เส้นทางหมากล้อมของผม

กระทู้สนทนา
เส้นทางหมากล้อมของผม

โกะ

หากเป็นสักเมื่อสิบกว่าปีก่อน คงจะมีหลายคนสงสัยว่ามันคืออะไร มันเป็นเกมกีฬาครับ เป็นหนึ่งในเกมกระดานที่นิยมอย่างสูงในจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี

มีผู้แปลคำๆ นี่เป็นภาษาไทยเป็นคำที่แสนจะไพเราะและเข้าใจง่ายว่า ‘หมากล้อม’ แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังคงมีผู้เข้าใจผิดเสมอว่ามันคือ ‘โอเทลโล่’ หรือไม่ก็ ‘หมากหนีบ’

หากจะว่าไปแล้ว อันที่จริงผมรู้ว่ามีเกมกระดานชนิดนี้อยู่ในโลกตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก หรือถ้าจะให้ชัดเจนกว่านี้คงต้องบอกว่าผมเคยเห็นคนเล่นเกมกระดานแบบนี้ในยุคที่หนังจีนกำลังภายในกำลังเฟื่องฟูในไทยสุดขีด

ณ ศาลากลางน้ำแห่งหนึ่งที่บรรยากาศแลดูฟุ้งๆ คล้ายอยู่ท่ามกลางสายหมอก ในสระน้ำเต็มไปด้วยกอบัว รอบๆ สระเขียวขจีไปด้วยพันธุ์ไม้สูงต่ำนานาชนิด ใบไม้ร่อนถลาลงจากกิ่งสูง แสงแดดบางเบาทาทับจนสายหมอกเป็นสีส้มฟุ้งนุ่มนวล

จอมยุทธสองคนในชุดขาวกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ที่คนละฝั่งฟากของกระดานไม้ซึ่งเรียงรายไปด้วยเม็ดหมากสีขาวและดำจำนวนมาก

หนึ่งในนั้นถือเม็ดหมากสีดำ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิดว่าควรจะเดินเกมตาต่อไปอย่างไรเพื่อให้กลุ่มหมากในวงล้อมตอนนี้รอดพ้นจากการจับกินไปได้ ส่วนอีกคนที่กำลังรอดูการแก้เกมก็โบกพัดกระดาษสีขาวไปมาพร้อมยกสุราในจอกเล็กขึ้นดื่ม

เม็ดหมากเรียงตัวอย่างสวยงาม ขาวและดำตัดกันอย่างชัดเจนเมื่ออยู่บนกระดานไม้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเดินอย่างไร แต่ในความรู้สึก จอมยุทธทั้งสองช่างดูสง่าเสียเหลือเกิน ผมเองก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง

นั่นเป็นความรู้สึกทั้งหมดในวัยเยาว์ยามได้ดูละครชุดกำลังภายในจากในจอแก้ว เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างผมกับหมากล้อมที่แสนจะติดตาตรึงใจ

วันเวลาผ่านไป ผมเติบใหญ่ขึ้นพร้อมๆ กับภาระหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้น ในระหว่างนี้สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ละครและหนังจีนกำลังภายในซึ่งเคยโด่งดังสุดขีดกลับเสื่อมความนิยมลงไปทีละน้อย หรือบางทีอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมเองโตขึ้นจนเลิกสนใจเรื่องเหล่านี้

ภาพจอมยุทธยกแขนข้างหนึ่งขึ้นบังในขณะกระดกจอกเหล้าแบบรวดเดียวหมดจนเหล้าหกรดเสื้อเป็นทาง ภาพจอมยุทธย่างไก่สีขาวน่ากินในกองไฟ ภาพจอมยุทธนั่งเล่นหมากล้อมในศาลากลางน้ำ ผมลืมเลือนภาพเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น

ทว่าสุดท้ายวันหนึ่งผมก็กลับได้มาพบกับหมากล้อมอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้หาใช่เหล่าจอมยุทธจากเมืองจีนไม่ ครั้งนี้เป็นเด็กญี่ปุ่นในการ์ตูนรายสัปดาห์เรื่องหนึ่งต่างหาก

