาด้านการเงินหนักมาก เราก็โอเค ใช้เท่าที่มีก็ได้ กินน้อยหน่อย
เราทำแบบนี้ไปเรื่อยจนได้กลับไปบ้าน เราถึงได้รู้เหตุผลว่าทำไมเค้าถึงไม่มีเงินส่งให้เรา
นอกจากแม่เราต้องจ่ายเงินค่าบ้านแล้ว ยังมีค่าเหล้าที่กินกับเพื่อนทุกเย็น ค่าหวยที่เล่นทุกงวด ค่าโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ไม่รู้ซื้อมาตอนไหน
และของจิปาถะที่เค้าซื้อมาเข้าบ้าน ตอนแรกเราก็ยังแบบ โอเค ไม่เป็นไร แม่หาเงิน แม่ก็คงอยากใช้เงินทำอย่างอื่นบ้าง

จนเราขึ้นปีสี่ก็ยิ่งหนักกว่าเดิม แม่ส่งเงินให้เราช้ามาก และน้อยมาก
ขนาดที่ว่าเราเคยรื้อห้องทั้งห้องเพื่อหาเหรียญสักบาทไปซื้อข้าวเปล่าถุงละ 5 บาทมาแบ่งกินกับน้องสองคน
ไม่ใช่ว่าเราไม่บอกเค้านะ เราโทรไปบอกว่าเราไม่มีตังค์กินข้าวสักบาท ส่งมาสักร้อยได้มั้ย แม่เค้าก็ได้แต่บอกว่าเค้าไม่มีตอนนี้
เราเลยต้องทำแบบนั้น สุดท้ายพ่อเรารู้ว่าเราไม่มีเลยส่งมาให้ นั่นคือตอนที่เราเรียนอยู่

พอเราเรียนจบ เริ่มทำงาน เริ่มได้เงินเดือนเป็นของตัวเอง แม่ก็เริ่มมาขอยืมเงินเราไปจ่ายค่านั่นนี่ เราก็โอเคได้อยู่
เค้าจะโทรมาหาเราเฉพาะเรื่องยืมเงินเท่านั้น นอกนั้นแม่ไม่เคยโทรหาเราเลย
เนื่องจากตอนเรียนปีสี่ เราเครียดมากจนคิดว่าตัวเองเป็นถึงขั้นซึมเศร้า เรารู้สึกแบบนั้นยาวมาจนถึงตอนที่เริ่มทำงาน
ทั้งงานกดดัน ทั้งโดนแฟนทิ้ง เราอยู่หอพักคนเดียวด้วยความรู้สึกแบบ จะตายให้ได้เลย นอนร้องไห้ทุกคืนติดกันหลายเดือนเลย
แต่แม่เราไม่เคยถามว่าเราเป็นยังไง เครียดมั้ย สักคำเดียว นอกจากโทรมายืมเงินเท่านั้น ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวบนโลกนี้จริงๆ

ครั้งล่าสุดที่เรากลับบ้าน เรากลับไปตอนช่วงกลางเดือน ด้วยเงินเดือนเรายังไม่เยอะ เรามีเงินติดบัญชีอยู่ 3000 บาท กับเงินในกระเป๋าอีกประมาณ 1000 บาท
เราแค่คิดว่ากลับบ้านคงไม่ได้ใช้เงินมากเลยกลับ มันก็โอเคทุกอย่างเลย จนกระทั่งวันที่เรากลับกทม.
แม่เราขอยืมเงินเรา 3000 เราก็บอกไปว่าเรามีเงินเท่านี้ ถ้าเราให้ เราอยู่ไม่ถึงสิ้นเดือนแน่ๆ ไปทำงานไม่ได้ด้วยซ้ำ (ที่ทำงานเราอยู่ไกล ใช้ค่ารถเยอะ)
แม่ก็ยังยืนยันจะเอา เราก็ทำเป็นจะไปคุยกับพ่อก่อน เพราะตอนนั้นเราจะร้องไห้อยู่แล้ว
พอพ่อมาคุยกับเรา ก็พูดยืมเงินเหมือนที่แม่พูดเลย ตอนนั้นเราเลยปล่อยโฮร้องไห้เลย เพราะเราน้อยใจจริงๆ
เค้าไม่สนเลยว่าชีวิตเราจะเป็นไง เค้าสนแค่ว่าชีวิตเค้าจะเป็นไง เรามารู้ว่าเงินที่จะยืมคือจะเอาไปส่งแชร์หรืออะไรสักอย่าง
สุดท้ายย่าเรารู้เรื่องถึงได้ให้พ่อเรายืมเงินแทนที่จะมาเอาจากเรา นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เรากลับบ้านเลย

เรารักเค้านะคะ ทั้งพ่อทั้งแม่ เรารักมาก ถ้าเรามี เราให้เค้าได้หมด
แต่เราไม่รู้สึกเลยว่าเค้ารักเราเหมือนกัน รู้สึกเหมือนเราเป็นหนี้เค้า เราเลยต้องโตมาชดใช้
เรารู้สึกเหมือนไม่มีใครเลยจริงๆ คนที่แคร์เรามากที่สุดควรเป็นเค้า แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เลย
ตอนนี้เรายังทำใจกลับบ้านไม่ได้เลย แต่ก็เป็นห่วงพ่อ

ที่เล่าทั้งหมด เราไม่ได้หวังว่าจะให้ใครมาด่าพ่อแม่เรา หรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เราเล่าทั้งหมดนะคะ
เราก็ไม่ใช่ลูกที่ดีขนาดนั้น เราแค่อยากพูดออกมาในมุมมองของลูกคนนึงที่รู้สึกแบบนี้
แล้วก็หวังว่าคนที่เป็นพ่อแม่ หรือคนที่กำลังจะเป็นพ่อแม่ในอนาคตจะแคร์ความรู้สึกของลูกมากขึ้น
การที่โตมาโดยไม่รู้สึกถึงความรักมันแย่มากเลย อยากให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้รับรู้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่