ยกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี แก้ไขปัญหาที่อยู๋อาศัยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

วันนี้ (9 พ.ย. 60) เวลา 10.00 น.รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยราชการในท้องถิ่น  และประชาชน จากเครือข่ายพัฒนาที่อยู่อาศัยต่างๆ เข้าร่วมงานประมาณ 200 คน ณ “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” ซอยสุขาภิบาลบางใหญ่ 9 อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี
    พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจำนวนครัวเรือนทั่วประเทศประมาณ 21 ล้านครัวเรือน แต่พบว่า  ยังมีประชาชนที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัยอีกประมาณ 5 ล้านครัวเรือน  รัฐบาลนำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  จึงได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงมอบหมายให้กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดทำแผนยุทธศาสตร์ที่อยู่อาศัย 20 ปี เริ่มจากปี 2560 - 2579 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนไทยทุกครัวเรือนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงและยั่งยืน  ซึ่งที่ผ่านมา มีการดำเนินการแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองลาดพร้าว  โครงการปทุมธานีโมเดล  และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับชุมชนริมฝั่งเจ้าพระยา
    พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า ตามที่ รัฐบาลได้ดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง ปลอดภัย และถูกกฎหมาย ในขณะเดียวกันรัฐบาลสามารถพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งเจ้าพระยาเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ อาทิ พื้นที่สันทนาการ เส้นทางจักรยาน สถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งพื้นที่ ชมทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมอบหมายให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบดำเนินโครงการดังกล่าว และกระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดทำโครงการรองรับที่อยู่อาศัยร่วมกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง พอช. ได้จัดทำแผนงานรองรับดังกล่าวในพื้นที่ 3 เขต ได้แก่ เขตดุสิต บางซื่อ และบางพลัด รวมจำนวน 12 ชุมชน คิดเป็น 309 ครัวเรือน  ซึ่งที่ผ่านมา มีชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบย้ายออกจากพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเข้าอยู่ในที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ได้แก่ 1) แฟลต ขส.ทบ. ในพื้นที่เขตดุสิต จำนวน  64 ครัวเรือน  2) โครงการบ้านเอื้ออาทรท่าตำหนัก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จำนวน  17 ครัวเรือน  และ 3) โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ จำนวน  63  ครัวเรือน ประกอบด้วยประชาชน   ที่ย้ายมาจาก 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนมิตตคาม 1  มิตตคาม 2 และราชผาทับทิม  โดยได้กำหนดจัดพิธียกเสาเอกในวันนี้              
พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิเข้าอยู่อาศัยในโครงการดังกล่าว ต้องเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐ หรือไม่มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย  ต้องอาศัยอยู่ในชุมชนจริงในชุมชนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี และ ต้องผ่านมติการรับรองจากชุมชน  ต้องเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์หรือสหกรณ์ฯ และต้องไม่มีที่ดินหรือบ้านอยู่ใน กทม.  สำหรับที่ดินโครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ มีขนาดพื้นที่ 2 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา เป็นที่ดินที่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพฯ หรือ BAM ที่ขายให้แก่ชุมชนในราคาพิเศษเป็นเงิน 10,700,000 บาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยโดย พอช. สนับสนุนสินเชื่อจำนวน 10,165,000  บาท และชุมชนสมทบเงินเพิ่ม 535,000 บาท ซึ่งการก่อสร้างโครงการฯ ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยร้อยละ 70  และพื้นที่สาธารณะร้อยละ 30  ซึ่งมีการแบ่งขนาดที่ดินต่อครอบครัวออกเป็น 4 ขนาด ได้แก่ 1) ขนาด 10 ตารางวา จำนวน 42 แปลง  2) ขนาด 12  ตารางวา จำนวน 2 แปลง  3) ขนาด 15 ตารางวา จำนวน 17 แปลง และ 4) ขนาด 22.5 ตารางวา จำนวน 2 แปลง  โดยสร้างเป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 4 X 7 ตารางเมตร มีราคาก่อสร้างหลังละ
240,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,120,000 บาท  โดย พอช. สนับสนุนสินเชื่อ จำนวน  12,515,000 บาท และชุมชนสมทบเงินเพิ่ม 2,605,000 บาท อีกทั้ง มีการสร้างระบบสาธารณูปโภค  โดย พอช. สนับสนุนงบประมาณ จำนวน 3,150,000 บาท และงบอุดหนุนที่อยู่อาศัย จำนวน 1,575,000 บาท รวมงบประมาณทั้งโครงการเป็นเงินทั้งสิ้น 30,545,000 บาท
“สำหรับแผนงานก่อสร้างโครงการดังกล่าว ใช้ระยะเวลา 180 วัน  โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2561 จากนั้น ชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบสามารถย้ายเข้าอยู่ในที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ส่วนแผนงานในการสร้างอาชีพให้ชาวชุมชน  จะใช้พื้นที่หรือลานสาธารณะของชุมชนเป็นพื้นที่ค้าขาย เช่น ขายอาหาร หรือจัดเป็นตลาดนัด เพื่อให้ชาวชุมชนมีอาชีพสร้างรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวอย่างได้มั่นคงในระยะยาวต่อไป”พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่