มันเป็นเรื่องของเด็กชายที่มีจิตใจที่สามารถสื่อได้ถึงดวงวิญญาณโบราณที่สิงสถิตอยู่ในกระดานหมากล้อม ด้วยความต้องการอันแรงกล้าที่จะไปสู่จุดสูงสุดบนเส้นทางแห่งเกมกระดานนี้ หรืออยู่ในขั้น ‘หัตถ์เทวะ’ ทำให้ดวงวิญญาณไม่สามารถไปเกิดได้

ในขณะที่ดวงวิญญาณใฝ่หาวิถีแห่งหัตถ์เทวะผ่านการเดินหมากผ่านเด็กชายคนนั้น ดวงวิญญาณเองก็ได้เฝ้ามองและค่อยๆ เห็นการเจริญเติบโตบนเส้นทางหมากล้อมในตัวเด็กชายเช่นกัน

นิ้วมือทั้งห้าเหยียดกางออกจากกัน เม็ดหมากถูกคีบโดยใช้ปลายนิ้วชี้และปลายนิ้วกลาง เมื่อเม็ดหมากถูกจับและถูกวางลงบนกระดานอย่างถูกวิธีจะเกิดเป็นเสียงหนักหน่วงดังกังวานไพเราะยิ่ง

ภาพการจับและวางเม็ดหมากบนกระดานถูกบรรจงวาดด้วยลายเส้นที่งดงาม มันงดงามทรงพลังจนทำให้ผมกลับมาคิดถึงเกมกระดานชนิดนี้อีกครั้ง

ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะลองเล่นสักครั้ง

แล้ววันนั้นก็มาถึง

ในยุคที่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีมันไว้ในครอบครองจนได้ และเช่นนั้นเองผมจึงได้มีโอกาสลองเล่นหมากล้อมผ่านทางโลกอินเตอร์เน็ต โดยที่ไม่รู้เลยว่าเกมชนิดนี้เล่นอย่างไร มีกติกาอย่างไร และจะชนะ แพ้กันอย่างไร

แค่ลองเล่นดู ไม่เป็นไรหรอก อาจจะชนะก็ได้ นั่นเป็นความคิดของผม

กระดานแปดคูณแปดซึ่งมีจุดตัดทั้งหมดแปดสิบเอ็ดจุด เป็นกระดานสำหรับผู้หัดเล่น ผมเลือกกระดานเล็กแบบนี้และตั้งหน้าตั้งตาคอยคู่แข่งคนแรกมาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ และไม่ช้าเขาคนนั้นก็เข้ามา

คู่แข่งที่มองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้แม้กระทั่งหน้าตาเชื้อกดำเม็ดแรกถูกวางลงไปบนกระดานอิเล็กทรอนิกผ่านเครือข่ายไร้สายที่ย่อโลกปัจจุบันให้เล็กลงถนัดตา ตามด้วยหมากขาวและดำสลับกันไป

และการแข่งขันครั้งแรกก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ไม่มีคำว่าฟลุ๊กชนะสำหรับเกมกระดานที่เรียกว่าหมากล้อม กระดานที่สอง กระดานที่ห้า กระดานที่สิบ ไม่ว่าจะกี่กระดานผมก็ยังแพ้ แล้วทำอย่างไรผมถึงจะชนะได้

พอคิดได้ดังนั้น ผมจึงเริ่มเรียนรู้ จดจำการวางหมากของคู่แข่ง ทีละตา ทีละคน ผมค่อยๆ ซึมซับและวางเม็ดหมากแต่ละเม็ดโดยผ่านการคิดมาวิเคราะห์มาอย่างดี ในขณะที่ตั้งรับก็มองหาจุดอ่อนและพร้อมจะรุก ในขณะรุกก็ต้องไม่ลืมที่จะสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง

แล้วในที่สุดชัยชนะกระดานแรกก็มาเยือนเสียที กระดานที่สิบสาม กระดานที่สิบแปด กระดานที่ยี่สิบเอ็ด กระดานที่ยี่สิบสี่ ผมชนะ และค่อยๆ ชนะบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

ผมสนุกกับการเล่นหมากล้อมมาก และยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อผมแทบไม่เคยแพ้ช่วงหลังๆ ผมสามารถนั่งเฝ้าหน้าจอและเล่นมันได้ทั้งวันโดยไม่กินอะไรเลย

ทุกวันที่ผมล็อกอินเข้าไปในสังคมใหม่ในโลกไซเบอร์ที่ผมไม่เคยรู้จักแห่งนี้ ผมจะได้รู้จักเพื่อนใหม่มากขึ้นทุกวัน พร้อมๆ กับฝีมือการเดินหมากที่ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ลำดับคะแนนของผมยิ่งสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนกระทั่งความรู้สึกหนึ่งก็เกิดขึ้นมาในใจ

ผมไม่อยากแพ้

อาจมีคนไม่น้อยที่เคยรู้สึกแบบนี้ แต่สำหรับผม การคิดแบบนี้กลับกลายเป็นหายนะทางความคิดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ความรู้สึกไม่อยากแพ้ปรากฏขึ้นมาในสมอง ความสนุกในการเล่นหมากล้อมก็ไม่เหลืออีกแล้ว

ขึ้นชื่อว่าเกม เล่นแล้วก็ต้องสนุก ถ้าไม่หลงเหลือความสนุกอีกแล้วจะเล่นไปทำไม ความคิดที่ว่าไม่อยากแพ้ทำให้ผมไม่รู้สึกสนุกอีกต่อไป

ผมกลับยิ่งเอาจริงเอาจังมากขึ้นไปอีก จึงเริ่มศึกษาบทความเกี่ยวกับหมากล้อมจากหน้าเว็บไซต์ มีสองประโยคที่มักจะปรากฏในหน้าเว็บไซต์เหล่านั้นกล่าวไว้ว่า

‘หากต้องการบุก จงเดินหมากให้ห่างคู่ต่อสู้ หากต้องการหนีออกจากวงล้อม จงเดินประชิดคู่ต่อสู้’

‘หมากล้อมคือเกมที่ชนะได้ด้วยการไม่คิดชนะ เมื่อใดที่คิดแต่จะเอาชนะ เมื่อนั้นคุณก็แพ้แล้ว’

หมากล้อมเป็นเกมกระดานที่แตกต่างจากเกมกระดานอื่น เกมกระดานส่วนใหญ่หากจะบุก ต้องเข้าประชิด หากอยากชนะต้องฆ่าขุน แต่หมากล้อมไม่ใช่ เพียงแค่สร้างรากฐานให้มั่นคง ขยายพื้นที่ให้ได้มากที่สุด อ่านและเดินเกมอย่างล้ำลึก แม้ไม่ได้จับคู่ต่อสู้กินเลยแม้แต่เม็ดหมากเดียวเราก็สามารถชนะได้

‘คุณอาจชนะศึกด้วยการบุกล้อมและจับกินเม็ดหมากอย่างบ้าคลั่ง แต่ในท้ายที่สุดคุณจะแพ้ในสงคราม’

หากไม่มองความเป็นไป หรือ ‘กระแส’ ของหมากทั้งกระดาน เมื่อสายตามัวจับจ้องอยู่ที่ศึกใดศึกหนึ่งบนกระดานอันกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อโถมกำลังทั้งหมดลงไปที่ศึกใดศึกหนึ่งในนั้น พื้นที่ที่เหลือจะอ่อนแอและถูกคู่แข่งยึดได้จนพ่ายแพ้ในที่สุด

หลังอ่านจบ ผมตั้งกระดานอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นกระดานมาตรฐานที่มีเส้นแนวดิ่งและแนวขวางอย่างละสิบเก้าเส้น จุดตัดที่เกิดขึ้นจากเส้นเหล่านี้มากมายถึงสามร้อยหกสิบเอ็ดจุด

การเดินในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม นอกจากคู่แข่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าจอแล้ว ศัตรูแท้จริงที่ผมจำเป็นต้องเอาชนะให้ได้คือศัตรูภายในใจตัวเองต่างหาก

ดวงดาวสีดำและขาวถูกสลับสับเปลี่ยนกันแต่งแต้มลงบนจักรวาลอันยิ่งใหญ่ เม็ดแล้วเม็ดเล่า รุกระหว่างรับ รับในขณะรุก กระแสหมากเปลี่ยนแปลงไปมา และเมื่อจบเกม เป็นอีกครั้งที่ผมแพ้อย่างราบคาบ

ทว่าความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ผมกลับไม่ได้รู้สึกแบบที่ผ่านๆ มา ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ผมกลับได้สิ่งมีค่ากลับมาแทน นั่นคือความสนุกดังเช่นที่ได้เล่นกระดานแรกกลับคืนมาอีกครั้ง

การข้ามพ้นความหวาดหวั่นในจิตใจ การยอมรับในคู่แข่ง การยอมรับตนเอง ตอนนี้ผมไม่หลงเหลือความรู้สึกว่าไม่อยากแพ้อีกต่อไป

จนถึงวันนี้ อะไรหลายๆ ทำให้ผมไม่ได้กลับไปเล่นหมากล้อมในโลกไซเบอร์อย่างเคย แต่หากจะมีคนถามผมว่าผมเล่นหมากล้อมเป็นหรือไม่ ผมคงตอบได้เพียงว่าผมเคยได้ลองเล่นมาก่อน และหากจะถามผมว่าเส้นทางหมากล้อมของผมสิ้นสุดลงแค่ตรงนี้ใช่หรือไม่

อาจจะเป็นเช่นนั้น บนเกมกระดานมันอาจจะจบลงไปแล้ว ผมไม่อาจทุ่มเทเวลา ไม่อาจพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้ หากแต่ช่วงเวลานั้นผมกลับไม่รู้สึกว่ามันเสียเปล่า เพราะหมากล้อมได้สอนให้ผมได้รู้จักกับอะไรหลายๆ อย่างในช่วงเวลาที่ผ่านมา

อย่าถามหาแม้แต่ความ ‘บังเอิญ’ หากคุณไม่รู้อะไรเลย

คู่แข่งของเราไม่มีอยู่จริง เพราะแท้จริงแล้วเขาคนนั้นจะเป็นผู้ที่ช่วยกระตุ้นให้เราได้ใช้พลังและช่วยให้เราได้พัฒนาตนเองไปอีกระดับหนึ่ง

หากไม่ย่อท้อเสียก่อน สักวันเราจะค่อยๆ เรียนรู้ในสิ่งที่เรายังไม่เคยรู้ ถึงแม้จะไม่มีหลักประกันว่าเราจะสามารถไปถึงจุดสูงสุดได้ แต่อย่างน้อยมันก็ประกันได้ว่าเราต้องรู้มากกว่าเก่าแน่นอน

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเราไม่ใช่ศัตรูหรืออุปสรรค หากแต่เป็นจิตใจของเราเองต่างหาก หากชนะใจตัวเองได้ เราก็จะได้ก้าวไปอีกขั้นอย่างมั่นคง

การยอมรับความพ่ายแพ้และขีดจำกัดในตนเองไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเลวร้ายอะไรเลย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเคยเกิดกับทุกคน แต่การยอมรับมันอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยให้เราพัฒนาต่อไปได้อย่างรวดเร็ว

บางที เราก็อาจจะยืนอยู่ใกล้เกินไปจนมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากปัญหา เมื่อโถมกำลังทั้งหมดลงไปที่ปัญหาโดยไม่มองภาพรวมอื่น อาจจะเกิดสิ่งที่ผิดพลาดยิ่งกว่าเดิม

หากถอยหลังมาสักหน่อยเราจะมีมุมมองที่กว้างขึ้น และมุมมองที่กว้างขึ้นนั้นจะทำให้เราพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมได้อย่างถ้วนถี่และหาทางออกที่เหมาะสมได้อย่างแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่